ตอนที่ 962
บุคคลอันดับหนึ่งแห่งโชคชะตาเซียน!
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเมิ่งฮ่าวได้แต่มองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ขณะที่ผลเนี่ยผานทั้งสองพุ่งตรงไปยังกระถางปรุงยา หนึ่งในสองที่นำหน้าเป็นผลที่เมิ่งฮ่าวได้ใช้หินลมปราณไปอย่างมากมายกับมัน จนแทบจะฟื้นฟูกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ได้ทุกเมื่อ
จิตใจเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง ขณะที่ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าหยดของเหลวเจ็ดสีนี้มีหน้าที่เหมือนกับหยดน้ำสกัดวิญญาณ มันไม่อาจจะถูกกลืนกินลงไปได้ แต่ใช้สำหรับการฟื้นฟูผลเนี่ยผาน (ผลนิพพาน)
สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความตายหยินภายในของเหลวนี้ เป็นกลิ่นอายซึ่งเป็นตัวแทนของการไร้ซึ่งพลังชีวิตและการทำลายล้าง ผลเนี่ยผานได้แห้งเหี่ยวลงไปมาหลายกัปกัลป์ และเต็มไปด้วยแก่นแท้แห่งความตาย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าถ้ามันแตะสัมผัสโดนหยดของเหลวเจ็ดสีนี้ กลิ่นอายความตายหยินที่บรรลุถึงจุดสูงสุดจู่ๆ ก็จะมีพลังชีวิตปรากฏขึ้น!
พลังชีวิตนี้เป็นตัวแทนของการฟื้นฟูกลับคืนมาของผลเนี่ยผาน
พลังอันเข้มข้นที่พุ่งขึ้นมาจากหยดของเหลวเจ็ดสี จะไปช่วยเติมเต็มให้กับผลเนี่ยผาน ส่งผลให้มันมีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ความคิดแรกที่ผ่านเข้ามาในจิตใจก็คือว่า เขาต้องไม่ปล่อยให้ผลเนี่ยผาน ซึ่งเขาได้ใช้ความพยายามอย่างยากเย็น จนมันแทบจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์แล้วในตอนนี้ ไปสัมผัสโดนหยดของเหลวเจ็ดสีนั้นก่อน ถ้าเป็นเช่นนั้นความพยายามที่แล้วมาของเขาก็คงต้องสูญเสียไปอย่างที่ไม่อาจจะยอมรับได้
เมิ่งฮ่าวใช้พลังทั้งหมดเท่าที่สามารถจะรวบรวมได้ ยื่นมือออกไปคว้าจับผลเนี่ยผาน ซึ่งแทบจะสัมผัสไปโดนหยดของเหลวเจ็ดสีได้ทุกเมื่อไว้ ขณะที่เขากระทำเช่นนี้ ผลเนี่ยผานอีกผลซึ่งเขาไม่เคยสนใจมันมาเลยโดยตลอด ก็ตกลงไปหลอมรวมเข้ากับหยดของเหลวนั้น
ทันใดนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าเจ็ดสีก็พุ่งออกมา และกลุ่มหมอกเจ็ดสีอันแน่นหนาก็กระจายออก ปกคลุมไปทั่วทั้งกระถางปรุงยา
ผลเนี่ยผานอีกลูกที่เมิ่งฮ่าวถืออยู่ในมือตอนนี้ ดูเหมือนจะสงบลง และหยุดการเคลื่อนไหว เมิ่งฮ่าวรีบโยนมันกลับเข้าไปในถุงสมบัติอย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็ถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความวิตกกังวล
เขามองไปยังปรมาจารย์รุ่นแรก จากนั้นก็มองกลับไปยังกลุ่มหมอกเจ็ดสีในกระถางปรุงยา และเริ่มพึมพำกับตัวเองขึ้นมาด้วยความไม่แน่ใจ
“ไม่เคยมีใครเข้ามาในสุสานแห่งนี้มาก่อน…ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าหยดน้ำสกัดวิญญาณที่อยู่ภายในกระถางปรุงยาจะสามารถทำให้ผลเนี่ยผานเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ขึ้นมาได้…นี่คือสุสานของท่านปรมาจารย์รุ่นแรก และผลเนี่ยผานทั้งสองนี้ก็เป็นของท่าน”
“ไม่รู้ว่าหลังจากที่หลอมรวมเสร็จสิ้นแล้ว จะสามารถกลืนกินผลเนี่ยผานลงไปได้หรือไม่?” เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ ในตอนนี้เขามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ ของกลุ่มหมอกที่อยู่ด้านในกระถางปรุงยา
“ถ้าข้าสามารถกลืนกินมันได้ ก็คงจะมีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมาก!”
“ถ้าไม่ได้ การที่ต้องสูญเสียผลเนี่ยผานไปหนึ่งลูก ก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่อาจจะยอมรับได้” ด้วยเช่นนั้นเมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และทำจิตใจให้เยือกเย็นลง จากนั้นก็มองขึ้นไปยังมังกรสัมฤทธิ์
ครั้งนี้ดูเหมือนว่ามันจะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ สีหน้าละโมบของมันได้เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวแทน และปากที่กำลังอ้าขึ้นเพื่อเตรียมจะกลืนกินกระถางปรุงยาลงไป ในตอนนี้ก็ดูราวกับว่ามีใครบางคนมาง้างปากมันให้อ้าขึ้นอย่างรุนแรง ด้วยความต้องการจะกลั่นสกัดแก่นแท้แห่งพลังชีวิตของมันไป
แก่นแท้นั้นดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นมาจากความหวาดกลัวอย่างแทบจะบ้าคลั่ง ในการที่มันต้องมาพบเจอกับช่วงเวลาแห่งความตาย จากนั้นหลังจากที่มันตายไป พลังความตายหยินก็จะก่อตัวเข้าด้วยกัน…จนกลายเป็นหยดของเหลวที่เต็มไปด้วยความตายหยินอันไร้ขอบเขตและเข้มข้น ซึ่งหยดของเหลวนั้นได้ตกลงไปบนจานหยกที่อยู่ในกระถางปรุงยา
เมิ่งฮ่าวไม่แน่ใจว่าเขาดูผิดไปหรือไม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าในทันทีที่ผลเนี่ยผานได้หลอมรวมเข้าไปในหยดของเหลวนั้น และกลุ่มหมอกอันเข้มข้นก็เต็มอยู่ในกระถางปรุงยา ดูเหมือนว่ากฎธรรมชาติบางอย่างได้ถูกลบล้างไป ทำให้สีหน้าของมังกรสัมฤทธิ์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้ดูเหมือนว่ามันแทบจะรู้สึกโล่งใจ ราวกับว่ามันได้รับการปลดปล่อยออกไป
ต่อมา รอยแตกร้าวจู่ๆ ก็กระจายออกไปทั่วทั้งร่างของมังกรสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว จนถึงจุดที่คาดไม่ถึงว่ามังกรจะค่อยๆ…เริ่มกระจายหายไปอย่างช้าๆ ต่อหน้าต่อตาเมิ่งฮ่าว!
เขาจ้องมองไปด้วยความตกตะลึง จนต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ในขณะที่ถอยไปทางด้านหลัง
เมิ่งฮ่าวมองไปขณะที่มังกรสัมฤทธิ์เริ่มจางหายไป กลายเป็นกระแสแห่งกลุ่มหมอก ซึ่งยังคงมีรูปร่างของมังกรอยู่ ขณะที่พวกมันเริ่มม้วนพันกันไปมา และหมุนตัวไปรอบๆ ห้องโถง
เมื่อมันเข้ามาใกล้เมิ่งฮ่าว ศีรษะของกลุ่มหมอกมังกรมองมายังเขาด้วยความครุ่นคิด ในที่สุด แสงแห่งความพึงพอใจก็มองเห็นได้อยู่แววตาของมัน หลังจากที่มันพุ่งตรงมาและกระแทกเข้าไปที่ศีรษะของเมิ่งฮ่าว!
ในทันทีที่มันเริ่มหลอมรวมเข้ากับตัวเขา ก็ได้กลายเป็นปราณเซียน ซึ่งจากนั้นก็พุ่งเข้าไปในชีพจรเซียนของเขา
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ปราณเซียนสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง และยังได้เริ่มมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับมังกรอีกด้วย ขณะที่มันทำการดูดซับปราณเซียนของกลุ่มหมอกมังกรเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
เสียงแตกร้าวได้ยินมาขณะที่ชีพจรเซียนภายในร่าง เริ่มตกผลึกแข็งตัวมากยิ่งขึ้น และกลิ่นอายเซียนแท้ของเมิ่งฮ่าวก็เริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นไปเรื่อยๆ
แสงแปลกๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ลมหายใจเริ่มเร่งร้อนถี่เร็ว ขณะที่รับรู้ได้ถึงอาณาจักรเซียนแท้ได้อย่างเข้มข้นมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาอยู่ในจุดที่จำเป็นต้องใช้เวลาหนึ่งร้อยวันเพื่อให้ชีพจรเซียนตกผลึกแข็งตัว แต่ตอนนี้กลับสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากไปกว่านั้น
ในตอนนี้ใช้เวลาเพียงแค่ธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก เสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ภายในร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่ชีพจรเซียนของเขาได้ก่อตัวขึ้นมาโดยสมบูรณ์!!
แสงเซียนกระจายออกมาจากร่างเขาเป็นระยะ และปราณเซียนก็โคจรหมุนวนอยู่ภายในร่างอย่างรวดเร็วหลายเท่าตัว ทำให้พื้นฐานฝึกตนของเขาได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เมิ่งฮ่าวได้เฝ้ารอช่วงเวลานี้มาเป็นเวลานานแล้ว การเดินทางของเขาได้เริ่มต้นขึ้นในดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ในตอนที่เขาได้เป็นสักขีพยานเมื่อท่านอาจารย์ตานกุ่ยบรรลุกลายเป็นเซียนแท้ นั่นคือตอนที่ความมุ่งหวังของเขาได้เริ่มก่อตัวขึ้นมา!
นับจากนี้เป็นต้นไป เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นเซียน
ในช่วงของการแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ เมิ่งฮ่าวเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวัง หลังจากที่มาถึงดาวตงเซิ่ง ความมุ่งหวังของเขาก็ยิ่งลึกล้ำมากขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าคงจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ แต่ตอนนี้ในดินแดนบรรพบุรุษ ภายในสุสานของปรมาจารย์รุ่นแรก เขาได้ครอบครองโชควาสนาแห่งสวรรค์ ทำให้สามารถก้าวเข้าไปเป็นเซียนแท้ได้อย่างสมบูรณ์
ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้อยู่ในสุสานแห่งนี้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเศษซากเซียน ทัณฑ์เซียนก็จะก่อตัวขึ้นมาอยู่ที่ด้านบนในตอนนี้ และประตูเซียนก็จะปรากฏขึ้น
มีแต่โจมตีไปยังประตูเซียนให้เปิดออกเท่านั้น ถึงจะสามารถพุ่งทะยานผ่านก้าวสุดท้ายไป จนสามารถเปิดชีพจรเซียนที่เหลือออกมาได้
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ประตูเซียนไม่มีทางจะรับรู้ถึงกลิ่นอายของเมิ่งฮ่าวได้ ไม่มีทางจะตระหนักว่าเขากำลังก้าวเข้าไปในอาณาจักรเซียน ดังนั้นมันจึงไม่ได้ปรากฏขึ้น
เนื่องจากเช่นนั้น…พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวจึงได้บรรลุถึงระดับอันน่าตกใจอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้
ความโชคดีที่สามารถทะลวงผ่านได้เช่นนี้ เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากเย็นยิ่ง การที่สามารถจะบรรลุกลายเป็นเซียนแท้เช่นนี้ จำเป็นต้องมีสามปัจจัยหลักคือ ต้องกลายเป็นเซียนโดยที่ไม่ต้องใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน, ต้องอยู่ในสถานที่ซึ่งเป็นทั้งสุสานและเป็นชิ้นส่วนของเศษซากเซียน และต้องเป็นสถานที่ซึ่งมีปราณเซียนอย่างเพียงพอ
ดูเหมือนว่าเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้จะเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่ายดาย แต่จริงๆ แล้วมันยุ่งยากอย่างน่าเหลือเชื่อ กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายที่จะพบเห็นขนหงส์หรือเขากิเลนกว่าการที่จะมีใครทำได้ตามเงื่อนไขข้อแรก โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงเงื่อนไขอีกสองข้อเหล่านั้น!!
มันเป็นเรื่องยากเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ไม่อาจจะพูดได้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเห็นผู้ที่ตรงตามเงื่อนไขเหล่านั้น แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ยากเป็นอย่างยิ่ง ยากจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน อันที่จริงตลอดทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าแห่งนี้ มีเมิ่งฮ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะมีโอกาสเกิดขึ้นเช่นนี้จนเขาสามารถทำได้สำเร็จ!
บางทีอาจจะมีใครบางคนในขุนเขาทะเลอีกแปดแห่ง ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา สามารถทำได้เช่นเดียวกันนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครในคนเหล่านั้น จะสามารถเทียบกับเมิ่งฮ่าวได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาได้เริ่มต้นด้วยพื้นฐานสำหรับเซียนแท้ ซึ่งก็คือชีพจรเซียนที่เขาได้รับมาจากตะเกียงสัมฤทธิ์นั่นเอง!
มันคือชีพจรเซียนที่แท้จริง เกินกว่าเซียนใดๆ ทั้งหมด ทำให้เขากลายเป็น…เซียนแท้ในท่ามกลางของเหล่าเซียนแท้!
อันที่จริงเมิ่งฮ่าวเป็นคนแรกในจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) ทั้งหมดที่สามารถทะลวงผ่านไปได้ด้วยความโชคดีเช่นนี้!
อย่างไรก็ตาม ชีพจรเซียนที่เขามีเกินมาในตอนนี้ จะยังคงอยู่กับเขาจนถึงตอนที่ต้องผ่านทัณฑ์เซียนที่ด้านนอก และจะไม่ซ้อนทับกับชีพจรเซียนที่เขามีอยู่แล้วเหล่านั้น แต่จะช่วยเพิ่มจำนวนให้มีมากขึ้นกว่าเดิม!
คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ สิบเส้นลมปราณและหนึ่งร้อยจุดชีพจร เซียนก็มีสามจิตเจ็ดวิญญาณด้วยเช่นกัน และดูเหมือนว่าจะมีจุดชีพจรได้มากกว่าหนึ่งร้อยจุดอีกด้วย คนที่มีเกินกว่าหนึ่งร้อยจุดชีพจร เป็นสิ่งที่ยากจะพบเห็นเป็นอย่างยิ่งในจิ่วต้าซานไห่ จริงๆ แล้วบุคคลเช่นนั้นเคยมีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น ชีพจรแต่ละจุดที่เกินหนึ่งร้อยขึ้นไป เป็นผลมาจากเส้นลมปราณที่เพิ่มขึ้นมา!
ร่างกายเมิ่งฮ่าวเต็มไปด้วยเสียงกระหึ่มกึกก้อง ขณะที่ชีพจรเซียนจุดแรกเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ต้องขอบคุณกลุ่มหมอกมังกร ทำให้ชีพจรเซียนจุดที่สองกำลังเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน ในทันทีที่มันปรากฏขึ้น ก็เริ่มตกผลึกแข็งตัวไป
การเตรียมตัวที่ดีนำไปสู่ความสำเร็จ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ได้เตรียมพร้อมจนถึงขีดจำกัดของพวกมัน ดังนั้นเมื่อพวกมันก้าวเข้าไปสู่การเป็นเซียนแท้ ก็จะทำให้เกิดเป็นเหตุการณ์อันน่าตื่นตกใจขึ้น สำหรับเมิ่งฮ่าว เขาก็ได้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่ในตอนนี้ด้วยความโชคดีที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ทำให้เขามีความพร้อมเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
ถ้าคนภายนอกได้รับรู้ต่อการเตรียมตัวที่พิเศษเช่นนี้ ก็คงจะทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้าต้องตื่นตกใจไปทั้งหมด
ในเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวกำลังนั่งขัดสมาธิ ทำการดูดซับปราณเซียนเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง และกำลังก่อตัวเป็นชีพจรเซียนจุดที่สอง กลุ่มเมฆก็กำลังก่อตัวอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว อยู่ที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง มันเริ่มต้นเป็นกลุ่มหมอกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อก่อตัวเป็นกลุ่มเมฆลงทันฑ์ ซึ่งอยู่ติดกับประตูเซียนอันน่าตกใจ
ประตูเซียนเพิ่งจะลอยอยู่เหนือทะเลที่เก้าเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในตอนนี้อีกหนึ่งประตูก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอยู่เหนือดาวตงเซิ่ง และค่อยๆ ตกลงมาที่ดาวดวงนี้อย่างช้าๆ
ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนมองเห็นมัน และทำให้เกิดเป็นความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในทันใด กลุ่มคนในตระกูลฟางมองขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสของตระกูล
“ทัณฑ์เซียนแท้!” ผู้เฒ่าสูงสุดอ้าปากค้าง ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
การตกลงมาของประตูเซียนนี้ ไม่ได้เนื่องมาจากเมิ่งฮ่าว แต่เนื่องมาจาก…ฟางเว่ย!
ใต้พื้นดินของคฤหาสน์โบราณ ฟางซิ่วซานตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌาณ ร่างกายสั่นสะท้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ขณะที่มันมองไปยังผนังศิลาที่อยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นผนังศิลาก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา ซึ่งก็คือฟางเว่ยนั่นเอง
ดวงตาข้างซ้ายของมันเป็นสีดำสนิท เป็นความมืดมิดที่ดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยความตาย ดวงตาข้างขวากลายเป็นสีขาวไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าจะประกอบไปด้วยช่วงเวลากลางวัน ทั่วทั้งร่างของมันกระจายกลิ่นของเซียนแท้ออกมา
สีหน้ามันเยือกเย็นและเคร่งขรึม ขณะที่กระจายกลิ่นอายแห่งการเกิดใหม่ และความเย็นชาราวน้ำแข็งของขุมนรกออกมาในเวลาเดียวกัน
“เว่ยเอ๋อร์ เจ้า” ฟางซิ่วซานเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“เตีย ข้าทำได้สำเร็จแล้ว” ฟางเว่ยกล่าวตอบ ระเบิดเพดานของห้องลับออกในทันที และจากนั้นก็บินขึ้นไปในอากาศที่ด้านบน
ฟางซิ่วซานแหงนหน้าขึ้นไปและเริ่มหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา เมื่อได้เห็นฟางเว่ยบินออกไป จิตใจมันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และมันก็รู้ว่าในตอนนี้ กฎอันเข้มงวดทั้งหมดของตระกูลไม่ได้สำคัญอีกต่อไป และสามารถจะกวาดเก็บซุกไว้ใต้พรมได้อย่างง่ายดาย
และมันก็เป็นความจริง ขณะที่ฟางเว่ยพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า ผู้เฒ่าสูงสุดก็มองไปยังฟางซิ่วซาน และส่งสายตาที่แฝงความนัยอันลึกซึ้งไปยังมัน โดยที่ไม่กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ในตอนนี้มีแต่ฟางเว่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังบินขึ้นไปในกลางอากาศ เมื่อคนที่อยู่ด้านล่างได้เห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสสายโลหิตของมันก็บินขึ้นไปด้วยเช่นกันในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์เต๋า เวลาเดียวกันนั้น ค่ายกลเวทอันยิ่งใหญ่ของตระกูลฟางก็เริ่มต้นทำงานขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทำให้ฟางเว่ยกลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจทั้งหมดบนดาวตงเซิ่ง
ที่ด้านล่างในถ้ำศิลาใต้พื้นดินของคฤหาสน์โบราณ ปรมาจารย์อีกหกคนได้ตื่นขึ้นมาและเริ่มสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ปรากฏกายขึ้นในรูปแบบของมนุษย์ แต่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันก็ม้วนกวาดออกไปทั่วทั้งดวงดาว
ในตอนนี้ ฟางเว่ยคือจุดสนใจของสายตาทุกคู่!
ฟางซียืนอยู่ภายในกลุ่มฝูงชน กำหมัดจนแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยการต่อต้านขัดขืน
“ฟางฮ่าวน่าจะกลายเป็นเซียนแท้ด้วย!”
“ฟางฮ่าว ข้าหวังว่าท่านจะสบายดี และหวังว่าท่านจะรู้ด้วยว่าฟางเว่ย…กำลังกลายเป็นเซียนแท้และตอนนี้กำลังเตรียมตัวโจมตีไปที่ประตูเซียน เพื่อเปิดชีพจรเซียนของมัน!”
เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในท้องฟ้า ขณะที่ประตูเซียนตกลงมา ตระกูลและสำนักทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้า กำลังใช้วิธีการที่แตกต่างกันออกไป เพื่อสังเกตดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นบนดาวตงเซิ่ง
ถ้าไม่นับตานกุ่ย ฟางเว่ยคือคนที่สองในรุ่นนี้หลังจากฝานตงเอ๋อร์…ที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนเซียนแท้!
“ฝานตงเอ๋อร์เปิดชีพจรเซียนได้เก้าสิบหกจุด ไม่รู้ว่า…ฟางเว่ยจะเปิดได้กี่จุดกัน?!” คำถามเช่นนี้ได้ผุดขึ้นมาอยู่ในจิตใจของคนทั้งหมด ที่กำลังเฝ้ามองดูอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า
ฟางเว่ยคล้ายกับเป็นดาวตก ขณะที่มันพุ่งทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า ตรงไปยังทัณฑ์เซียนที่ส่งเสียงดังกึกก้อง สายฟ้าฟาดลงมาอยู่รอบๆ ตัว ขณะที่มันส่งเสียงกู่ร้อง ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ไม่สนใจทัณฑ์เซียนโดยสิ้นเชิง และพุ่งตรงไปยังประตูเซียนที่อยู่ภายในกลุ่มเมฆ
“เป้าหมายของข้าคือเปิดชีพจรให้ได้เก้าสิบแปดจุด!” มันพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา “หลังจากที่ข้ามีชีพจรเซียน ฟางฮ่าว…เจ้าก็จะเป็นเหมือนมดแมลงในสายตาของข้า ผลเนี่ยผานทั้งสองลูกของเจ้าจะทำให้ข้า, ฟางเว่ย กลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในรุ่นนี้!”
“แต่ข้าก็จะบดขยี้เจ้าให้ตายไป เพื่อตัดจิตมารในใจข้า!” ดวงตาฟางเว่ยสาดประกายด้วยความภาคภูมิใจ และเย่อหยิ่งทรนง ขณะที่มันคิดไปถึงความปรารถนาที่จะ…กลับไปสู่ตำแหน่งก่อนหน้านี้ของมันก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์ตงเซิงจือหยาง (ตะวันรุ่งบูรพา)…เว่ยกงจื่อแห่งตระกูลฟาง!