บทที่ 110 : กลั่นแกล้งผู้อ่อนแอ
ลักษณ์ทั้งเก้าของภาพมัจฉามายาได้ฉายซ้ำไปมาอยู่ในสมองของเขา จ้าวเฟิงรู้สึกว่าภาพนั้นได้มีความนัยบางอย่างซ่อนอยู่อย่างล้ำลึกที่กระทั่งยากกว่ากระบวนท่าวายุทั้งสี่นั่น หากเขาสามารถเข้าใจภาพมัจฉามายานี้ได้อย่างถ่องแท้ มันย่อมมีรางวัลที่เป็นประโยชน์แก่เขาเป็นแน่
“ฮ่าฮ่า หากเจ้าสามารถเข้าใจเก้าลักษณ์ของภาพมัจฉามายาได้ พวกเราย่อมไม่มีสิทธิที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า” ชายชราชุดขาวแย้มยิ้ม
ในการพูดคุยกับทั้งสองนั้น เด็กหนุ่มได้รู้ว่าชายชราชุดขาวนั้นสกุลจางและมีความเชี่ยวชาญในด้านค่ายกล ในขณะที่ชายชราหน้าแดงสกุลกวนนั้นเชี่ยวชาญด้านการปรุงยา
จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะเรียกทั้งสองว่า ‘ผู้เฒ่าจาง’ และ ‘ผู้เฒ่ากวน’
หลังจากที่ออกจากชั้นสอง เด็กหนุ่มก็ตระหนักได้ว่าผู้คุมกฎชิวนั้นได้มองเขาด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไป หากเป็นก่อนหน้า เขาย่อมเป็นเพียงมดปลวกในสายตาของอีกฝ่าย แต่หลังจากผ่านบททดสอบที่สาม ผู้คุมกฎชิวนั้นตระหนักขึ้นได้ในที่สุดว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจดูแคลนได้
“ตาเฒ่ากวน เหตุใดจึงได้ทะเลาะกับข้า? ไม่เห็นหรือว่าเด็กนั่นเป็นอัจฉริยะด้านค่ายกล?” ผู้เฒ่าจางเอ่ยอย่างโกรธเคือง
เจ้าหนูคนหนึ่งในขอบเขตแห่งการรวบรวมสามารถแก้ไขภาพมัจฉามายาได้ถึงลักษณ์ที่เจ็ด ทั้งยังเป็นในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญค่ายกลในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ไม่อาจทำได้เช่นนั้น
“ผิดแล้ว! ตาเฒ่าจาง เจ้าไม่เห็นหรือว่าเด็กคนนั้นมีความสามารถในการสังเกต ทั้งยังมีการตัดสินใจที่แม่นยำอย่างมากอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่นักปรุงยาต้องการ” ชายชราสกุลกวนโต้แย้ง
ขณะที่ทั้งสองเอ่ยนั้นก็จบลงด้วยการทะเลาะกันอีกครั้ง
ผู้คุมกฎชิวตะลึงงัน เขาไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ดาษดื่นผู้นั้นจะสามารถดึงดูดความสนใจของรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองได้
เขานั้นเคารพต่อทั้งสองไม่เพียงเพราะพวกเขานั้นอยู่ในขอบเขตครึ่งจิตวิญญาณที่แท้จริง แต่เป็นเพราะว่าทั้งสองนั้นได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่สำนักอย่างมากมาย และมีอำนาจด้อยกว่าเพียงแค่ผู้อาวุโสเท่านั้น
หลังจากเดินออกจากตึกนั้น จ้าวเฟิงก็กลับไปพบกับเจ้าเมืองกว่านจวิน หยางชิงชั่น และหนานกงฟั่น
เมื่อรับรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นได้คะแนนเต็มอีกครั้ง รอยยิ้มพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์
บททดสอบที่สามนั้นจบลงเมื่อดวงอาทิตย์ได้ร่วงหล่น และจากคะแนนของเหล่าเด็กหนุ่มสาวนั้น ผู้ที่ติดอันดับแรกๆ จะได้รับเลือกให้เข้าร่วมสำนัก
“มีเพียงแค่ 20 อันดับแรกเท่านั้นที่จะได้เข้าร่วม” ผู้คุมกฎชิวเอ่ย
เหล่าเด็กหนุ่มสาวทั้งหมดต่างกระวนกระวายอย่างหนักขณะที่พวกเขารอผลคะแนนของพวกเขา
“อันดับหนึ่ง เซี่ยวซุน 8 คะแนน อันดับสอง อวิ๋นเมิ่งเซียง 7.5 คะแนน อันดับสาม…” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเอ่ยประกาศ
“อันดับสิบ จ้าวเฟิง 6 คะแนน!”
เมื่อถึงอันดับสิบจ้าวเฟิงจึงได้ยินชื่อของตนเอง แม้ว่าเด็กหนุ่มจะได้รับคะแนนเต็มจากการทดสอบสองรอบสุดท้าย ผลของบททดสอบแรกของเขานั้น ‘ธรรมดา’ เกินไป ดังนั้นแล้วคะแนนรวมของเขาจึงไม่ได้สูงนัก
กระทั่งหยางชิงชั่นยังได้อันดับสูงกว่าเขาที่อันดับหก หนานกงฟั่นเองก็ติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกสำเร็จด้วยอันดับสิบเจ็ด
ทั้งสามถูกรับเข้าร่วมสำนัก
เจ้าเมืองกว่านจวินยินดีและภูมิใจอย่างมาก เด็กหนุ่มสาวทุกคนที่นี่ล้วนแล้วแต่ถูกนำมาโดยผู้อาวุโสของพวกเขา มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถส่งเหล่าผู้สืบทอดของตนเข้าร่วมได้ทั้งหมด
“เจ้าเมืองกว่านจวิน ศิษย์ทั้งสามของท่านนั้นนับว่าค่อนข้าง ‘ดี’ เลยทีเดียว” เจ้าเมืองชางตี้หัวเราะ
เจ้าเมืองกว่านจวินรับรู้ได้ถึงนัยหยอกล้อของคำกล่าวนั้น แม้ว่าศิษย์ทั้งสามของเขาสามารถเข้าร่วมสำนักได้สำเร็จ พรสวรรค์ของพวกเขากลับไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่อาจออกจากจุดต่ำสุดของสำนักได้
ในทางกลับกัน หลานสาวของเจ้าเมืองชางตี้ หลิวเยว่เอ๋อร์ มีกายจิตวิญญาณระดับสูงและถูกรับเข้าสำนักไปโดยตรงหลังจากบททดสอบแรก
ไม่ช้า ชื่อทั้งหมดก็ถูกประกาศออก สำนักจันทร์สลายไดรับศิษย์เข้าทั้งหมด 22 คนรวมทั้งผู้มากพรสวรรค์เช่นซุนหยวนเฮาที่มีกายผันแปร และถูกผู้อาวุโสรับเป็นศิษย์โดยตรง
นอกจากนั้น หลิวเยว่เอ๋อร์ เซี่ยวซุน และอวิ๋นเมิ่งเซียงต่างมีพรสวรรค์ชั้นยอดเช่นกัน
ในวันเดียวกัน
ศิษย์ทั้งหมด 21 คนได้ตรงไปยัง ‘ตำหนักนอก’ เพื่อสมัครเข้าร่วม ผู้คุมกฎชิวนั้นเป็นผู้ควบคุมของ ‘ตำหนักนอก’ และเขาได้เอ่ยบอกถึงกฎเกณฑ์ของที่นี่
กลุ่มของเด็กหนุ่มสาวต่างเต็มไปด้วยความคาดหวังขณะที่พวกเขามุ่งตรงไปยังตำหนักนอก
“โอ้ สวรรค์ ตำหนักนั่น…” หนึ่งในเหล่าเด็กใหม่พลันอุทานออกมาพร้อมกับชี้ไปยังตำหนักสีครามใจกลางนภา
ตำหนักสีครามนั้นล่องลอยอยู่ใจกลางอากาศ และรอบๆ ได้ปรากฏกระแสสายฟ้าที่ให้ความรู้สึกเก่าแก่ประการหนึ่ง
หัวใจของเด็กหนุ่มสาวต่างสั่นสะท้านเมื่อพวกเขาเห็นภาพนั้น มันราวกับเทพนิยาย ความจริงนั้นจ้าวเฟิงได้เห็นตำหนักโบราณนั่นจากนอกสำนัก แต่เมื่อเข้าใกล้เขาก็เห็นรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่เป็นซากโบราณของสำนักจันทร์สลาย ถูกเรียกขานว่า ‘ตำหนักยอดนภา’ และมันเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ผู้ที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกฆ่า” น้ำเสียงของผู้คุมกฎชิวนั้นเย็นเยียบขณะที่เขาเอ่ยถึงมันด้วยท่าทางปกติ
เหล่าเด็กหนุ่มสาวต่างกดความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาลงไป พวกเขานั้นกระทั่งรู้สึกว่า ‘ตำหนักยอดนภา’ นั้นลึกลับยิ่งกว่าเก่า
ดวงตาแหลมคมของจ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ประการหนึ่งจากการกวาดตามองตำหนักยอดนภาพร้อมกับที่ดวงตาซ้ายของเขากระตุก
ระหว่างทาง ภาพที่เห็นทำให้เหล่าเด็กใหม่ต้องเบิกตากว้างด้วยความเกรงขาม
ผู้คุมกฎชิวได้พาทั้งยี่สิบเอ็ดคนมายังที่พักของพวกเขาในที่สุด จ้าวเฟิงและศิษย์พี่ทั้งสองได้เอ่ยลากับเจ้าเมืองกว่านจวิน
เจ้าเมืองกว่านจวินมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาล้ำลึกก่อนที่จะจากไป ร่างที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ นั้นราวกับประทับลงไปในหัวใจของเด็กหนุ่ม
“ข้าจะไม่เพียงแค่ทำความหวังของท่านอาจารย์ให้สำเร็จ แต่ข้าจะก้าวเข้าสู่จุดสุดยอดของรุ่นนี้” จ้าวเฟิงกำมือทั้งสองแน่น โลหิตเดือดพล่าน
โลกของสำนักได้สร้างความตื่นเต้นให้แก่เขา
จากกฎของสำนักจันทร์สลาย ศิษย์ใหม่นั้นจะมีเวลาพักผ่อนในช่วงสองสามวันแรกเพื่อที่จะสร้างความคุ้นเคยกับสำนัก ก่อนที่พวกเขาจะได้รับ ‘หน้าที่’ หลังจากนั้น
พวกเขาต้องตอบแทนสำนักในเรื่องของการดูแลและทรัพยากรที่พวกเขาได้รับ มันมีงานหลากหลายอย่าง บ้างก็ดี บ้างก็แย่
งานที่ย่ำแย่นั้นได้รวมการขุดเหมือง นำอุจจาระไปเท และงานที่อันตรายเช่นการฆ่าสัตว์อสูร หรือสำรวจซากปรักหักพัง
“ในสามวัน สำนักจะกำหนด ‘หน้าที่’ แก่พวกเรา ข้าล่ะระแวงนักว่ากวานเฉินจะเข้ามายุ่มย่ามและทำให้เราลำบาก”
หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นต่างเป็นกังวล ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นยังคงเยือกเย็น
ศิษย์สายนอกหน้าใหม่นั้นจะได้อาศัยอยู่ในห้องไม้เป็นเวลาสามวัน แต่ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เหล่าศิษย์ใหม่ก็ได้กระทบกระทั่งกับศิษย์เก่าแล้ว
ด้านนอกนั้นปรากฏเสียงการต่อสู้ขึ้น แต่มันก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฟิงเดินออกจากห้องไม้ของเขาและพบว่าศิษย์ใหม่สองสามคนกำลังนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น หอบหายใจอย่างรุนแรง
“เจ้าพวกหน้าใหม่ ข้าจะไว้หน้าเจ้าด้วยการที่พวกเจ้าต้องซักเสื้อผ้าและตักน้ำมาให้ข้า” ชายหน้าบากผู้หนึ่งมองไปยังเหล่าศิษย์ใหม่อย่างเย็นชา
“นั่นคือเฉินเฟิง เขาคืออันดับที่ยี่สิบแปดของศิษย์สายนอก ข้าไม่อยากเชื่อว่าเขานั้นกระทั่งสนใจที่จะกลั่นแกล้งศิษย์ใหม่เช่นนี้”
ศิษย์เก่าจำนวนหนึ่งโคลงศีรษะ
เฉินเฟิงนั้นครองอันดับที่ยี่สิบแปดและมีพลังฝึกตนขั้นสุดยอดของขั้นเก้า จ้าวเฟิงประมาณความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ไว้ว่าอีกฝ่ายนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเย่หลินเหลียนเล็กน้อย กระทั่งเซี่ยวซุนที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาเด็กใหม่ก็ไม่กล้าที่จะท้าทายเขา
ภายใต้พลังของเฉินเฟิง ศิษย์สายนอกจำนวนหนึ่งได้ไปซักผ้าให้เขาอย่างไม่เต็มใจ
“ชิชิ ข้าได้ยินมาว่ามีเด็กใหม่หน้าตางดงามสองคนในครานี้ ทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นองค์หญิง”
เฉินเฟิงเลียริมฝีปากพร้อมกับเดินไปทางที่พักขององค์หญิงอวิ๋นเมิ่งเซียงอย่างช้าๆ
แคร่กกก!
อวิ๋นเมิ่งเซียงเปิดประตูออกมาและเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“ลองแตะต้องตัวข้าดูสิ”
เฉินเฟิงยิ้มแต่ไม่กล้าที่จะสร้างความบาดหมางกับอีกฝ่าย
ในฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิเมฆา เหล่าระดับสูงของจักรวรรดิและสำนักย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อกัน
นอกจากนั้น เซี่ยวซุนเองก็ยังมีความสนิทสนมกับสำนักเมื่อเขานั้นมาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุด
กระทั่งคนเช่นหลิวเยว่เอ๋อร์ยังได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างดีเพราะกายจิตวิญญาณระดับสูงของนาง ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงต่างมีโอกาสที่จะมีอนาคตที่ดีกว่า ดังนั้นแล้วกระทั่งเฉินเฟิงก็ไม่กล้าที่จะจองหองต่อหน้าพวกเขา
“เฉินเฟิงผู้นี้เป็นเพียงแค่ไอ้ตัวบัดซบที่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่งแต่รังแกผู้อ่อนแอ” เหล่าศิษย์ใหม่ต่างกักเก็บความเกลียดชังของพวกเขาไว้ในใจ
เฉินเฟิงไม่กล้าที่จะสร้างความขุ่นข้องให้กับเซี่ยวซุน อวิ๋นเมิ่งเซียง และหลิวเยว่เอ๋อร์ แต่เขานั้นจองหองต่อทุกคนที่เหลือ
จ้างเฟิงมองสถานการณ์นี้ด้วยสายตาเย็นยะเยือก แต่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
เด็กหนุ่มสาวทุกคนต่างตื่นเต้นตลอดค่ำคืนและไม่อาจนอนหลับได้ ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงจึงได้เริ่มฝึกฝนวิชากำแพงเงินและเคล็ดลมหายใจหวนแทน พร้อมกันนั้นก็พยายามที่จะทำความเข้าใจกระบวนท่าวายุทั้งสี่ไปด้วย
เขานั้นได้เข้าใจสองกระบวนท่าแรกอย่างถ่องแท้แล้ว และเข้าใจกระบวนท่าที่สาม ‘กระบวนท่าเสี้ยววายุ’ ไปกว่าเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน
จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งพยายามที่จะใช้กระบวนท่าที่สี่ ‘กระบวนท่าตัดวายุเพลิง’ แต่พลังของมันนั้นรุนแรงเกินไปกระทั่งแม้มองก็ยังทำให้เขาหวาดกลัว
‘กระบวนท่าเสี้ยววายุ’ นั้นตั้งเป้าไปที่ความเฉียบคม และเป็นกระบวนท่าโจมตีแบบเป้าหมายเดียว ในขณะที่กระบวนท่าตัดวายุเพลิงนั้นมีเป้าหมายในการทำลายล้าง เผาไหม้ทุกสิ่งที่ขวางทาง
เช้าวันที่สอง จ้าวเฟิงลุกขึ้นจากที่ที่เขานั่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอกหลังจากอ้าปากหาว
“ไอ้หนู! ซักถุงเท้าให้ข้าซะ!” น้ำเสียงเย่อหยิ่งยกตนดังขึ้น
จ้าวเฟิงมองไปยังเจ้าของเสียง เฉินเฟิง ผู้ที่ครองอันดับที่ยี่สิบแปดในบรรดาศิษย์สายนอก
น้ำเสียงของเฉินเฟิงนั้นทั้งเย็นชาและจองหอง เขาโยนถุงเท้าคู่หนึ่งที่ส่งกลิ่นเหม็นโชยไปเบื้องหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไปราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มจะซักมันให้เขา
ความจริงนั้น เฉินเฟิงรู้ข้อมูลของพวกเขาทั้งหมด ตัวอย่างเช่น จ้าวเฟิงนั้นมีพรสวรรค์ธรรมดาและพลังฝึกตนไม่สูงนัก ดังนั้นแล้วเฉินเฟิงจึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายนั้นจะกลับมาแก้แค้น
“ไอ้หมอนี่คิดว่าข้าจะทำมันจริงๆ หรืออย่างไร?”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงทะมึนทึมพร้อมกับโบกมือของเขา ลมกราดเกรี้ยวปรากฏขึ้นพร้อมกับฉีกกระชากถุงเท้าเหม็นเน่าของเฉินเฟิงเป็นเศษเสี้ยว
ภาพนั้นทำให้สีหน้าของหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นที่เพิ่งตื่นแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง