บทที่ 111 : ขอบเขตทั้งแปด
การกระทำของจ้าวเฟิงทำให้ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงต้องเหงื่อแตกพลั่ก
เฉินเฟิงโยนถุงเท้าของเขาไปเบื้องหน้าอีกฝ่ายและจากไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้เห็นการกระทำของอีกคน
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นถอนลมหายใจยาว
จ้าวเฟิงเดินออกจากที่พักของเหล่าศิษย์ก่อนจะเดินไปรอบๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งใหม่นี้
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน สำนักจะมอบหมายหน้าที่ให้กับเหล่าศิษย์ใหม่ ไม่ช้าจ้าวเฟิงก็ไปยังหอตำราของสำนัก หอตำรานั้นเปิดให้ศิษย์สายนอกทุกคน และเด็กหนุ่มก็ไม่อาจไม่ตกใจเมื่อเห็นวิชาด้านใน
“หอตำราของศิษย์สายนอกนั้นมีทั้งวิชาอรรธเซียนและวิชาเซียนซ่งศิษย์ทุกคนสามารถดูได้”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก ภายนอกนั้นวิชาอรรธเซียนนับได้ว่าหายากแล้ว และวิชาเซียนนั้นจัดได้ว่าเป็นตำนาน
ทว่าวิชาเซียนที่นี้ต่างถูกมองเป็นเพียงวิชา ‘มนุษย์’
มนุษย์ จิตวิญญาณ ดิน และฟ้า
นี่คือการจัดชั้นของวิชาเซียน
“ทุกๆ ระดับแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ต่ำ กลาง สูง และสุดยอด”
จ้าวเฟิงนั้นค่อนข้างมีความรู้อยู่บ้าง วิชากำแพงเงินของเขานั้นเป็นเพียงวิชาเซียนมนุษย์ระดับต่ำ ทว่ามันเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาวิชาระดับต่ำ
เด็กหนุ่มกวาดตามองตำราในหอตำราอย่างผ่านๆ และพบว่าส่วนมากนั้นไม่ได้ดีไปกว่าวิชากำแพงเงินของเขา
เขาจำในสิ่งที่เจ้าเมืองกว่านจวินบอกไว้ได้เป็นอย่างดีว่า เมื่อคนผู้หนึ่งกลายเป็นศิษย์สายใน พวกเขาจะได้รับวิชาที่ดีกว่า ดังนั้นแล้วเขาไม่ควรเรียนรู้วิชาระดับต่ำจำนวนมากในตอนนี้
จ้าวเฟิงสำรวจวิชาชั้นมนุษย์ทั้งหมดได้ในที่สุด แต่ว่าไม่มีความสนใจแม้แต่น้อยเมื่อพวกมันไม่ใช่เป้าหมายของเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามหาตำราเกี่ยวกับสำนักเพื่อเพิ่มเติมความรู้ของเขา
หนึ่งในตำราได้เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ของสำนัก แต่จ้าวเฟิงนั้นไม่ได้สนใจนัก แต่ส่วนหนึ่งในข้อมูลนั้นได้เอ่ยถึงขอบเขตตั้งแต่ยุคบรรพกาล
“หนทางแห่งการฝึกตนนั้นแบ่งออกเป็น 8 ขอบเขต ขอบเขตแห่งการรวบรวม ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขอบเขตปราณเทวะ ขอบเขตผู้วิเศษ และขอบเขตเซียนสวรรค์”
เมื่อจ้าวเฟิงเห็นเช่นนั้น หัวใจของเขาก็กระตุก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับขอบเขตหลังจากขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แต่ในตำรานั้นได้เอ่ยว่าแทบไม่มีผู้ใดเหนือกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในทวีปบุปผาคราม ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดและเหนือกว่านั้นมากนัก
ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็ยังเอ่ยว่า ‘ขอบเขตเซียนสวรรค์’ นั้นไม่มีหลักฐานการคงอยู่มาก่อน
หลังจากอ่านตำราเล่มอื่นไปส่วนหนึ่ง เด็กหนุ่มก็รู้เกี่ยวกับทวีปบุปผาครามมากกว่าแต่ก่อน
หลังจากนั่งอยู่ในหอตำรากว่าครึ่งวัน จ้าวเฟิงจึงได้กลับไปยังที่พัก เมื่อเขากลับไปยังห้องของเขา เขาก็ได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจากห้องข้างๆ
“ศิษย์พี่หยาง! ศิษย์พี่หนาน!”
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไปขณะที่เขาเดินออกจากห้องและไปพบหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นที่ห้องข้างๆ ด้วยใบหน้าทะมึนทึม
“เกิดอันใดขึ้น?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงหมองหม่นลง เมื่อเห็นสภาพของศิษย์พี่ทั้งสองเป็นเช่นนี้ หัวใจของเขาก็ร่วงหล่น
“เป็นไอ้ตัวบัดซบเฉินเฟิง! เขามาตามหาเจ้า แต่เราเองก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้ข้าและศิษย์พี่หยางร่วมมือกัน” หนานกงฟั่นเอ่ยพร้อมกัดฟันแน่น
น่าขัน!
หลังจากรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น หัวใจของเด็กหนุ่มก็ถูกแผดเผาไปด้วยความกราดเกรี้ยว
ความจริงแล้ว เขาคือผู้ที่ทำให้หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เฉินเฟิงกลับมาหลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม และเขาไม่พบตัวของจ้าวเฟิง แทนที่จะทำ ‘หน้าที่’ ของเขา เด็กหนุ่มกลับทำลายถุงเท้าซึ่งทำให้เฉินเฟิงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่เป็นเพราะจ้าวเฟิงไม่อยู่ ชายหน้าบากจึงไประบายความโกรธของเขาลงที่หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นแทน
แม้ว่าทั้งสองจะร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังไม่มีโอกาสต่อกรกับเฉินเฟิงได้เลยแม้แต่น้อย
จ้าวเฟิงต้องยอมรับว่าเขานั้นได้ดูแคลนความแข็งแกร่งของเฉินเฟิงไป ทุกคนควรจะรู้ว่าหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นร่วมมือกันนั้นสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นเก้า แต่เฉินเฟิงก็ยังสามารถเอาชนะทั้งสองได้อย่างง่ายดาย นั่นหมายความว่าพลังที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นกระทั่งเหนือกว่าเย่หลินเหลียน
“เฉินเฟิงไปไหน?”
ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดมองไปรอบด้านเมื่อเขาตัดสินใจที่จะล้างแค้นให้ศิษย์พี่ทั้งสองของเขา
ปึก!
เด็กหนุ่มกระโขนขึ้นไปบนหลังคาและกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาอันแหลมคมของเขา
เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง ดวงตาของจ้าวเฟิงจึงได้จับจ้องลงที่กระโจมเล็กๆ ที่อยู่บนภูเขาห่างออกไปไม่กี่ลี้ ภายในกระโจมนั้นปรากฏร่าง 3-4 ร่างอยู่
เด็กหนุ่มนั้นคุ้นเคยกับสองในสี่อย่างมาก ผู้หนึ่งคือกวานเฉินและอีกหนึ่งคือเฉินเฟิง นอกจากทั้งสองยังคงมีศิษย์สายนอกอีกสองคน
“อืม เฉินเฟิง ทำได้ดี จำไว้ อย่าได้ให้พวกเด็กเหลือขอนั่นมีความสะดวกสบายแม้แต่น้อย” กวานเฉินเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า
ในฐานะของศิษย์สายใน เฉินเฟิงและอีกสองคนจึงได้เคารพอีกฝ่ายอย่างมาก
จ้าวเฟิงนั้นไม่อาจได้ยินในสิ่งที่ทั้งสี่พูดคุยกัน แต่เขาสามารถคาดเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งใด เช่นที่เจ้าเมืองกว่านจวินคาดไว้ จ้าวเฟิงและศิษย์พี่ทั้งสองนั้นไม่ได้ถูกรังแกโดย ‘ไฮ่หยุน’ ด้วยตนเอง แต่ผู้ที่อยู่ใต้เขาเป็นผู้กระทำ…
ดี! ดีมาก!
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกขณะที่ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบ
ภายใต้เปลวเพลิงแห่งความกราดเกรี้ยว เขากลับไปยังห้องของเขาและเริ่มฝึกฝนกระบวนท่าวายุทั้งสี่และดรรชนีดารา เพราะว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่อาจทะลวงระดับของวิชากำแพงเงินได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทางเดียวที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมเป็นดรรชนีดาราและกระบวนท่าวายุทั้งสี่
ด้วยความโกรธแค้นในหัวใจ เด็กหนุ่มจึงสามารถทำความเข้าใจในกระบวนท่าที่สี่ ‘กระบวนท่าตัดวายุเพลิง’ ได้มากขึ้น เพราะการที่จะฝึกฝนกระบวนท่านี้นั้น คนผู้นั้นจำต้องมีความต้องการทำลายล้าง และความโกรธแค้นของจ้าวเฟิงได้ผลักดันเขา นอกจากนั้น ดรรชนีดาราของเขาก็ได้คืบคลานเข้าใกล้ระดับเจ็ด แม้ว่ามันจะยังไม่ได้ทะลวงเข้าไปก็ตาม
ในค่ำคืนเดียวกัน เฉินเฟิงได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
“ไอ้เด็กเหลือขอหน้าใหม่ เรื่องราวก่อนหน้าของเรายังไม่ได้จัดการ” น้ำเสียงยโสจองหองประการหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอกของประตู
หัวใจของหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นที่ห้องข้างๆ ตื่นตะลึง
ดี!
ใต้น้ำเสียงตวาดของเฉินเฟิง จ้าวเฟิงเปิดประตูห้องและเดินออกไปอย่างเชื่องช้า
ในยามนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ที่อยู่ใกล้ๆ เช่นเซี่ยวซุน อวิ๋นเมิ่งเซียว หลิวเยว่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ได้ออกมา
“ไอ้ตัวตลกโง่เขลา”
ยิ่งย่างเท้าเข้าใกล้ร่างของเฉินเฟิงมากเท่าใด ดวงตาของจ้าวเฟิงก็ยิ่งเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ จิตอาฆาตและความกราดเกรี้ยวปรากฏขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างที่แพร่กระจาย
นี่เป็นความเข้าใจที่ได้จาก ‘กระบวนท่าตัดวายุเพลง’ ทว่าจ้าวเฟิงนั้นยังควบคุมไม่ได้อย่างสมบูรณ์
หัวใจของเฉินเฟิงกระตุก ทว่าจากนั้นก็รู้ว่าสึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไอ้เด็กเหลือขอผู้ฝึกตนขั้นแปดในขอบเขตแห่งการรวบรวมจะสร้างความกดดันให้เขาได้อย่างไร?
“กระบวนท่าเปิดภูผา!”
เฉินเฟิงยกมือทั้งสองขึ้นและใช้วิชามนุษย์ระดับต่ำซึ่งเทียบเท่าได้กับวิชาเซียนออก ขณะที่มือของเขายกสูงขึ้นนั้น กลิ่นอายที่ราวกับจะผ่าสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นจากร่างของเฉินเฟิง
ดรรชนีดารา! กระบวนท่าวายุกรรโชก!
จ้าวเฟิงทิ่มแทงดรรชนีออกไป เส้นแสงสีครามวาดผ่านอากาศ
ตูมมมม!
เสียงระเบิดดังลั่นขึ้นจากจุดที่ทั้งสองเข้าปะทะกัน
หลังจากปะทะกันครั้งแรก ทั้งจ้าวเฟิงและเฉินเฟิงก็ล่าถอย
เฉินเฟิงตะลึงไป เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าเด็กหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นแปดผู้หนึ่งจะสามารถต่อกรกับเขาได้
ศิษย์ใกล้ๆ ทุกคนต่างประหลาดใจ
ดรรชนีชี้ดารา!
จ้าวเฟิงพลันแทงนิ้วออกไปอีกครั้ง เส้นแสงสีครามตัดผ่าท้องฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ
ดรรชนีดาราของเขานั้นเกือบจะเข้าสู่ระดับเจ็ดซึ่งเป็นระดับสูงสุดแล้ว และเมื่อหลอมรวมกับกระบวนท่าวายุกรรโชก ความเร็วและพลังโจมตีของมันก็ได้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับใหม่
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศเมื่อกระบวนท่าของทั้งสองปะทะกัน กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเฉินเฟิงที่มีพลังฝึกตนขั้นสุดยอดของขั้นเก้ายังถูกกระแทกถอย ในเวลาเพียงชั่วขณะ รูเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นบนเสื้อผ้าของเขาพร้อมกับอาการบาดเจ็บเล็กน้อย
“เปิดภูผาผ่าปฐพี!”
เฉินเฟิงตวาดลั่นจากนั้นก็ใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดของเขาที่กระทั่งทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ในคือภายในสำนัก ดังนั้นแล้ววัสดุที่ใช้สร้างพื้นจึงเหนือกว่าโลหะ หากใช้กระบวนท่านี้ที่ภายนอก พื้นย่อมต้องแหลกเป็นเสี่ยง
ดรรชนีดารา! กระบวนท่าเสี้ยววายุ!
ชั้นแหลมบางคมกริบปรากฏขึ้นบนแสงสีคราม
กระบวนท่าเสี้ยววายุ กระบวนท่าที่สามแห่งกระบวนท่าวายุทั้งสี่ซึ่งมีจุดเด่นในการโจมตี!
ฉัวะ!
พลังภายในรอบร่างของเฉินเฟิงถูกตัดทะลุ รอยเลือดปรากฏขึ้นบนอกของเขา หากมันลึกลงไปอีกเพียงนิ้ว มันย่อมตัดโดนหัวใจของเขาแล้ว
ตุบ!
ร่างของชายหน้าบากทรุดลงบนพื้น ใบหน้าซีดขาว
กระบวนท่าของจ้าวเฟิงนั้นเฉียบคมจนเกินไป หากมากอีกเพียงนิด ชีวิตของเขาคงจบสิ้นตรงนี้แล้ว
เฮือกกก!
ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงต่างสูดลมหายใจเย็นเยียบ
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าพลังของกระบวนท่าเสี้ยววายุจะแข็งแกร่งเพียงนี้ หลังจากหลอมรวมกับดรรชนีดารา มันกระทั่งเหนือกว่าวิชามนุษย์ระดับต่ำ”
กระทั่งตัวจ้าวเฟิงเองยังประหลาดใจ
“ความเข้าใจของกระบวนท่าเสี้ยววายุนั้นคือความโหดเหี้ยมและแหลมคมราวกับลมเย็นเยียบในเหมันต์ฤดู มันทำให้พลังโจมตีของดรรชนีดาราไปถึงระดับใหม่”
หากกระบวนท่าที่สาม ‘กระบวนท่าเสี้ยววายุ’ นั้นทรงพลังถึงเพียงนี้แล้ว เช่นนั้นกระบวนท่าที่สี่ ‘กระบวนท่าตัดวายุเพลิง’ จะแข็งแกร่งถึงเพียงใดกัน?
“ไสหัวไป!”
จ้าวเฟิงส่งร่างของเฉินเฟิงกระเด็นลอยออกไปด้วยเท้าของเขา เขามองไปยังสุนัขที่รังแกผู้อ่อนแอและตามเลียผู้แข็งแกร่งด้วยความหยามเหยียด
“ได้ ได้!”
ใบหน้าของเฉินเฟิงขาวซีดขณะที่เขารีบล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากกระต่อสู้นี้ ศิษย์ใกล้ๆ ทุกคนต่างคอยระวังจ้าวเฟิง ในขณะที่ศิษย์ใหม่ทุกคนรู้สึกยินดียิ่งนัก
เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิ่งเซียงมองหน้ากันและพบความตื่นตะลึงในแววตาของอีกฝ่าย
“ศิษย์น้องจ้าว ขอบใจ” หยางชิงชั่นเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
“ศิษย์น้องจ้าว ระวังตัวด้วย ข้าได้ยินมาว่าศิษย์สายนอก 20 อันดับแรกล้วนแล้วแต่มีพลังฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั้งสิ้น” หนานกงฟั่นเอ่ยเตือน
ครึ่งก้าวขอบเขตก่อกำเนิดปราณนั้นคือครึ่งก้าวแห่งหนทางแห่งเซียนที่เป็นระดับขององครักษ์หนึ่ง
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ภายใต้แรงกดดันนี้ ความสามารถของเขาจะถูกกระตุ้นมากขึ้น ตราบเท่าที่คู่ต่อสู้ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เขาก็ยังมีพลังที่จะตอบโต้
มันเป็นช่วงเวลาที่สงบอย่างมากในระยะเวลาสองวัน จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะถูกรบกวน จ้าวเฟิงใช้ช่วงเวลานี้ในการเริ่มฝึกตนและฝึกฝนดรรชนีดาราจนเข้าสู่ระดับเจ็ด!
ในเวลาเดียวกัน ‘กระบวนท่าเสี้ยววายุ’ ก็เกือบจะถูกเข้าใจอย่างถ่องแท้