Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 979

ตอนที่ 979

โชควาสนาปะทุขึ้น!

ตัวอักษร ‘仙’ (เซียน) ลอยออกมา ทะลวงผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว กลายเป็นลำแสงอันน่าตื่นตกใจ

ดูคล้ายกับเป็นเซียนกำลังบินผ่านท้องฟ้ามา ในชั่วพริบตาก็มาปรากฏขึ้นที่ด้านนอกของดาวตงเซิ่ง ไปอยู่ที่ด้านข้างของประตูเซียน อีกครั้งที่มันได้รวมตัวกันเป็นตัวอักษร ‘仙’ ขนาดใหญ่

ตัวอักษรนี้ได้กระจายแรงกดดันจนแม้แต่ประตูเซียนก็ยังไม่อาจจะเทียบเปรียบได้ ทำให้ประตูเซียนต้องสั่นสะท้านขึ้น ราวกับว่ามันกำลังถูกท้าทาย ระลอกคลื่นเริ่มกระจายออกมา ขณะที่ตัวอักษรสั่นสะท้านและเคลื่อนที่ตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง ขณะที่มองไปยังตัวอักษรเซียนขนาดใหญ่นั้น และตลอดทั้งร่างก็สั่นสะท้านไปมา ตัวอักษรนั้นดูช่างคุ้นเคยนัก…คล้ายกับเป็นตัวอักษรที่เขาเคยเห็นจากการปลดปล่อยออกมาของชายชราในภาพที่เขาเคยพบเห็นมา ตอนที่อยู่ในวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณบนดาวหนานเทียน

“เซียนกู่เต้าฉ่าง…” เมิ่งฮ่าวคิด อ้าปากค้างด้วยความตกใจ ขณะที่ตัวอักษรเซียนเข้ามาใกล้ มันหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีความสูงแค่หนึ่งชุ่นเท่านั้น และหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของเมิ่งฮ่าว

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ชีพจรเซียนที่ได้ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มควันของตะเกียงวิญญาณสัมฤทธิ์ ก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแปลกๆ ราวกับว่าตอนนี้มันกำลังเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับกับชีพจรเซียนใหม่นี้

เสียงกระหึ่มกึกก้องได้ยินออกมาจากภายในร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบแปดได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องนอกของประตูเซียน มันแผดร้องคำรามและหมุนวนอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว มังกรตัวนี้เป็นสีทองไปโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าจะรวมทุกสรรพสิ่งที่เป็นเซียนเข้าด้วยกัน เสียงร้องคำรามของมันทำให้จิตใจของคนที่ได้ยินทั้งหมดต้องสั่นสะท้านขึ้น

“นั่น…นั่นคือ…”

“ข้ากำลังตาฝาดไป? คาดไม่ถึงว่าจะมีตัวอักษรเซียน ลอยมารวมเข้ากับฟางฮ่าว?”

“ตัวอักษรเซียนนี้มาจากที่แห่งใดกัน?” ขุนเขาทะเลที่เก้าตกอยู่ในเสียงหึ่งๆ ด้วยความตื่นตระหนก และกลุ่มผู้ชมทั้งหมดต่างก็ประหลาดใจ มีแต่เหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าจากสำนักและตระกูลต่างๆ เท่านั้น ที่มองไปยังขุนเขาที่เก้าด้วยดวงตาที่สาดประกายขึ้น

เห็นได้ชัดว่า พวกมันไม่ได้มองตรงไปยังตระกูลจี้ แต่มองไปยังกองกำลังอื่น ซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ครอบครองขุนเขาที่เก้า…หนึ่งในสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่, เซียนกู่เต้าฉ่าง!

เมิ่งฮ่าวก็มองขึ้นไปยังทิศทางของขุนเขาที่เก้าด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของเขาจะไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะให้มองเห็นได้ แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงมันได้ เขารู้ว่าต้นกำเนิดของตัวอักษรเซียนนี้ไม่ได้มาจากดาวหนานเทียน

เขายังรู้ด้วยอีกว่าที่ด้านนอกของดาวหนานเทียน ในขุนเขาทะเลที่เก้า ยังมีวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณอื่นอยู่อีก หนึ่งในนั้นไม่ได้เป็นเศษซากปรักหักพัง แต่เป็นหนึ่งในสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่!

เมิ่งฮ่าวไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ

เป็นการโค้งตัวลงด้วยความสำนึกในบุญคุณอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่าเซียนกู่เต้าฉ่างได้ประทานโชควาสนามาให้เขา ด้วยการช่วยเปิดชีพจรเซียนอีกจุดหนึ่งให้ การมอบชีพจรเซียนนี้ไม่ใช่งานที่จะสามารถทำกันได้อย่างง่ายดาย แม้แต่จะด้วยกองหนุนที่ลึกล้ำก็ตามที พวกมันคงจะต้องจ่ายค่าตอบแทนออกมาอย่างมากมาย ในสิ่งที่เพิ่งจะทำไปนี้

“ขอบคุณมาก!” เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ชีพจรเซียนทั้งหนึ่งร้อยสิบแปดจุดนี้ ได้ทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน และเมิ่งฮ่าวก็รู้ว่า…ทุกสิ่งทุกอย่างได้จบลงแล้วในตอนนี้

ชีพจรเซียนหนึ่งร้อยสิบแปดจุดเป็นสิ่งที่เขามีความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในตอนนี้เขาต้องการจะรู้ว่า…หลังจากที่ประตูเซียนปิดลง เขาจะมีความแข็งแกร่งมากมายเท่าใดกันแน่!

อย่างไรก็ตามได้มีบางสิ่งที่เมิ่งฮ่าวไม่ได้ตระหนักถึง ที่กำลังลอยอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวที่ด้านนอกดาวตงเซิ่ง เป็นใครบางคนที่มีความรู้สึกอันเลวร้ายมากอยู่ในตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าแห่งตระกูลฟาง, ปรมาจารย์ปฐพี

มันนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่ที่นั่น ทำตัวเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับเมิ่งฮ่าว และในตอนนี้ดวงตาก็กลายเป็นสีแดงเจิดจ้า เต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งดิ้นรนและลังเล

“บัดซบ, เซียนกู่เต้าฉ่าง! พวกเจ้าคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่, หือ?”

“พวกเจ้ามอบโชควาสนาให้กับฉีหลินจื่อ (บุตรกิเลน) แห่งตระกูลฟาง ไม่ใช่เพราะความเมตตา แต่ต้องการจะบ่อนทำลายตระกูลของพวกข้า? พวกเจ้าคิดว่าการมอบโชควาสนาให้ จะทำให้มันสำนึกในบุญคุณ จนต้องการจะไปเป็นศิษย์ของพวกเจ้า?”

“บัดซบ นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่…แต่ถ้าคนทั้งหมดในขุนเขาทะเลที่เก้ารู้เรื่องนี้ ก็ต้องมองว่าตระกูลฟางไร้ความสามารถ! เจ้าคิดว่าพวกเราไม่อาจจะมอบชีพจรเซียนให้กับมันได้?” ปรมาจารย์กำลังมีโทสะ คล้ายกับว่ามีเศรษฐีอยู่สองคน เศรษฐีผู้หนึ่งมีบุตรชาย แต่จู่ๆ เศรษฐีอีกคนก็จัดงานวิวาห์ให้กับบุตรีของตนและบุตรชายผู้นั้น จากนั้นก็ประกาศไปทั่วว่ามันเป็นผู้รับผิดชอบงานวิวาห์นี้ทั้งหมด โดยที่บิดาของฝ่ายชายไม่ได้ทำอะไรเลย

ด้วยการเป็นผู้อาวุโสของตระกูล เหตุการณ์เช่นนี้คล้ายกับการถูกตบหน้าอย่างรุนแรง ทำให้ตอนนี้มันตกอยู่ในเพลิงโทสะไปโดยสิ้นเชิง

“ท่านย่าเซียนกู่เต้าฉ่างมันเถอะ! ตระกูลฟางของพวกข้าคงอยู่มานานหลายชั่วรุ่นแล้ว เรื่องเช่นนั้นพวกข้าก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน!” ปรมาจารย์ปฐพีกล้ำกลืนต่อความเจ็บปวดใจ กัดฟันแน่นใช้มือขวาขยับร่ายเวท จากนั้นก็ชี้ลงไปยังดาวตงเซิ่ง

การแสดงออกเช่นนี้ทำให้แก่นแท้ของพลังกระจายออกไป ดาวตงเซิ่งสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง และยังได้หยุดการโคจรหมุนวนไปชั่วคราวอีกด้วย ในเวลาเดียวกันนั้น หยดโลหิตก็ได้พุ่งออกมาจากหน้าผากสมาชิกทั้งหมดของตระกูลฟาง

ซึ่งรวมทั้งผู้เฒ่าสูงสุด, ฟางซิ่วซาน และแม้แต่ฟางเว่ย พวกมันไม่อาจจะควบคุมหยดโลหิตนั้นไม่ให้พุ่งออกไปจากหน้าผากตนเองได้

“ไม่!” ฟางเว่ยร้องตะโกนออกมา ดวงตามันเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ แต่ด้วยระดับพื้นฐานฝึกตนของมันแล้ว จะสามารถต่อต้านขัดขืนได้อย่างไร? ได้แต่ต้องมองไปขณะที่หยดโลหิตพุ่งออกมาและจากนั้นก็ลอยออกไป!

“สายโลหิตมังกร!” ปรมาจารย์ปฐพีแผดร้องคำรามออกมา หยดโลหิตทั้งหมดลอยขึ้นไปในอากาศ แต่ละหยดโลหิตเหล่านั้นเป็นของสมาชิกตระกูลฟางทั้งหมด

ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ หยดโลหิตทั้งหมดรวมตัวเข้าด้วยกันในกลางอากาศ ก่อตัวเป็นมังกรโลหิต ส่งเสียงคำรามขณะที่พุ่งฝ่าอากาศไป แม้แต่บนหน้าผากของปรมาจารย์ปฐพีก็มีโลหิตหนึ่งหยดพุ่งออกมา และเมื่อโลหิตหยดนั้นไปหลอมรวมเข้ากับมังกรโลหิต ก็ระเบิดขึ้นกลายเป็นเปลวไฟ ทำให้โลหิตทั้งหมดจากตระกูลฟาง ถูกกลั่นสกัดและมีความร้อนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด

หลังจากนั้นปรมาจารย์ตระกูลฟางก็กัดฟันแน่น และชี้นิ้วตรงไปยังตระกูลฟางอีกครั้ง ระฆังเต๋าของตระกูลฟางปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้น และเกิดเป็นเสียงดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันนั้น ขวดโบราณก็ได้ลอยออกมาจากด้านในของระฆัง ภายในขวดนั้นมีโลหิตอยู่สามหยด หนึ่งในสามหยดโลหิตนั้นได้ลอยขึ้นไปในอากาศ

มันเป็นแค่หยดโลหิตเล็กๆ เพียงหยดเดียวเท่านั้น แต่ก็ทำให้สวรรค์และปฐพีต้องเต็มไปด้วยสีสันที่แวบขึ้นมา สายลมขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น แสงสีโลหิตสาดส่องไปบนใบหน้าของผู้ฝึกตนที่กำลังเฝ้ามองมาอยู่ทั้งหมด

“นั่นคือโลหิตวิญญาณจากปรมาจารย์รุ่นแรกตระกูลฟาง!”

“บ้าไปแล้ว! เซียนกู่เต้าฉ่างไปทำให้ฟางโส่วเต้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนมันต้องดึงเอาของวิเศษประจำตระกูลฟางออกมา! คนส่วนใหญ่บอกว่าฟางโส่วเต้าเป็นผู้ที่มีอารมณ์ร้อนและถูกกระตุ้นได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง!”

“โลหิตวิญญาณทั้งสามหยดนั้น ต้องเป็นของปรมาจารย์รุ่นแรกตระกูลฟาง ที่ตกทอดมาจากการที่ท่านได้ตายไปในช่วงของการเข้าฌานอย่างแน่นอน แม้แต่ราชันจี้ก็ยังอยากได้มันมาครอบครอง!” เหล่าปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าจากสำนักและตระกูลต่างๆ มองไปด้วยปากที่อ้าค้าง

ลึกลงไปใต้พื้นดินของตระกูลฟาง จิตใจของปรมาจารย์อีกหกคนกำลังหมุนคว้าง

“พี่ใหญ่…กำลังทำอะไรอยู่?!”

ปรมาจารย์ปฐพีตระกูลฟางมีใบหน้าที่ดุร้าย หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วขณะ มันก็กัดฟันแน่น และจากนั้นก็โบกสะบัดมือออกไปในอากาศ ทันใดนั้นหยดโลหิตวิญญาณของปรมาจารย์รุ่นแรก ก็พุ่งตรงไปยังมังกรโลหิต และหลอมรวมเข้าไป

เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น ขณะที่มังกรเริ่มเดือดพล่านอีกครั้ง จากนั้นก็หดตัวเล็กลงไป เพื่อกลายเป็นตัวอักษรสีโลหิตหนึ่งตัว!

方 !! (ฟาง)

ตัวอักษรนี้ได้กระจายความรู้สึกแห่งพลังสายโลหิต รวมทั้งการเกิดใหม่อันน่าตกใจออกมา เป็นพลังของสี่ชีวิตแห่งการเกิดใหม่ ซึ่งได้กระจายอยู่ในโลหิตของตระกูลฟางออกมาเป็นระยะ ทำให้ทั่วทั้งขุนเขาทะเลที่เก้าต้องสั่นสะเทือนอยู่ในตอนนี้

ตัวอักษรฟางส่องประกายระยิบระยับ และกระจายพลังอันน่าตกใจออกมาเป็นระยะ ขณะที่พุ่งตรงมายังเมิ่งฮ่าว ซึ่งกำลังจ้องมองไปด้วยดวงตาที่เบิกกว้างยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ แต่ก็ไม่ได้สงสัยเท่าใดนัก เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสายโลหิตที่กระจายออกมาจากตัวอักษร และทำให้โลหิตของตนเองต้องเดือดพล่าน เป็นความรู้สึกที่เกิดเป็นแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน จนทำให้จิตใจเขาต้องสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรงในทันที

“เกิดอะไรขึ้น? ตระกูลฟางกำลังช่วยข้าอยู่จริงๆ?” ดวงตาเมิ่งฮ่าวเบิกกว้างขึ้น ขณะที่มองไปยังตัวอักษรฟางสีโลหิตพุ่งตรงมา และจากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในหน้าผาก

ฉับพลันนั้นเสียงกระหึ่มก็ดังเต็มอยู่ภายในร่าง และโลหิตของเขาก็ดูเหมือนจะมีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม ในเวลาเดียวกันนั้นตัวอักษรฟาง ก็ทำให้มังกรสายโลหิตเริ่มก่อตัวขึ้นมาอยู่ภายในร่าง

ชีพจรเซียนจุดที่หนึ่งร้อยสิบเก้าก่อตัวขึ้นมา ถูกกระตุ้นโดยโลหิตวิญญาณของปรมาจารย์รุ่นแรก พร้อมกับโลหิตจากสมาชิกทั้งหมดของตระกูลฟางเป็นพื้นฐาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังเซียนใดๆ จากประตูเซียน

ในเวลาเดียวกันนั้น มังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบเก้าก็ได้ปรากฏขึ้นอยู่ที่ด้านข้างประตูเซียน กระจายกลิ่นอายของสายโลหิตตระกูลฟางออกมา ทำให้ทุกสรรพสิ่งในบริเวณนั้นต้องสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง

เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ว่าพื้นฐานฝึกตนของตัวเองกำลังมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น และรู้สึกได้ว่าสายโลหิตระกูลของเขาก็มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่อาจจะทดสอบมันได้ในตอนนี้ แต่ก็มั่นใจว่าลำแสงสายโลหิตของตนเองจะต้องไม่ใช่หนึ่งหมื่นจ้างอีกต่อไป แต่ต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

เห็นได้ชัดว่า นี่คือพลังของการปลุกบรรพบุรุษให้ตื่นขึ้นมา!

ต่อมาเสียงของปรมาจารย์ปฐพีแห่งตระกูลฟาง ก็ดังก้องผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเข้ามาอยู่ในหูของเมิ่งฮ่าว จนทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง

“เซียนกู่เต้าฉ่าง ถ้าพวกเจ้าแข็งแกร่งนัก ก็ให้ประทานชีพจรเซียนมาให้กับฉีหลินจื่อของตระกูลข้าอีก! ถ้าพวกเจ้าทำเช่นนั้น ตระกูลฟางก็จะทำเช่นเดียวกัน!”

“มาเลย! พวกเราจะต่อสู้กันด้วยชีพจรเซียนอีกหนึ่งจุด!” ทันทีที่เสียงของปรมาจารย์ปฐพีดังก้องออกไป เหล่าปรมาจารย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ ในขุนเขาทะเลที่เก้าทั้งหมดต้องเงียบเสียงลง สี่ชายชราที่อยู่ในเซียนกู่เต้าฉ่างแค่นเสียงอย่างเย็นชา แต่ก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้ใดๆ

พวกมัน…ไม่มีชีพจรเซียนให้ส่งไปได้อีก

ปรมาจารย์ปฐพีตระกูลฟางมีท่าทางค่อนข้างภาคภูมิใจในตนเอง ถึงแม้ว่าภายในใจจะรู้สึกเจ็บปวดก็ตามที ดูเหมือนว่ามันหุนหันพลันแล่นไปบ้าง ใครก็ตามที่บรรลุถึงระดับพื้นฐานฝึกตนเช่นมัน ต้องสามารถจะควบคุมความคิดของตนเองได้ เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับจากเซียนกู่เต้าฉ่าง มันก็ขมวดคิ้ว คิดอยู่ภายในใจ

“ไม่ส่งมาอีก? แย่นักที่ไม่อาจจะหลอกลวงชีพจรมาจากพวกมันได้อีก แต่เด็กผู้นี้ก็ได้บรรลุถึงขีดจำกัดของมันแล้ว และมันก็มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยภักดีต่อตระกูลมากนัก ดังนั้นคงจำเป็นที่จะต้องมอบหยดโลหิตวิญญาณนั้นให้กับมัน”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดของปรมาจารย์ปฐพีแห่งตระกูลฟาง สีหน้าเขาก็แปลกขึ้นเล็กน้อย มองไปยังมังกรเซียนตัวที่หนึ่งร้อยสิบเก้า จากนั้นก็มองกลับลงไปยังดาวตงเซิ่ง ถึงแม้ว่าไม่อาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้สึกของเขาได้ถูกปลดเปลื้องออกไปโดยสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นบุคคลภายนอกเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

“หนึ่งร้อยสิบเก้าชีพจรเซียน” เมิ่งฮ่าวคิด มองกลับไปยังประตูเซียน ในตอนนี้เองที่เสียงใหม่อีกเสียง จู่ๆ ก็มากระซิบอยู่ภายในหูของเขา เป็นเสียงที่เก่าแก่โบราณเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้า…ยังจำข้าได้หรือไม่?”

“ข้ามีนามว่า…โฉ่วเหมินไถ!”

เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินสองประโยคนี้ และนามนั้น จิตใจก็ต้องเต้นรัว ฉับพลันนั้นเขาก็ผงกศีรษะมองออกไปในหมู่ดาว สิ่งที่เขากำลังค้นหาดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ด้านนอกของขุนเขาทะเลที่เก้า

ไกลออกไปบนดาวดวงอื่น มีบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ และยิ้มขึ้น

“ข้าไม่ได้ตายไป…ร่างจำแลงของข้าตกลงไปบนดาวหนานเทียนเมื่อหลายปีก่อน และถ่ายทอดเซียนชี้ทางให้กับเจ้า ข้าเคยบอกเจ้าว่าเมื่อเจ้าบรรลุกลายเป็นเซียน เจ้าก็สามารถจะใช้พลังของมันทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตกลงมาได้”

“วันนี้ข้าจะมอบ…โลกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวของตี้จ้างต้าจุนให้เจ้าสักเล็กน้อย เพื่อสร้างเป็นชีพจรเซียน และช่วยให้เจ้ามีความรุ่งเรืองต่อไปในอนาคต…”

“จดจำไว้ ให้มายังดาวหู่เหลา (กรงพยัคฆ์) ในขุนเขาทะเลที่เจ็ด ข้าได้ตกทอดของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเจ้าอยู่ที่นั่น”

“มีใครบางคนที่ข้าต้องการจะชุบชีวิตขึ้นมา และ…ข้าหวังว่าเจ้าสามารถจะช่วยข้าได้ในอนาคต…ดังนั้น ข้าจะช่วยเจ้าก่อนในตอนนี้”

ตูม!

จิตใจเมิ่งฮ่าวหมุนคว้าง ขณะที่หวนรำลึกไปถึงโฉ่วเหมินไถ ซากศพเซียนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ตอนที่เขายังเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นรวบรวมลมปราณ!

——————-

หมายเหตุ :

  1. ภาพที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นในวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ อยู่ในตอนที่ 807 : วิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ และตอนที่ 819 : ภาพแห่งสมัยโบราณแวบขึ้น
  2. โฉ่วเหมินไถตกลงมาบนดาวหนานเทียน ตอนที่ 61, ได้แนะนำตัวเองและอธิบายเซียนชี้ทางให้เมิ่งฮ่าวฟัง ตอนที่ 301, ถูกเมิ่งฮ่าวปลุกให้ฟื้นขึ้นมาในถ้ำกำเนิดใหม่ ตอนที่ 555, ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตอนที่เมิ่งฮ่าวไปยังถ้ำกำเนิดใหม่ ตอนที่ 689, จากนั้นก็ถูกสุ่ยตงหลิวส่งออกไปจากดาวหนานเทียน ตอนที่ 692

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!