บทที่ 1: เด็กหนุ่มจ้าวเฟิง
ในยามเช้ามืด เพียงแค่แสงแรกของวันอาบย้อมท้องฟ้าสีหมึกจนเปล่งประกาย ในขณะที่ทั่วทั้งเมืองประกายอรุณยังคงหลบซ่อนอยู่ภายใต้ความมืดก่อนอรุณรุ่ง…
ณ เมืองประกายอรุณ ตระกูลจ้าว
“พรึ่บ!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งขยับตัวตามสัญชาติญาณ โยนผ้าห่มอุ่นสบายออกไป กระเด้งตัวออกจากเตียงก่อนสวมใส่เสื้อผ้า ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น
ในเวลาที่ศิษย์ของตระกูลส่วนใหญ่หรือกระทั่งข้ารับใช้บางคนยังคงหลับใหล…
เด็กหนุ่มผู้นี้อายุเพียง 13-14 ขวบปีเท่านั้น ร่างกายของเขาผอมเพรียวและมีใบหน้าเยาว์วัย แม้จะไม่หล่อเหลานักแต่ก็ยังคงมีเค้าความดูดี โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ใสกระจ่างและเต็มไปด้วยความดึงดัน
“อีกเพียงนิดข้าก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตน จากนั้นข้าก็จะสามารถทำให้เจ้าพวกศิษย์ตระกูลจ้าวผู้อื่นหุบปากได้”
เด็กหนุ่มผู้นี้นามว่า จ้าวเฟิง ครึ่งปีก่อนเขาได้มาจากตระกูลจ้าวแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียว(ตระกูลสาขา)สู่เมืองประกายอรุณอันเป็นตระกูลหลักด้วยความสามารถที่โดดเด่นของเขา
ณ ตระกูลสาขาที่หมู่บ้านใบไม้เขียวนั้น เขานับเป็นอัจฉริยะและเป็นผู้แรกที่เข้าสู่ขั้นหนึ่งของผู้ฝึกตน นับแต่นั้นเขาก็ได้จากชีวิตแสนธรรมดาและก้าวเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกฝน
ในตอนนั้น เหล่าผู้อาวุโสในหมู่บ้านต่างชื่นชมในพรสวรรค์ของเขาและกล่าวว่าอนาคตของเขาไม่อาจคาดเดาได้
ตระกูลของเขา บิดามารดาของเขา ทุกคนล้วนคาดหวังในตัวเขาไว้อย่างมาก
ทว่ามีเพียงตัวจ้าวเฟิงเท่านั้นที่รู้ว่าความพยายามมากเท่าใดที่เขาใช้เมื่อเทียบกับผู้อื่น ที่ทำให้เขาสามารถกลายเป็นอัจฉริยะแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียวได้
ตระกูลแห่งหมู่บ้านใบไม้เขียวเป็นหนึ่งในตระกูลสาขาของตระกูลหลักจ้าว ทุกๆ 5 ปี พรรคของตระกูลหลักจะรับตระกูลสาขาไป 2 คน
ผู้ที่มาพร้อมกับจ้าวเฟิงคือ จ้าวเสวี่ย เด็กสาวที่ก้าวเข้าสู่การฝึกฝนปราณขั้นแรกหลังจากเขาเพียงสองเดือน
หลังจากที่ออกจากหมู่บ้านใบไม้เขียว เด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ต้องการที่จะไปยังตระกูลหลักและแสดงความสามารถของเขา
ทว่าเพียงแค่เขาก้าวเข้ามาภายในพรรค เขาก็ตระหนักได้ว่า เขาเป็นเพียงกบที่อยู่ในก้นบ่อน้ำเท่านั้น…
ในด้านของประชากรนั้น ตระกูลสาขาที่หมู่บ้านใบไม้เขียวมีคนเพียง100คน และผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกับเขามีเพียง 7-8 คน
แต่ในพรรคตระกูลหลักจ้าวนั้นกลับมีคนนับหมื่น พวกเขาครอบครองที่ดิน เหมือง และทรัพยากรจำนวนมาก เมื่อเทียบกับตระกูลที่หมู่บ้านใบไม้เขียวแล้ว ตระกูลหลักนั้นใหญ่กว่านับ 100 เท่า!
เมื่ออยู่ในตระกูลสาขา เขาคือผู้มีพรสวรรค์ บางคนถึงขั้นยกยอเขาว่าเป็นอัจฉริยะ ทว่าเมื่อมายังพรรคตระกูลหลัก เขาก็เป็นได้แค่เพียงผู้ฝึกตนขั้นต่ำสุดในรุ่นเดียวกัน เป็นเพียงศิษย์สายนอกที่แสนต่ำต้อย
ภายในพรรคตระกูลจ้าวนั้น ศิษย์ในตระกูลรุ่นเดียวกับเขาจำนวนมากได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่2ของผู้ฝึกตนแล้ว พวกที่มีพรสวรรค์บางคนถึงขั้นสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่3ได้ และตามข่าวลือนั้น อัจฉริยะของตระกูลบางคนได้ก้าวเข้าสู่ขั้นที่4แล้ว…
เมื่อถูกความจริงถาโถมเข้าใส่ จ้าวเฟิงจึงได้สำนึกขึ้นว่าเขาไม่อาจนับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับพวกนั้น เขาช่างดึงดันไร้เดียงสาและเป็นเพียงสิ่งกระจ้อยร่อย
กระทั่งจ้าวเสวี่ย เด็กสาวผู้งดงามที่มาพร้อมกับเขาจากหมู่บ้านใบไม้เขียวก็เริ่มสร้างระยะห่างจากเขาหลังจากเข้ามายังพรรค นางยิ่งทำตัวติดกับศิษย์หนึ่งในสามอันดับแรกของศิษย์สายนอกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อจ้าวเสวี่ยยังคงอยู่ที่หมู่บ้านใบไม้เขียว เด็กสาวมองเขาด้วยความเกรงกลัวและกระทั่งชื่นชมเขา ทว่าในเวลานั้นจ้าวเฟิงยังคงตั้งมั่นในการฝึกฝนและไม่สนใจนาง
นับแต่นั้นเขาจึงยิ่งทุ่มเทให้กับการฝึกฝนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะความรู้สึกสิ้นหวัง
เขาสาบานไว้ว่าเขาต้องเป็นอันดับหนึ่งในพรรคตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณ หรือมิเช่นนั้นเขาต้องกลับไปยังหมู่บ้านใบไม้เขียว!
หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จ จ้าวเฟิงก็สูดหายใจลึกก่อนวิ่งไปยังลานฝึกฝนของตระกูล
“ฮ่าห์! ฮ่าห์!”
เด็กหนุ่มก้าวไปครึ่งก้าวพร้อมกับกำปั้นคู่ที่โอบอุ้มสายลมเอาไว้ และเริ่มฝึกฝน ‘หมัดเหล็กเพลิง’ แห่งตระกูลจ้าว
‘หมัดเหล็กเพลิง’ นั้นเป็นเพียงวิชาพื้นฐาน แต่จ้าวเฟิงได้ฝึกฝนมันอย่างตั้งใจและขัดเกลามันออกมาอย่างงดงาม
โดยปกติแล้ว วิชาสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระดับ พื้นฐาน ต่ำ กลาง สูง และเชี่ยวชาญ
วิชาพื้นฐานและวิชาระดับต่ำถูกใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายและโลหิตของผู้ฝึก พลังโจมตีจากวิชาเหล่านี้มีจำกัดนัก
ตามปกติแล้วยิ่งระดับขั้นของวิชาสูงมากขึ้นเท่าใด พลังโจมตีของมันก็จะมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลดีในการฝึกฝนยิ่งขึ้น
ทว่าด้วยฐานะตระกูลสาขาของจ้าวเฟิง รวมกับพรสวรรค์ที่ไม่ได้มากมายอันใด มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในการได้เรียนรู้วิชาระดับสูงกว่านี้
“ข้าได้ติดอยู่ที่ขั้นหนึ่งแห่งผู้ฝึกตนมาเป็นเวลานาน ทว่าเพื่อที่จะทะลวงไปยังขั้นที่สองเวลานั้นนับว่ายังไม่เพียงพอ”
หลังจากที่ฝึกฝนอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบถี่
พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจนับได้ว่าแย่ แต่สาเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจตามผู้อื่นทันได้นั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีวิชาระดับสูง รวมทั้งเขายังไม่ได้ร่ำรวยเช่นศิษย์ตระกูลหลักที่จะสามารถซื้อยาราคาแพงเพื่อช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนได้
บางคนกล่าวว่าศิษย์จำนวนหนึ่งของตระกูลจ้าวได้ใช้ยาล้ำค่าเหล่านี้ตั้งแต่เกิดเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ก่อนที่จะอายุ10ขวบ พวกเขาก็สามารถเข้าสู่ขั้น1ของผู้ฝึกตนได้แล้ว นับว่าได้เปรียบผู้อื่นนัก และที่จุดเริ่มต้นนั้นจ้าวเฟิงก็ได้ถูกกีดกันออกไปไกลจากพวกเขา
ครึ่งชั่วยามถัดมา ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นบนฟากฟ้าอย่างเชื่องช้า
ในลานฝึกฝนนั้น ศิษย์ตระกูลจ้าวค่อยๆ ทยอยมาทีล่ะคนสองคน บ้างพูดคุยหัวเราะกับผู้อื่น บ้างก็เล่นกันเอง
ทว่าเมื่อสายตาของพวกเขาปะทะเขากับร่างของเด็กหนุ่ม ดวงตาของพวกเขาก็เย็นชาขึ้น บางคนถึงขั้นเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
อาการเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเพียงแค่จ้าวเฟิง ศิษย์ตระกูลจ้าวทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ดูถูกทุกคนที่มาจากตระกูลสาขา เบื้องหน้าเหล่าตระกูลสาขานั้น พวกเขารับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่!
ขณะที่จ้าวเฟิงจมอยู่ในความคิดของตน เสียงหวีดหวิวของสายลมก็ดังขึ้นจากเบื้องหลังของเขา
“เจ้าด้ามไม้กวาด! หยุดอยู่ตรงนั้น!”
“ป้าบ!”
ฝ่ามือที่แข็งราวกับเหล็กตบลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง
“เป็นเจ้า…” เด็กหนุ่มเกือบจะสูญเสียสมดุลและล้มลง โชคดีที่เขายังมีความสามารถจึงสามารถทรงตัวได้อยู่
ผู้ที่เป็นเจ้าของการกระทำนั้นคือเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดสีดำสนิท เรือนร่างของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามและคิ้วดกหนา นัยน์ตาเจือความสนุกสนานมองเหยียดร่างที่กำลังพยายามทรงตัวเบื้องหน้า
“จ้าวคุน! นี่หมายความว่าอย่างไร?” ใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง รู้สึกอยากจะต่อยอีกฝ่าย
คราแรกที่เด็กหนุ่มมายังตระกูลหลักจ้าว ทั้งสองได้เกิดขัดแย้งกันขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าจ้าวคุนได้เอ่ยดูถูกผู้ที่มาจากตระกูลสาขาและจ้าวเฟิงรู้สึกไม่พอใจเขาอย่างมาก
จ้าวคุนเป็นผู้ที่จะเอาคืนผู้อื่นในทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ และนับแต่นั้น เมื่อใดที่เขาเห็นจ้าวเฟิง เขาก็จะฉีกหน้าอีกฝ่ายทุกที่ที่พบ
“จ้าวคุน! ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า หากเจ้าไม่สามารถล้มเจ้าศิษย์ตระกูลสาขานี่ได้ภายใน10กระบวนท่า นั่นนับว่าย่ำแย่แล้ว!”
“10กระบวนท่า? จ้าวคุนตอนนี้ได้อยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นสองของผู้ฝึกตนแล้ว ถ้าจะสู้กับเจ้าลูกเต่านี่ ข้าว่าเพียง3กระบวนท่าก็เพียงพอ!”
“3กระบวนท่า? ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวคุนแหงนหน้าหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“พวกเจ้าดูถูกข้า จ้าวคุน แล้ว! แค่เอาชนะเจ้าลูกเต่านี่ ข้าลำบากเพียง1กระบวนท่าเท่านั้น!”
หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น!
เหล่าศิษย์ที่ได้ยินปรากฏความตื่นตะลึงขึ้นบนใบหน้า
“1กระบวนท่า?”
คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเข้าหากันพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป ความโกรธเคืองในใจพุ่งขึ้นอีกครั้ง
เขาและจ้าวคุนห่างกันเพียงหนึ่งขั้นของผู้ฝึกตน หากจ้าวคุนเอาจริง ใน3กระบวนท่าอาจเป็นไปได้
ทว่า แค่หนึ่งกระบวนท่า…
นี่นับว่าเป็นการฉีกหน้ายิ่งนัก!
เด็กหนุ่มมองตรงไปยังดวงตายั่วยุของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มเยือกเย็นลงและคิดว่า
“ข้าไม่อาจตกลงไปในกับดักนี้ได้ แม้ว่าข้าจะรอดผ่านหนึ่งกระบวนท่านั่น เขาก็จะยังคงฉีกหน้าข้าหลังจากนั้นอยู่ดี”
นับแต่เข้ามาอยู่ในตระกูลหลักได้ครึ่งปี จ้าวเฟิงได้พ่ายแพ้อยู่สองสามครั้งและเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน
“วันนี้ข้าค่อนข้างเหนื่อยจากการฝึกฝน ให้ข้าได้พักผ่อนสัก2-3วัน จากนั้นข้าจะสู้กับเจ้า”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนจากไปโดยไร้ซึ่งคำพูดอื่นใด
ท่าทางของเขาทำให้จ้าวคุนซึ่งอายุเท่ากันชะงักไป
“ได้ เจ้าลูกเต่า ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนในวันนี้ แต่ครั้งหน้าที่เจอ อย่าได้ลืมถึง ‘การประลองหนึ่งกระบวนท่า’ แล้วกัน” ดวงตาของจ้าวคุนฉายความเย็นชาและเจ้าเล่ห์ออกมา
การประลองหนึ่งกระบวนท่า?
หัวใจของจ้าวเฟิงเต้นเร็วขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มคิดในใจ
“ดูเหมือนจ้าวคุนจะไม่คิดปล่อยข้าไปจริงๆ”
“ข้าจะทะลวงสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนในเร็วๆ นี้ มีเพียงแค่ทางนี้ที่ข้าจะสู้กับจ้าวคุนได้” หัวใจของเด็กหนุ่มบีบรัดอยู่ในอก
หลังจากกลับจากลานฝึกฝน เด็กหนุ่มก็กลับไปยังบ้านของเขา
ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงสามารถเข้ามายังพรรคตระกูลหลักได้ บิดามารดาของเขาก็ได้รับ ‘ชื่อเสียง’ จากเขาเล็กน้อยและสามารถเข้ามายังพรรคจ้าวได้
นี่ควรนับว่าเป็นเกียรติของบิดามาดาเขาแล้ว
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นกลับรู้สึกละอายเพราะความสามารถของเขาในพรรคจ้าวนั้นอาจสร้างความผิดหวังให้บิดามารดาของเขา และเขาอาจสร้างความผิดหวังให้กับเหล่าผู้อาวุโสที่หมู่บ้านซึ่งคาดหวังกับเขาไว้มากเช่นกัน
“ข้ากลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มท่าทางเยือกเย็นและลุ่มลึกเดินออกมา เขาคือบิดาของจ้าวเฟิง จ้าวเทียนหยาง
“เฟิงเอ๋อร์ มากินข้าวเร็ว!” นี่คือมารดาของเขา จ้าวชี่ ผู้ซึ่งบนใบหน้าเต็มไปด้วยความใส่ใจขณะที่นางนำสำรับออกมาจากครัว
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มกลับมายังบ้าน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและความรักในที่แห่งนี้
“ขอบคุณขอรับ ท่านแม่… อร่อยมาก!”จ้าวเฟิงเอ่ยขณะที่ในปากเต็มไปด้วยอาหาร
ในขณะที่เขากำลังกินอยู่นั้น จ้าวเทียนหยางและจ้าวชี่มิได้เอ่ยคำอันใด ราวกับมีบางอย่างอยู่ในใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เป็นอันใด…”เด็กหนุ่มมองใบหน้าเคร่งเครียดของทั้งคู่ที่ราวกับมีบางอย่างอยากจะพูด จ้าวเทียนหยางและจ้าวชี่มองหน้ากันก่อนที่จะถอนหายใจยาว
“ให้ข้าพูดเถอะ ไม่นานมานี้ พวกระดับสูงของพรรคได้ส่งคนให้นำจดหมายมา” จ้าวเทียนหยางหยุดไปชั่วครู่
“พวกระดับสูงของพรรค?” จ้าวเฟิงไม่เข้าใจ
ใบหน้าของจ้าวเทียนหยางเคร่งขรึมขึ้นก่อนที่จะเอ่ยว่า
“บัดนี้พรรคได้มีกฎเกณฑ์ใหม่ หากบุตรหลานตระกูลสาขาไม่อาจทะลวงสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนได้ จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมใน ‘การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล’ หาก… ก่อนอายุครบ15ขวบปีไม่อาจทะลวงสู่ขั้น3ได้ ก็จะถูกส่งกลับไปยังตระกูลสาขา”
อันใดกัน!
หัวใจของเด็กหนุ่มหยุดเต้นไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล นั้นเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าผู้เยาว์จะได้แสดงความสามารถของตน และผู้ที่ชนะจะได้รับรางวัลจำนวนมาก รวมทั้งมีโอกาสที่จะได้เป็นศิษย์สายในที่จะได้รับการสนับสนุนจากตระกูล
ดังนั้นแล้ว การประลองแลกเปลี่ยนความรู้ประจำตระกูลนั้นจึงเป็นโอกาสในการเปลี่ยนเป็นมังกรจากปลาของศิษย์สายนอก
หากพวกเขาเสียโอกาสในการเข้าร่วม นั่นย่อมหมายถึงการถูกพรรคทอดทิ้งแล้ว!
และกฎที่ทำให้หัวใจของจ้าวเฟิงหนาวยะเยือกคือข้อสุดท้าย ก่อนหน้าที่จะอายุ15 ผู้ที่ไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้น3แห่งผู้ฝึกตนได้จะถูกส่งกลับไปยังตระกูลสาขา
“ไม่ ไม่ มันเป็นไปไม่ได้…” เสียงของเด็กหนุ่มเบาหวิว มือทั้งสองข้างกำแน่น
เขาและบิดามารดานั้นไม่มีหน้ากลับไปหากถูกส่งกลับ
“กฎนี้ถูกใช้กับศิษย์ตระกูลสาขาเท่านั้น” มารดาของเขา จ้าวชี่ มีสีหน้าไม่พึงพอใจ
“แม่ พ่อ มันไม่เป็นไร ข้าจะฝึกให้หนักยิ่งขึ้นและทะลวงเข้าสู่ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตนก่อนที่จะถึงการประลอง” จ้าวเฟิงขบฟันก่อนเอ่ยด้วยร่างกายสั่นเทา
“มีเวลาเหลือเพียงสองเดือน และการสมัครนั้นต้องสมัครก่อนหนึ่งเดือน การทะลวงเข้าสู่ขั้นสองภายในหนึ่งเดือนนั้นไม่นับว่าง่าย”
จ้าวเทียนหยางส่ายศีรษะ
เพียงแค่หนึ่งเดือน?
ดวงตาของจ้าวเฟิงดำมืดลงราวกับตกลงไปในความมืดมิด
หากมีเวลาเหลือ1-2เดือน และเขาพยายามมากขึ้นเป็นเท่าตัว มันยังมีโอกาส20-30%ที่จะสำเร็จ ทว่าสำหรับการทะลวงขั้นภายในหนึ่งเดือนนั้น เขาไร้ซึ่งความมั่นใจโดยสิ้นเชิง!
หลังจากนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จ้าวชี่ก็ปาดมือที่หางตาก่อนจะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“เฟิงเอ๋อร์ มันไม่สำคัญหากเจ้าพลาด… เจ้าทำให้พวกเราภูมิใจแล้ว… อย่างมากก็เพียงแค่กลับไปยังหมู่บ้านและใช้ชีวิตธรรมดา”
“ใช่! หากเรากลับไปยังหมู่บ้าน เจ้าก็ยังคงเป็นอันดับ1 ข้าย่อมให้เจ้าเป็นศีรษะของไก่มากกว่าหางของฟีนิกซ์!”
จ้าวเทียนหยางพยักศีรษะอย่างเห็นด้วย
ในฐานะของบิดามารดาแล้ว พวกเขาย่อมอยากให้บุตรปลอดภัย แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะธรรมดาก็ตาม…
กลับไปยังหมู่บ้านใบไม้เขียว?
“ไม่!”
จ้าวเฟิงสั่นศีรษะอย่างฉุนเฉียว
“ข้าจะไม่กลับไปยังหมู่บ้านและมีชีวิตธรรมดา!”
เขาได้สาบานไว้แล้ว และเพื่อทำมันให้เป็นจริง เขาต้องอยู่ในพรรคจ้าวและในเมืองประกายอรุณ มีที่ดินเป็นของตนเอง
หัวใจของเขาเรียกร้องที่จะเข้าสู่ขั้น9ของผู้ฝึกตน และกรีดร้องถึงดินแดนด้านนอก…
ข้าจะพ่ายแพ้และกลับไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
จ้าวเฟิงอดกลั้นจากความรู้สึกอยากร้องไห้กรีดร้อง และทำเพียงวิ่งออกไปบ้านไป
“เฟิงเอ๋อร์ อย่าได้ดื้อดึง!…” เสียงของบิดามารดาตะโกนไล่หลังเด็กหนุ่ม
“เปรี้ยง!”
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็กรีดเสียงร้องพร้อมด้วยประกายสว่างวาบ หยาดน้ำเริ่มเทลงมาจากเบื้องบน จ้าวเฟิงเก็บกักความสิ้นหวังในจิตใจ กรีดร้องกลับไปยังท้องฟ้าและวิ่งฝ่าสายฝน บัดนั้นที่สายฟ้าได้ฟาดลงไปบนพื้นดิน ทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มสว่างวาบ
“ไม่ดีแล้ว!”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกดดันที่มุ่งตรงมายังเขา จ้าวเฟิงจึงเงยหน้าก่อนจะนิ่งค้างไปกับสิ่งที่เห็น
ตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยเห็นสายฟ้าที่ควบรวมกันราวกับใยแมงมุมเช่นนี้
ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ สายฟ้าเบื้องบนก็ราวกับถูกควบคุมด้วยพลังงานบางอย่างที่ราวกับจะฉีกกระชากมิติออก
“ฟิ้ววววว!”
ริ้วแสงสีดำพุ่งตรงมาจากอวกาศ ผ่านสายฟ้าสร้างรอยฉีกที่งดงามราวกับภาพฝัน
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดาว่า ‘ริ้วแสงสีดำ’ นั้นคือสิ่งใด มันทำได้กระทั่งต่อต้านพลังของสายฟ้า
“เปรี้ยง! เปรี้ยง!”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าปลายเท้าของเขาชาหนึบ ผมและเสื้อผ้ากลายเป็นสีดำ รวมทั้งเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในหูของเขาไม่หยุด
บัดนั้นเองที่ทั้งโลกเงียบลง
“นี่มัน…”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มขาวซีด มองลงไปยังปลายเท้าปรากฏลูกแก้วหน้าตาแปลกประหลาดราวกับดวงตาสีดำสนิท มันคือสิ่งที่ทำให้เกิดริ้วแสงสีดำนั่น
“พรึ่บ! พรึ่บ!”
ลูกแก้วที่คล้ายดวงตานั้นราวกับมีชีวิต มันส่งเสียงราวกับกำลังจ้องมองลงไปยังดวงตาของจ้าวเฟิง
ทว่าเสียงของลูกตานั้นราวกับเป็นเชื่อมต่อกับหัวใจของเขา ให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก
ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกราวกับว่าเขาเรียกมันมา
“เจ้านี่มีชีวิตเช่นนั้นหรือ?”เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ เตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย ทว่าก่อนที่เขาจะได้ทันขยับตัวนั้น
“ฟุบ!”
ลูกแก้วคล้ายลูกตานั้นก็กลายเป็นเพียงภาพเงาเรือนลางเมื่อมันพุ่งเข้าสู่ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม
“อ๊ากกกกกกกกก!” จ้าวเฟิงกรีดร้องออกมาก่อนจะสิ้นสติไป
ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไปนั้น เขามีเพียงความคิดเดียวในศีรษะ
“ข้าต้องฝันไปแน่ๆ… ตาของข้าต้องบอดแน่ๆ!”