บทที่ 1098 สังสารวัฏปรากฏตัว
“จริงๆ แล้วผู้เยาว์มีวิธีพิเศษบางอย่าง ถ้าหากผู้อาวุโสไม่รังเกียจ ก็สามารถส่งลูกศิษย์สักสองสามคนมาที่ตำหนักราชัน ผู้เยาว์จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างสุดความสามารถ เพื่อปลุกให้มารโลหิตสมบูรณ์แบบที่แท้จริงตื่นขึ้น แต่ผู้เยาว์ไม่กล้าจะรับรองผลลัพธ์สุดท้าย!”
จ้าวเฟิงเอ่ยวิธีการที่ตนเองครุ่นคิดเอาไว้นานแล้ว
“วิธีพิเศษ?”
สมาชิกจำนวนมากของตระกูลเถี่ยภายในถ้ำพึมพำอย่างตกใจ
เพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบในร่างของจ้าวเฟิง อยู่เหนือมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบซึ่งเคยปรากฏขึ้นในตระกูลเถี่ย ด้วยเหตุนี้คนระดับสูงของตระกูลจึงคาดเดามาตลอดว่าจ้าวเฟิงอาจจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้สายเลือดพัฒนาขึ้นไม่หยุด
ในวันนี้ จ้าวเฟิงเอ่ยออกจากปากตัวเอง พวกเขาจึงยิ่งเชื่อมั่นในการคาดเดาที่ผ่านมา
เวลาเดียวกัน ผู้อาวุโสตระกูลเถี่ยบางส่วนเกิดความละโมบในใจ ถ้าหากได้วิธีดังกล่าวมา ตระกูลเถี่ยจะบ่มเพาะสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบได้จำนวนมากมิใช่หรือ
คนระดับสูงของตระกูลเถี่ยส่งกระแสจิตสื่อสารกัน
ในด้านวิธีการรับมือกับจ้าวเฟิง พวกเขามีสองทีท่าคร่าวๆ
อย่างแรก รับปากจ้าวเฟิง ยังเป็นมิตรกับตำหนักราชันได้
พัฒนาการในระยะนี้ของตำหนักราชัน ขั้วอำนาจทั้งหมดในราชวงศ์ต้าเฉียนต่างเห็นด้วยตาตนเองทั้งสิ้น ไม่นานเท่าไหร่นัก ตำหนักราชันก็กลายเป็นขั้วอำนาจใหญ่ลำดับต้นๆ ในราชวงศ์
อย่างที่สอง สังหารจ้าวเฟิงลงเสีย และได้ครอบรองวิธีการพิเศษที่จ้าวเฟิงเอ่ยถึง
เพียงแค่ครึ่งเทพชื่อเสี่ยแห่งตระกูลเถี่ยออกโรง การสังหารจ้าวเฟิงไม่น่าจะเปลืองเรี่ยวแรงอะไร
ทันทีที่ตระกูลเถี่ยสามารถเพาะบ่มมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ตระกูลเถี่ยจะต้องกลายเป็นขั้วอำนาจสามดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินใหญ่ กระทั่งไปถึงขั้นสี่ดาวได้
แต่ในตอนนี้ ราชาเซียนชื่อหยางเปิดปากเอ่ย
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ คงต้องลำบากสหายน้อยจ้าวแล้ว!”
ราชาเซียนชื่อหยางระบายยิ้มบาง
ตอนแรก พวกเขาเพียงคิดจะให้จ้าวเฟิงร่วมหอลงโรงกับสตรีตระกูลเถี่ย มีบุตรสักหลายคน ความเป็นไปได้ที่หนึ่งในนั้นจะมีสายเลือดมารโลหิตที่สมบูรณ์ก็มีมากนัก
แต่ในวันนี้ จ้าวเฟิงยอมรับว่าเขามีวิธีการพิเศษ ยินดีช่วยลูกศิษย์ตระกูลเถี่ยปลุกมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบให้ตื่นขึ้น
เทียบกับวิธีของพวกระดับสูงในตระกูลเถี่ยที่ผ่านมา วิธีที่จ้าวเฟิงบอกในตอนนี้จะทำให้ผลประโยชน์ของตระกูลเถี่ยเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ทว่าผลประโยชน์นี้ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก เมื่อเอา ‘วิธีการพิเศษ’ มาจากจ้าวเฟิง
แต่สุดท้ายแล้ว ราชาเซียนชื่อหยางจึงกำจัดความคิดนี้ทิ้งไป
อย่างแรก เขาไม่เชื่อว่าจะมีวิธีการใดปลุกสายเลือดที่แข็งแกร่งเช่นนี้โดยไร้ขีดจำกัดได้
อย่างที่สอง การเติบโตของจ้าวเฟิงทำให้เขาตื่นตระหนก ตอนแรกที่คนทั้งสองเพิ่งพบหน้ากัน จ้าวเฟิงเพิ่งอยู่ขอบเขตขั้นพลังจักรพรรดิเท่านั้น ตอนนี้กลับเป็นเซียนชั้นต้น ด้วยศักยภาพและพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง หากจะทะลวงขั้นเทพก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
อย่างที่สาม จ้าวเฟิงกล้าพูดว่าเขามีวิธีที่พิเศษอย่างยิ่ง ทำให้ราชาเซียนชื่อหยางตื่นตกใจอยู่บ้าง จ้าวเฟิงเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงคิดว่าคนในตระกูลเถี่ยจะไม่ลงมือทำร้ายเขา?
อย่างที่สี่ นี่เป็นความคิดของครึ่งเทพชื่อเสี่ย
หลังจากราชาเซียนชื่อหยางเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา ผู้แข็งแกร่งคนอื่นในตระกูลเถี่ยทำได้เพียงลบความคิดที่จะสังหารจ้าวเฟิง
เพราะว่าราชาเซียนชื่อหยางตัดสินใจเช่นนี้ ย่อมต้องหารือกับครึ่งเทพชื่อเสี่ยผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเถี่ยมาก่อนแล้ว
“ทว่าเรื่องนี้ ยังต้องรอให้ผู้เยาว์กลับไปถึงตำหนักราชันถึงจะสามารถทำได้!”
จ้าวเฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์
ความหมายในประโยคนี้ของจ้าวเฟิงชัดเจนมาก ก็คือให้ตระกูลเถี่ยปกป้องตนเองอย่างไร้ข้อแม้ ทันทีที่ตนเองเกิดเรื่องไม่คิดฝันขึ้น วิธีพิเศษที่พูดมาเมื่อครู่ย่อมไม่สามารถทำได้
“ย่อมต้องเป็นเช่นนี้!”
ราชาเซียนชื่อหยางเข้าใจในความหมายของจ้าวเฟิง
ได้การคุ้มครองจากตระกูลเถี่ย วังเก้านิรยต้องไม่กล้าทำร้ายจ้าวเฟิงในที่แจ้งแน่นอน
อีกทั้งจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋นร่วมมือกัน ทั้งยังมีอาวุธเทพชั้นรองอย่างมนตราอากาศ ขอแค่ไม่จงใจทำอะไรเสี่ยง ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
“ผู้เยาว์ต้องขอตัวก่อนแล้ว!”
จ้าวเฟิงคำนับเล็กน้อย แล้วจึงออกจากถ้ำไป
เวลานี้ เสียงของครึ่งเทพชื่อเสี่ยดังขึ้นแว่วๆ“หลังจากที่การเดินทางในร่างเทพจบลง ข้าจะลองทะลวงขั้นเทพ บางทีอาจจะสำเร็จ หรืออาจล้มเหลวก็ได้ ในช่วงเวลานี้ ตระกูลเถี่ยก็อย่ามีเรื่องกับขั้วอำนาจอื่นแล้วกัน…”
คนระดับสูงในตระกูลเถี่ยเงียบงัน
ทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ ย้อนไปรวมเป็นหนึ่งกับเทพในบรรพกาล เข้าไปภายในดินแดนเทพรกร้าง เมื่อล้มเหลวคงไม่อาจฟื้นคืนสภาพ และสลายหายไปเช่นนั้น
พูดได้ว่า ถึงยามนั้นตระกูลเถี่ยจะไม่มีผู้แข็งแกร่งขั้นครึ่งเทพดูแล แต่ตำหนักราชันเป็นขั้วอำนาจขนาดใหญ่ที่มีอำนาจอิทธิพลมาก ตระกูลเถี่ยจึงเพียรพยายามผูกมิตรกับอีกฝ่ายเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ และพยายามไม่ยั่วโทสะให้ใครมาทำร้ายตนเอง
……
ภายในพื้นที่กำแพงผลึกที่กว้างขวาง จ้าวเฟิงออกจากที่มั่นของตระกูลเถี่ยอย่างราบรื่น
มุมหนึ่งด้านล่าง สีหน้าของจ้าวหยูเฟยปีติดีใจ
“พี่เฟิง ตระกูลเถี่ยไม่ได้ทำอะไรท่านกระมัง?”
จ้าวหยูเฟยถามอย่างห่วงใย
“พวกเขาไม่มีทางทำร้ายข้า!”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเชื่อมั่น
ยามนี้ จ้าวเฟิงได้รับการคุ้มครองจากตระกูลเถี่ย อย่างน้อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องครึ่งเทพของวังเก้านิรย เช่นนั้นแล้วศรสังหารเทพดอกสุดท้ายก็เก็บเอาไว้ได้ เพื่อรับมือกับอันตรายอื่นๆ
จากนั้นดวงตาจ้าวเฟิงมองไปด้านหน้าของพื้นที่กำแพงผลึกที่กว้างใหญ่
จุปลายสุดเป็นม่านแสงมายาสีขาวทองสว่างขนาดยักษ์ ม่านแสงนี้เกิดจากพลังเทพระดับสูงที่บริสุทธิ์ยิ่งรวมตัวกัน กลิ่นอายพลังเทพที่น่ากลัวนี้ทำให้คนในทั้งสองราชวงศ์ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนัก
อนึ่ง ถึงจะเป็นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของครึ่งเทพ ก็ไม่สามารถทะลวงผ่านม่านแสงมายานั้นแม้แต่น้อย
ทว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่จนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงสังเกตเห็นว่าพลังในม่านแสงค่อยๆ อ่อนแรงลงไป
เชื่อว่าคนของทั้งสองราชวงศ์คงจะเห็นในจุดนี้เช่นกัน ถึงได้ปักหลักอยู่ที่นี่
ขอแค่พลังเทพในม่านมายาผืนนั้นสลายหายไปจนหมดสิ้น ทุกคนก็จะสามารถเข้าไปภายในได้
“นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าด้านหลังของม่านแสงขาวทองนั้นมีอะไรกันแน่?”
จ้าวเฟิงไม่อาจสงบจิตใจได้
โอกาสในร่างเทพนี้ จะต้องเป็นคลังสมบัติยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยปรากฏขึ้นทั่วทั้งดินแดนทวีปอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่เช่นนั้นแล้ว เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเองก็คงจะไม่ได้อาวุธเทพที่แท้จริงมมา
แต่ว่าคนจำนวนมากในราชวงศ์ยังไม่มีความสามารถเทียบเท่าเจ้าแมวขโมยน้อย สมบัติในร่างเทพนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง มากพอจะทำให้ครึ่งเทพบ้าคลั่ง ทว่ากลับไม่มีวิธีขุดเอาออกมา
ขนาดจ้าวเฟิงยังได้ผลไม้บนเถาวัลย์มาถึงสามลูกด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงอดจะลองโคจรพลังในดวงตาซ้ายไม่ได้ เหนือดวงตาสีทองปกคลุมไปด้วยคลื่นสีทองอ่อนชั้นหนึ่งทันใด
“ลองดู!”
ครรลองสายตาของจ้าวเฟิงมองทะลวงผ่านม่านแสงสีทองที่เกิดจากการหมุนเวียนของพลังเทพอยู่ตลอด และในเวลาเดียวกัน เจตจำนงดวงตาของจ้าวเฟิงก็สลายไปราวติดปีกบิน
ฟู่!
ครรลองสายตาของจ้าวเฟิงพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท เหมือนเปลี่ยนจากกลางวันไปเป็นกลางคืน ความแตกต่างมากมายเช่นนั้นทำให้จ้าวเฟิงใจเต้นระรัว
“นี่ก็คือภาพหลังม่านแสง?”
จ้าวเฟิงจิตใจตึงเครียด
โลกมืดสนิท แต่ในโลกที่มืดมิดอย่างยิ่งนั้น มีสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาเรียกความสนใจจากจ้าวเฟิงได้ทันควัน
นั่นคือทางเดินสีทองขาวสว่าง ทอดยาวไปยังที่ไกลแสนไกล จนกระทั่งถึงแสงทรงกลมขนาดยักษ์ลูกหนึ่ง มันหมุนโคจรอย่างช้าๆ เปล่งรัศมีสว่างที่ไม่อาจละสายตาจากมันได้
“โอกาสที่แท้จริงคงจะอยู่ในกลุ่มแสงลูกนั้น แต่ว่าเหมือนจะมีเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น!”
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วมุ่น
ทางสีทองขาวเส้นนั้นคับแคบอย่างยิ่ง น่าจะเดินได้เพียงสี่คนพร้อมกันเท่านั้น
แต่ผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดและคนทั้งหมดจากสองราชวงศ์ที่ปักหลักอยู่ที่นี่ ถนนที่คนผ่านได้เพียงสี่คนจะพอได้อย่างไรกัน
เช่นนี้จะไม่ใช่เป็นการบีบบังคับให้คนสองราชวงศ์ลงมือกันหรอกหรือ หากเป็นเช่นนี้คนที่ลำบากย่อมต้องเป็นเซียนที่อ่อนแอที่สุด พวกเขาอาจเข้าใกล้แสงทรงกลมไม่ได้เลย
ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของจ้าวเฟิงเท่านั้น พอถึงเวลาจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครก็ไม่อาจรู้ได้
“ระยะเวลาที่คลังสมบัติแห่งสุดท้ายจะเปิดออก ยังเหลืออีกช่วงหนึ่ง รีบเพิ่มพลังกันเถอะ!”
จ้าวเฟิงเอ่ยกับหนานกงเซิ่งและจ้าวหยูเฟย
แต่หากถึงเวลาแล้วเป็นเหมือนที่จ้าวเฟิงคาดเดาเอาไว้จริงๆ ราชวงศ์ทั้งสองต่างแย่งชิงทางเส้นนี้ จ้าวเฟิงจะเดินทางจากไปทันที และไปโอกาสอย่างอื่นในร่างเทพ
และในเวลานี้เอง จ้าวเฟิงจึงสังเกตเห็นว่า ประสาทสัมผัสวิญญาณของขั้วอำนาจจำนวนมากในราชวงศ์ทั้งสองต่างกวาดผ่านมา สีหน้าสับสน ตื่นตระหนก และกลัวเกรง
“ราชาเซียนสังสารวัฏ!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเนตรสังสารวัฏในบรรดามรดกแปดเนตรเทพเจ้า!”
จ้าวเฟิงมองไปบริเวณปากทางเข้าอย่างอดไม่ได้
“ผู้สืบทอดเนตรสังสารวัฏ!” สีหน้าจ้าวเฟิงตื่นตระหนก
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่ครอบครองเนตรสังสารวัฏก็มาที่นี่ด้วย แต่ว่าจ้าวเฟิงไม่เห็นหลิวฉินอิน คิดไปแล้วคงเป็นขอบเขตพลังของหลิวฉินอิน ถึงจะมีการคุ้มครองของอาจารย์นางก็ยังอันตรายมากอยู่ดี
ราชาเซียนสังสารวัฏเดินทางมาเพียงลำพัง ยืนอยู่ตรงทางเดิน แต่กลุ่มที่เดินทางไปมายังเผยสีหน้ายำเกรง ไม่มีใครกล้าสงสัยพลานุภาพที่แท้จริงของเขา
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงยังรู้สึกได้ถึงเสียงจอแจและกลิ่นอายแห่งความเกรี้ยวกราดมากมายในราชวงศ์ทั้งสอง
ทว่าคิดไปคิดมาจ้าวเฟิงก็เข้าใจ
เนตรสังสารวัฏควบคุมคนที่ตายไปแล้ว ทำให้พวกเขาติดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่อาจเกิดใหม่ได้อีกต่อไป
ส่วนกายวัฏสงสารที่ราชาเซียนสังสารวัฏสร้างขึ้นย่อมไม่ธรรมดา ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในราชวงศ์ทั้งสองอย่างแน่นอน ดังนั้นราชาเซียนสังสารวัฏจึงล่วงเกินขั้วอำนาจจำนวนมากทางอ้อม
แต่ว่า ความสามารถในวัฏสังสารแห่งชีวิตของราชาเซียนสังสารวัฏก็เคยช่วยเหลือสำนักและขั้วอำนาจเก่งกาจมากมาย
บวกกับเดิมทีเขาถ่อมตนอย่างยิ่ง กำลังรบไม่สามารถคาดเดา ต่อให้ราชาเซียนสังสารวัฏล่วงเกินขั้วอำนาจจำนวนมาก ก็ยังสามารถอยู่ในดินแดนทวีปได้อย่างสงบสุขราบรื่น
ราชาเซียนสังสารวัฏเพียงลำพังค่อยๆ เข้ามาในพื้นที่ผลึกกว้างขวางแห่งนี้
“สหายน้อยจ้าวเฟิง พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว!”
ราชาเซียนสังสารวัฏค่อยๆ เดินไปยังตำแหน่งที่จ้าวเฟิงอยู่
ขั้วอำนาจและผู้แข็งแกร่งในราชวงศ์ทั้งสองต่างสั่นสะท้านอีกครั้ง
“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันแน่ เหตุใดไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกี่ยวข้องกับเขาหมด?”
“ไม่คิดเลยว่าจ้าวเฟิงจะรู้จักราชาเซียนสังสารวัฏ ดูแล้วข้าประเมินเขาต่ำไปจริงๆ!”
สีหน้าราชาเซียนชื่อหยางเคร่งขรึม ราชาเซียนสังสารวัฏก็มีวิญญาณของตระกูลเถี่ยด้วยเช่นกัน
“เจ้าเด็กผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
แววตาของครึ่งเทพโยวไห่แห่งวังเก้านิรยหนักอึ้งเล็กน้อย
“หึ ของทุกสิ่งเมื่อยู่ต่อหน้าข้า จะมีจุดจบที่สูญสลายไปเท่านั้น!”
แววตาของครึ่งเทพพั่วเมี่ยฝ่ายต่างเผ่าพันธุ์เปล่งประกายเล็กน้อย ฉายแววกระหายต่อสู้
จ้าวหยูเฟยและหนานกงเซิ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเฟิงมีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กน้อย ผู้เฒ่าชุดเทาที่สงบสุขุมผู้นั้น ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งเกินจะขัดขืน และยังเป็นความรู้สึกที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย
ในสายตาคุนอวิ๋นปรากฏความยำเกรงเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสจะมายังสถานที่อึกทึกครึกโครมเช่นนี้!”
จ้าวเฟิงยิ้มแย้มน้อยๆ
จ้าวเฟิงรีบกำจัดเขตปราการ ให้ราชาเซียนสังสารวัฏเข้ามาภายใน
“ข้าไม่ชอบเรื่องครึกครื้น แต่ข้าชอบสถานที่ที่มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก!”
ราชาเซียนสังสารวัฏเอ่ยอย่างเป็นมิตร ขณะกวาดสายตามองรอบๆ
สีหน้าเซียนและราชาเซียนหลายคนของราชวงศ์ทั้งสองต่างระแวดระวังขึ้นมาทันที
“สหายน้อยจ้าวเฟิงมีพัฒนาการที่น่าอัศจรรย์นัก ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปีก็มีพัฒนามากเช่นนี้!”
ผู้ครองเนตรสังสารวัฏนั่งขัดสมาธิลง เหมือนว่าเตรียมจะปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว