Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 957

ตอนที่ 957

จิตมารของผู้ถูกเลือก!

ประตูเซียนปรากฏขึ้นอยู่เหนือทะเลที่เก้า และฝานตงเอ๋อร์ก็พุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ในทันทีที่นางโจมตีเข้าไปที่ประตู ตระกูลและสำนักต่างๆ ทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า ต่างก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของสวรรค์แห่งนี้

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้รุนแรงมากนัก แค่ทำให้ปราณเซียนแห่งขุนเขาทะเลที่เก้ามีความหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็คล้ายกับเป็นแรงกระเพื่อมที่อยู่บนพื้นผิวของน้ำ และถูกผู้คนมากมายพบเห็น

ที่ชัดเจนมากที่สุดคือบริเวณที่อยู่รอบๆ ประตูเซียนในทะเลที่เก้า ที่นั่นปราณเซียนได้พุ่งขึ้นมา ขณะที่เต๋าอันยิ่งใหญ่ได้ตกลงไป เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ สายฟ้าลงทัณฑ์ปะทุขึ้น และกลุ่มหมอกก็พลุ่งพล่านปั่นป่วน

ฝานตงเอ๋อร์ถูกห้อมล้อมด้วยสายฟ้าลงทัณฑ์ ขณะที่นางโจมตีไปยังประตูเซียน ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และจิตใจก็เต็มไปด้วยความคิดเพียงหนึ่งเดียว

“เมิ่งฮ่าว ข้าจะต้องก้าวข้ามเจ้าไปให้จงได้!”

ฝานตงเอ๋อร์เป็นคนที่สองในรุ่นนี้หลังจากตานกุ่ย ที่ได้โจมตีไปยังประตูเซียน ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในช่วงการเข้าฌาณตามลำพัง เพื่อเตรียมพร้อมที่จะออกมาพุ่งทะลวงเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้ พวกมันรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของปราณเซียน แต่ก็ไม่สนใจ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น ทำการเข้าฌาณตามลำพังต่อไป

ตอนนี้จ้าวอีฝานกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับของสำนักกระบี่ไท่สิง

“ยุคแห่งเซียนแท้ได้มาถึงแล้ว” มันพึมพำ “สามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่, สี่ตระกูลใหญ่, ห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์, สามนิกายหกสำนัก…ได้สร้างพลังและทรัพยากรมาหลายปี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ถูกเลือกได้กลายเป็นเซียนแท้”

“พวกมันทั้งหมดวางแผนที่จะใช้ทรัพยากรและพื้นฐานฝึกตนทั้งหมด พุ่งเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้ให้จงได้ จนสามารถจะกล่าวได้ว่า ‘วิหคที่ไม่ส่งเสียงร้อง ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ในครั้งเดียว!’” จ้าวอีฝานลืมตาขึ้นมาในทันที

“เปิดชีพจรได้เจ็ดสิบจุดคือค่าเฉลี่ยโดยทั่วไป แปดสิบจุดชีพจรถือว่าเป็นผู้ถูกเลือก เก้าสิบจุดชีพจร…ทำให้กลายเป็นดวงตะวันอันเจิดจ้าในรุ่นเดียวกันนี้!”

“ฟางมู่…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถผ่านเข้าไปในยุคของเซียนแท้นี้ได้หรือไม่!?” ดวงตาจ้าวอีฝานสาดประกายอันเจิดจ้าขึ้น มันได้ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บมานานแล้ว รวมทั้งแรงระเบิดที่ร่างกายมันได้รับมาในตอนนั้น แต่มันก็รู้ว่าในส่วนลึกของจิตใจ มีเงามืดมาซุ่มซ่อนอยู่คอยกดทับลงมาที่มัน ทำให้กลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับเป็นจิตมาร

เมิ่งฮ่าว ในฐานะที่เป็นฟางมู่ในความคิดของมัน ได้กลายมาเป็นจิตมารของจ้าวอีฝาน!

ด้วยตัวตนที่แท้จริงของเมิ่งฮ่าว ได้กลายมาเป็นจิตมารของฝานตงเอ๋อร์!

เช่นเดียวกัน ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า ซึ่งเคยพบเจอกับเขามาก่อน ต่างก็มีจิตมารขึ้นมาอันเนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว!

บนดาวตงเซิ่ง ในคฤหาสน์โบราณตระกูลฟาง ฟางเว่ยกำลังสั่นสะท้าน กลิ่นอายพลังชีวิตของมันสาดประกายเจิดจ้าขึ้นเป็นระยะ และมืดสลัวลงไปเป็นครั้งคราว บางครั้งหน้าตาของมันก็บิดเบี้ยวไปมาอย่างน่ากลัว บางครั้งมันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ระลอกคลื่นแปลกๆ ได้กระจายออกมาจากร่างมัน ขณะที่ทำการดูดซับปราณเซียนจากชายชราที่ผอมแห้งทั้งเก้าซึ่งอยู่รายรอบตัวมัน

“ฟางฮ่าว…การเป็นเซียนแท้ในตอนนี้ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว ถ้าข้าล้มเหลว ก็จะไม่มีฟางเว่ยภายใต้สวรรค์แห่งนี้อีกต่อไป แต่ถ้าข้าทำได้สำเร็จ…ทันทีที่ข้ากลายเป็นเซียนแท้ ข้าก็จะกำจัดเจ้าไปเพื่อตัดจิตมารในใจข้าออกไป!”

บนดาวเป่ยหลู ในเขตหวงห้ามของตระกูลหลี่ มีสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง น้ำในสระใสกระจ่าง จนมองเห็นมัจฉาว่ายไปมา เสียงวิหคร้องขับขานเต็มอยู่ในอากาศ ตามมาด้วยกลิ่นหอมของบุปผานานาพันธุ์ ราวกับเป็นดินแดนแห่งความฝันขนาดย่อม หลี่หลิงเอ๋อร์นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นเหนือดอกบัว ผิวกายของนางเรียบลื่นเป็นประกาย มีสีแดงเรื่ออยู่เล็กน้อย นางสวมใส่ชุดยาวที่เรียบง่าย แต่ก็ยังคงดูงดงามและมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง

นางกำลังจะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้ด้วยเช่นเดียวกัน!

ในเวลาเดียวกันนั้น หวังมู่, ซ่งหลัวตาน, ไท่หยางจื่อ, ซุนไห่ และอีกหลายคนที่อยู่ในสำนักและตระกูลต่างๆ คนทั้งหมดกำลังเตรียมตัวที่จะทะลวงผ่านเข้าไปในอาณาจักรเซียนแท้

ขณะที่บุคคลเหล่านี้กำลังจะทำการทะลวงผ่าน ภาพของเมิ่งฮ่าวก็ลอยอยู่ในจิตใจพวกมัน เมิ่งฮ่าว…กลายเป็นจิตมารของผู้ถูกเลือกในรุ่นนี้ทั้งหมด

เวลาเดียวกันนั้น บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนอุกกาบาตที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาว ในขุนเขาทะเลที่เก้า มันสวมใส่ชุดสีดำ และมีเส้นผมยาวสีขาว มีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่ก็ดูเก่าแก่โบราณในเวลาเดียวกัน

ปราณเซียนหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวมัน และอย่างน่าตกใจยิ่ง มันกำลังถือต้นเถาวัลย์ประกายเซียนอยู่ในมือ

“ในตระกูลหวัง…หวังมู่คือดวงตะวันอันเจิดจ้า และข้าก็ถูกลืมไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือต้นเถาวัลย์ประกายเซียนนี้เท่านั้น” บุรุษหนุ่มถือต้นเถาวัลย์ประกายเซียนขึ้นเหนือศีรษะ และมองออกไปในห้วงความว่างเปล่า

“เมิ่งฮ่าว ข้าตั้งตารอคอยวันที่พวกเราจะได้มาพบกันอีกครั้ง…” บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นหวังเถิงเฟย!

ในช่วงเวลานี้ หวังโหย่วฉาย, เจ้าอ้วน, เฉินฝาน และสหายคนอื่นๆ ของเมิ่งฮ่าวจากดาวหนานเทียน ซึ่งได้กระจายออกไปอยู่ตามสำนักต่างๆ ทั้งหมด กำลังได้รับแจ้งจากผู้อาวุโสในสำนักของแต่ละคน เกี่ยวกับเรื่องของเซียนแท้ พวกมันทั้งหมดกำลังมองขึ้นไปในท้องฟ้า

“ไม่รู้ว่าตอนนี้…เมิ่งฮ่าวไปอยู่ที่ไหน…” เจ้าอ้วนพึมพำ ด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย

ในเต๋าคุนหลุน ฉู่อวี้เยียนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ไม่มีปราณเซียนหมุนวนอยู่รอบๆ ร่าง แต่นางก็ไม่กังวล นางมีเวลาหนึ่งพันปีหลังจากที่โชคชะตาเซียนแท้ได้ปรากฏขึ้น ทำให้นางสามารถจะบรรลุกลายป็นเซียนแท้ได้ด้วยตนเอง

ถึงแม้ว่านางไม่อาจจะไล่ตามคลื่นลูกแรกได้ทัน แต่นางก็เชื่อมั่นว่าสามารถจะบรรลุกลายเป็นเซียนแท้ได้ภายในเวลาหนึ่งพันปีนี้

“ยุคแห่งเซียนแท้ได้มาถึงแล้ว…” ตานกุ่ยพึมพำ ยืนอยู่ใกล้กับก้อนศิลาบนภูเขา แหงนหน้ามองขึ้นไปในกลุ่มดาว

ในเวลาเดียวกันนั้น ยังมีอีกคนที่พูดขึ้นมาเช่นเดียวกันนี้

เป็นชายชราที่ยืนอยู่บนดาวหนานเทียน ภายในภูเขาของดินแดนตะวันออก ท่านมองขึ้นไปในท้องฟ้า และพึมพำเป็นประโยคเดียวกันกับตานกุ่ย

ชายชราผู้นี้คือ…สุ่ยตงหลิว

เมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักถึงความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในขุนเขาทะเลที่เก้า อันเนื่องมาจากประตูเซียนของฝานตงเอ๋อร์ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าแท่นศิลาตัวอักษรตรงพื้นหลุมฝังศพโบราณ ทำการรับมอบมรดกแห่งเวทรุ่นห้าต่อไป

กลิ่นอายของเขาอ่อนแอลงอย่างน่าเหลือเชื่อ และเปลวไฟแห่งพลังชีวิตดูเหมือนแทบจะดับลงไปได้ทุกเมื่อ รอยแตกหนึ่งแสนแห่งที่อยู่รอบๆ ตัว กำลังสั่นสะท้านอยู่เล็กน้อย วัฏจักรแห่งการเปิดปิดของพวกมันเริ่มเร็วมากขึ้น พื้นหลุมฝังศพโบราณกำลังเริ่มดูแปลกประหลาดมากขึ้นไปกว่าเดิม

อย่างช้าๆ กลุ่มหมอกค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน เริ่มหนาแน่นมากขึ้นขณะที่มันกระจายออกไปทั่วทั้งดินแดนบรรพบุรุษ ทุกอาณาเขตทุกแห่งหน

กลุ่มหมอกยังได้รวมตัวกันอยู่ในพื้นหลุมฝังศพโบราณอีกด้วย โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าวจะยิ่งหนาแน่นมากเป็นพิเศษ ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างนักรบศิลา ทำให้ไม่อาจจะมองเห็นได้แม้แต่จะใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่านไปก็ตามที

เงาร่างเมิ่งฮ่าวเริ่มดูเลือนลางลงไป

ฟางเต้าหงรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด มันกังวลว่าถ้าเมิ่งฮ่าวตายไป มันก็อาจจะตายตามไปด้วย อันเนื่องมาจากเวทผนึกที่แปลกๆ นั้น

ขณะที่มันเริ่มตกใจมากขึ้นไปเรื่อยๆ ลำแสงหลากสีก็ปรากฏขึ้นในที่ห่างไกลออกไป เป็นบุรุษในชุดสีดำอีกหนึ่งคน กำลังพุ่งตรงมาที่มัน เดิมทีคนผู้นั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วมากนัก แต่เมื่ออยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งหมื่นจ้าง ก็ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นจะมองเห็นบางอย่าง ทำให้ต้องเร่งความเร็วขึ้นมา

ดวงตาฟางเต้าหงแวบขึ้น ขณะที่หมุนตัวและมองไปยังบุรุษที่อยู่ภายในลำแสง มันพุ่งตรงมาด้วยความรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ มาหยุดอยู่ในที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยจ้าง ใบหน้าของมันเคร่งขรึมขณะที่จ้องมองมา

“ผู้อาวุโสเต้าหง พวกเรามาที่นี่ด้วยกันทั้งหมด ถ้ามีใครแอบซุกซ่อนทุกอย่างไว้คนเดียว ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้คนอื่นๆ เข้าใจได้” ดวงตาของบุรุษผู้นั้นแวบขึ้น ขณะที่มองเข้าไปในพื้นหลุมฝังศพโบราณ มันเห็นเมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่ แทบจะถูกกลุ่มหมอกปกคลุมไปจนมิด แต่ไม่ได้สังเกตเห็นนักรบศิลา ซึ่งตอนนี้ได้ถูกกลุ่มหมอกห่อหุ้มไว้โดยสิ้นเชิง

ดวงตามันแวบแสงแห่งความโลภขึ้นมา จากนั้นก็มองกลับไปยังฟางเต้าหง และยิ้มอย่างไม่จริงใจออกมา

“ถ้าเจ้าต้องการจะเข้าไป ข้าก็จะไม่ห้าม ไม่จำเป็นต้องเล่นลิ้นเล่ห์คารมไป” ฟางเต้าหงกล่าวเป็นเสียงดังขึ้น พยักหน้าให้อย่างเย็นชา แสดงท่าทางเหมือนกับว่ามันกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ปกติ

ดวงตาของบุรุษชุดดำผู้นั้นแวบขึ้น ขณะที่มันหันหน้าจากฟางเต้าหงมองไปยังเมิ่งฮ่าว ภายในใจมันรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สถานการณ์ของเมิ่งฮ่าวในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาแทบจะตกตายไปได้ทุกเมื่อ มันไม่อาจจะมองเห็นได้ว่าเขากำลังรับมอบมรดกอยู่

“ไม่เป็นไร เมื่อผู้อาวุโสเต้าหงเฝ้ารอคอยด้วยความอดทน ข้าก็จะรอคอยไปพร้อมกับท่าน” ด้วยเช่นนั้น มันก็ยิ้มออกมาและนั่งลงขัดสมาธิ

ฟางเต้าหงไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมา แต่ภายในใจมันต้องแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ชีวิตของมันในตอนนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเมิ่งฮ่าว ถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขาแทบจะตกตายไปได้ทุกเมื่อ แต่ฟางเต้าหงก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงแต่อย่างใด อันที่จริงมันยังรู้สึกกระวนกระวายใจมากไปกว่าเมิ่งฮ่าวซะอีก รู้สึกหวาดกลัวว่าการตายไปของเมิ่งฮ่าว จะทำให้วิญญาณของมันต้องกระจายหายไปด้วย

หลังจากที่เวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป เมิ่งฮ่าวก็สะท้านไปทั้งร่าง โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก เปลวไฟแห่งพลังชีวิตเหลืออยู่แค่จุดเล็กๆ เท่านั้น ร่างกายเขาในตอนนี้เริ่มแข็งทื่อ และดูซีดขาวราวกับเป็นซากศพ

รอยแตกที่อยู่รอบๆ ตัวได้แวบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกมันเปิดปิดสลับกันไป ราวกับเป็นดวงตาหนึ่งแสนดวงกำลังกระพริบไปมา ทำให้ฟางเต้าหงและบุรุษชุดดำอีกคนรู้สึกตกตะลึงขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

หนึ่งในพวกมันรู้สึกกังวลใจ อีกคนกำลังเฝ้ารอด้วยความมุ่งหวัง

ในตอนนี้อีกสองลำแสงได้พุ่งมาเป็นทางยาว เห็นได้ชัดว่ารับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติของเมิ่งฮ่าว พวกมันพุ่งตรงมาด้วยความรวดเร็วสูงสุด จนกระทั่งมาปรากฏกายขึ้นที่ชายขอบของพื้นหลุมฝังศพโบราณ จากนั้นก็กลายเป็นบุรุษชุดดำอีกสองคน

ในทันทีที่พวกมันปรากฏกายขึ้น ดวงตาฟางเต้าหงก็หดเล็กลง หนึ่งในบุรุษทั้งสองไม่ได้หยุดชะงักลงแม้แต่น้อย มันพุ่งเข้าไปในพื้นหลุมฝังศพโบราณในทันที ฉวยโอกาสในตอนที่รอยแตกปิดลง พุ่งตรงไปประมาณหนึ่งร้อยจ้าง

จิตใจฟางเต้าหงเริ่มเต้นรัว และบุรุษชุดดำที่มาถึงก่อนหน้านี้ก็ขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปชั่วขณะ มันก็เฝ้ารอจนกระทั่งรอยแตกปิดลง และจากนั้นก็พุ่งตรงเข้าไปในพื้นหลุมฝังศพโบราณด้วยเช่นกัน

บุรุษชุดดำคนที่สามก็แวบตรงไปเช่นเดียวกัน มุ่งหน้าตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

“ฟางฮ่าวมีของวิเศษอันล้ำค่า! สังหารมันเอาของวิเศษนั้นมา พวกเราค่อยตกลงกันว่าจะทำอย่างไรหลังจากนั้น!”

“ความคิดที่ดี!” หลังจากที่เห็นด้วย สามบุรุษผู้นั้นก็รอคอยจนกระทั่งรอยแตกหนึ่งแสนแห่งปิดลงอีกครั้ง และจากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปด้วยความรวดเร็วสูงสุด

ฟางเต้าหงเฝ้ามองไปอย่างเงียบๆ ด้วยความเย็นชายังบุรุษทั้งสาม ขณะที่พวกมันพุ่งเข้าไปในพื้นหลุมฝังศพโบราณ ในที่สุดมันก็ตัดสินใจที่จะไปเข้าร่วมกับพวกมัน แต่มันก็เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ เมื่อให้มั่นใจว่าได้อยู่ที่ด้านหลังอย่างแท้จริง

สี่บุรุษเดินเรียงแถวเข้าไป มุ่งหน้าเข้าใกล้เมิ่งฮ่าวตรงจุดศูนย์กลางของพื้นหลุมฝังศพโบราณมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เวลาชั่วธูปไหม้หมดหนึ่งดอกผ่านไป ในช่วงเวลานั้นรอยแตกหนึ่งแสนแห่งได้เปิดขึ้นและปิดลง ในที่สุดบุรุษที่รวดเร็วมากที่สุดสองคนก็บรรลุถึงตำแหน่งที่ห่างจากเมิ่งฮ่าวประมาณสองร้อยจ้าง

ในตอนนี้แรงสั่นสะเทือนได้วิ่งผ่านไปทั่วร่างเมิ่งฮ่าวอีกครั้ง แต่แทนที่จะทำให้โลหิตไหลซึมออกมาจากปาก เมิ่งฮ่าวกลับกระอักโลหิตออกมากองโต และใบหน้าก็ไร้สีเลือดไปโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้เองที่เปลวไฟแห่งพลังชีวิตของเขาได้กระพริบไปมา

ในช่วงเวลานั้น รอยแตกในบริเวณนั้นทั้งหมดสั่นสะท้านและปิดลง ทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่ชัดเจนจนไปถึงตัวเมิ่งฮ่าว

ยกเว้นฟางเต้าหง ซึ่งยังคงกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง และหวาดกลัวว่าเขากำลังจะตายไป ดวงตาของบุรุษชุดดำทั้งหมดสาดประกายด้วยความโลภขึ้น ก่อนหน้านี้พวกมันได้กระทำด้วยความระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่าได้ลืมไปแล้ว ขณะที่พวกมันระเบิดความรวดเร็วขึ้น เสียงกระหึ่มได้ยินเต็มอยู่ในอากาศ ขณะที่พวกมันเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อสองบุรุษชุดดำที่อยู่ด้านหน้า ได้อยู่ห่างออกไปประมาณสิบจ้าง ดวงตาเมิ่งฮ่าวจู่ๆ ก็ลืมขึ้นมาในทันที กลายเป็นสีแดงก่ำ และสายตาก็แหลมคมราวกับเป็นใบมีด เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม

กลิ่นอายอันน่ากลัวอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ฉับพลันนั้นก็ระเบิดออกมาจากร่างเมิ่งฮ่าว ทันใดนั้นรอยแตกทั้งหมดที่ปิดอยู่ในบริเวณนั้น จู่ๆ ก็เปิดขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน

ราวกับว่าดวงตาหนึ่งแสนข้างได้ลืมขึ้นมาในทันใด และกำลังมองไปยังบุรุษทั้งสี่!

——————

หมายเหตุ : 不鸣则已 一鸣惊人 (ปู้หมิงเจ๋ออี่ อี้หมิงจิงเหริน) วิหคที่ไม่ส่งเสียงร้อง ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ในครั้งเดียว หมายถึง คนที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม กลับประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!