บทที่ 112 : หน้าที่
หลังจากการทะลวงระดับครั้งนี้ จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเขาสามารถรับมือกับทุกปัญหาในบรรดาศิษย์สายนอกได้ ดรรชนีดารานั้นเป็นวิชาระดับสุดยอดในโลกมนุษย์ และเขาได้ฝึกฝนมันจนเข้าสู่ระดับเจ็ด ซึ่งหมายความว่ากระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเก้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
กระบวนท่าเสี้ยววายุนั้นเป็นกระบวนท่าโจมตีแบบเป้าหมายเดียวในกระบวนท่าวายุทั้งสี่ และมันเป็นวิชาอรรธเซียนแม้จะใช้ออกโดยไม่หลอมรวมกับวิชาอื่น และเมื่อหลอมรวมกับดรรชนีดารา หลังของมันนั้นกระทั่งเกือบจะเทียบเท่าได้กับวิชามนุษย์ระดับกลาง
ทุกคนควรจะรู้ไว้ว่าวิชากำแพงเงินของเด็กหนุ่มนั้นเป็นวิชามนุษย์ระดับต่ำ และจากที่เขารู้ มีศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ฝึกฝนวิชามนุษย์ระดับต่ำจนเข้าขั้นสูง
มีเพียงศิษย์สายในที่สามารถฝึกฝนวิชามนุษย์ระดับกลางได้ และหากคนผู้นั้นยังไม่เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พวกเขาย่อมไม่สามารถแม้แต่จะเรียนรู้วิชามนุษย์ระดับกลางแม้ว่าพวกเขาจะมีมันก็ตาม
“ยังเหลือกระบวนท่าตัดวายุเพลิงที่ข้าเข้าใจมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จ้าวเฟิงพึมพำ
“กระบวนท่าสุดท้ายของกระบวนท่าวายุทั้งสี่ ‘กระบวนท่าตัดวายุเพลิง’ เป็นกระบวนท่าที่ซับซ้อนที่สุดในบรรดาทั้งหมด หากข้าสามารถเข้าใจหกถึงเจ็ดในสิบส่วนของมันได้ ข้าอาจกระทั่งมีโอกาสที่จะต่อกรกับผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ”
เด็กหนุ่มอ้าปากหาวขณะเดินออกจากห้องของเขาเพื่อไปหาหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่น ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงเอาชนะเฉินเฟิง ทั้งสามก็ไม่ถูกรบกวนเลยแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้ หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นรู้เป็นกังวลเล็กๆ
“หน้าที่จะถูกมอบให้กับศิษย์โดยสำนักพรุ่งนี้” หยางชิงชั่นเอ่ย
ทั้งสามรู้ว่ามันมีทั้งงานที่ดีและแย่
“เราเป็นเพียงศิษย์สายนอก หากเราไม่แม้แต่จะสามารถแก้ปัญหาเล็กๆ พวกนี้ได้ เราจะสู้เป่ยโม่ยได้อย่างไร? ยังมีผู้อาวุโสไฮ่หยุนอีก”
จ้าวเฟิงไม่กลัวสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือการเป็นศิษย์สายใน เพราะอัจฉริยะที่แท้จริงทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์สายใน
ผู้ที่มีพรสวรรค์และแข็งแกร่งเช่นเป่ยโม่ยและซุนหยวนเฮาต่างกลายเป็นศิษย์สายในและมีผู้อาวุโสเป็นอาจารย์
“ถูกแล้ว หากเราไม่แม้แต่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ เราย่อมไม่อาจแม้แต่จะมีคุณสมบัติในการไล่ตามเป่ยโม่ย”
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นผงกศีรษะในขณะที่ความมั่นใจและความต้องการต่อสู้ได้กลับปรากฏขึ้นในร่างของพวกเขาอีกครั้ง
เพียงแค่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น สถานที่ที่เป็นที่พักอาศัยของศิษย์สายนอกพลันกลายเป็นเงียบลง
“เขาอยู่ที่นี่!”
เสียงกระซิบแผ่วเบาด้วยความกลัวและหวาดระแวงดังขึ้น
ผู้ใดอยู่ที่นี่?
จ้าวเฟิงและศิษย์พี่ทั้งสองพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“มิใช่ว่า โฮวหยวน อันดับสี่แห่งศิษย์สายนอก มีสวนของเขาเองหรือ? เขามาทำอะไรที่นี่?”
ศิษย์สายนอกเก่าจำนวนหนึ่งต่างเต็มไปด้วยความเคารพและหวาดระแวง
ในตอนนั้น คนสามคนได้เดินเข้ามาจากทางเข้าของที่พักอาศัยของพวกเขา ผู้ที่อยู่ตรงกลางนั้นเปลือยอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม และแม้เขาจะไม่ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมาอย่างจงใจ มันก็ยังได้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้อื่น
ทุกๆ ย่างก้าวของร่างสูงส่งนั่นทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน หัวใจของศิษย์สายนอกใกล้ๆ สั่นสะท้าน
เขาคือผู้ที่ครอบครองอันดับสี่ในบรรดาศิษย์สายนอก โฮวหยวน
“ความแข็งแกร่งอันใดกัน! เขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นเก้าธรรมดาได้ด้วยร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียว”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้จับจ้องไปยังโครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อภายในร่างของอีกฝ่าย และรู้สึกตะลึงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในด้านของความแข็งแกร่งของร่างกายนั้น ร่างของโฮวหยวนนั้นกระทั่งเหนือกว่าเขา จ้าวเฟิงมั่นใจว่าอีกฝ่ายได้ฝึกฝนวิชาที่ไม่ด้อยไปกว่าวิชากำแพงเงินอย่างแน่นอน
สิ่งที่น่าสะพรึงไปมากกว่านั้นคือพลังฝึกตนของบุรุษผู้นี้ได้เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ซึ่งหมายความว่าเขาอยู่ในระดับเดียวกับองครักษ์หนึ่ง
ครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณและร่างกายที่แข็งแกร่ง มันยากที่จะจินตนาการว่าคนผู้นี้น่าหวาดกลัวเพียงใด
ปึก! ปึก!
ขณะที่โฮวหยวนเข้ามาใกล้ ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงเขาต่างรู้สึกว่าศีรษะของพวกเขาเสียวแปล๊บ
“พลังอันใดกัน! ไม่มีผู้ใดนอกจากท่านอาจารย์ที่สามารถสร้างความกดดันให้ข้าได้เช่นนี้”
หยางชิงชั่นสูดลมหายใจลึกพร้อมกับเหลือมองไปยังหนานกงฟั่นด้วยความตื่นตะลึง พวกเขามั่นใจว่าความแข็งแกร่งของโฮวหยวนนั้นกระทั่งเหนือกว่าองครักษ์หนึ่ง และเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณมาก
หืม?
จ้าวเฟิงกวาดตามองผู้ที่อยู่ข้างกายของโฮวหยวนและตระหนักว่าหนึ่งในนั้นคือเฉินเฟิงซึ่งถูกเอาชนะโดยเขา ด้านขวาของโฮวหยวนนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมสั้นซึ่งพลังฝึกตนได้เข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณเช่นกัน
“เหตุใดอี้เฟิงอวิ๋น อันดับสิบสามแห่งศิษย์สายนอก จึงได้อยู่ที่นี่ด้วยกัน? มิใช่ว่ายี่สิบอันดับแรกต่างมีสวนเป็นของตนเองเพราะพวกเขานั้นเป็น ‘ว่าที่ศิษย์สายใน’ หรือ?”
สายตาของฝูงชนย้ายไปยังร่างของเด็กหนุ่มผมสั้น
ทั้งสามนั้นนำมาโดยโฮวหยวน อันดับสี่แห่งศิษย์สายนอก นอกจากเขานั้นยังมีอี้เฟิงอวิ๋นที่ครองอันดับสิบสาม ผู้ที่อ่อนแอที่สุด เฉินเฟิง ครองอันดับยี่สิบแปดซึ่งมีพลังฝึกตนที่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้าในขอบเขตแห่งการรวบรวม
เฉินเฟิงหัวเราะเย็นเยียบขณะที่เขามองไปยังทิศที่จ้าวเฟิงยืนอยู่ จากนั้นจึงกระซิบบางอย่างไปยังอี้เฟิงอวิ๋นและโฮวหยวน
โฮวหยวนและอี้เฟิงอวิ๋นต่างเบนสายตาของพวกเขาไปยังจ้าวเฟิง หนานกงฟั่น และหยางชิงชั่น หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นนั้นรู้สึกเพียงว่าร่างของพวกเขานั้นแข็งเกร็งขึ้นพร้อมกับลมหายใจที่ถี่กระชั้น
แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขาต้องหอบหายใจ มีเพียงสีหน้าของจ้าวเฟิงที่ยังคงเป็นปกติ
“เฉินเฟิง เจ้ามันไร้ประโยชน์เกินไป เจ้าไม่แม้แต่จะสามารถเอาชนะไอ้เด็กเหลือขอสามคนนี่ได้”
อี้เฟิงอวิ๋นส่ายศีรษะ เฉินเฟิงแย้มยิ้มและมีท่าทางนอบน้อมต่อทั้งสองเป็นอย่างมาก
ในสำนักจันทร์สลาย ศิษย์สายนอกยี่สิบอันดับแรกนั้นถูกเรียกว่าเป็น ‘ว่าที่ศิษย์สายใน’ และได้รับการดูแลที่เหนือกว่าศิษย์สายนอกทั่วไปอย่างมาก
เขารู้เป็นอย่างดีถึงความน่ากลัวของบุรุษทั้งสองเบื้องหน้าเขา เพียงแค่อี้เฟิงอวิ๋นเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะเขาได้ในสองกระบวนท่าแล้ว
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา ผู้อื่นจะกล่าวได้ว่าเรารังแกเด็กใหม่เหล่านี้ รอจนกระทั่งหน้าที่ถูกมอบหมาย จากนั้นจึงทำเช่นที่ต้องการ”
โฮวหยวนนั้นขี้เกียจเสียจนกระทั่งไม่มองไปยังจ้าวเฟิงและอีกสองคน เป็นอี้เฟิงอวิ๋นที่มองทั้งสามด้วยความสนใจ
เด็กหนุ่มทั้งสามนั้นไม่แม้แต่จะเข้าสู่ขั้นเก้า แต่หนึ่งในนั้นกลับสามารถเอาชนะเฉินเฟิงที่อยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นเก้าได้ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจเล็กๆ
โฮวหยวนและอีกสองคนเดินวนแถวบริเวณที่ศิษย์ใหม่อาศัยอยู่ก่อนจะจากไป
ฮู่วว
ศิษยืที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพ่นลมหายใจยาวเหยียด พวกเขาต่างหวาดระแวงเหล่า ‘ว่าที่ศิษย์สายใน’ โดยเฉพาะโฮวหยวน เพราะมันมีข่าวลือว่าเขานั้นเคยได้ท้าประลองศิษย์สายในในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
วันที่เหลือผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
เช้าวันที่สอง
“ศิษย์ใหม่ทุกคนออกมา” เสียงของรองผู้คุมกฎดังขึ้นเรียกทุกคนให้รวมตัวกันด้วยสีหน้าเข้มงวด
การมอบหมายหน้าที่!
เหล่าศิษย์ใหม่ต่างเร่งฝีเท้าออกจากห้อง
ไม่ช้า ศิษย์ทั้งยี่สิบเอ็ดคนก็รวมตัวกันโดยที่มีเซี่ยวซุน อวิ๋นเมิงเซียง และหลิวเยว่เอ๋อร์อยู่ด้านหน้า จ้าวเฟิงตระหนักว่าพลังฝึกตนของเซี่ยวซุนนั้นเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้า ในขณะที่หลิวเยว่เอ๋อร์และอวิ๋นเมิงเซียงต่างเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นแปดเช่นกัน
“เหตุใดพลังฝึกตนของพวกเขาจึงพัฒนาเร็วนัก?”
จ้าวเฟิงประหลาดใจ สำหรับความพัฒนาของหลิวเยว่เอ๋อร์นั้นสามารถเข้าใจได้เมื่อนางนั้นมีพรสวรรค์สูง แต่อวิ๋นเมิงเซียงและเซียวซุนต่างมีเพียงกายจิตวิญญาณระดับกลาง ไม่แม้แต่จะเหนือกว่าหยางชิงชั่น
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้ายของเขาและมองเห็นร่องรอยของทรัพยากรที่หลงเหลือภายในร่างของอวิ๋นเมิงเซียงและเซี่ยวซุน
เขาพลันเข้าใจในทันทีว่าสถานะของทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา หนึ่งคือองค์หญิง ขณะที่อีกหนึ่งคือท่านชายจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุด และทั้งสองล้วนมีความสัมพันธ์กับสำนัก
“หึ”
หลิวเยว่เอ๋อร์หมุนตัวและเผอิญสบตากับจ้าวเฟิง ความเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กสาว หลิวเยว่เอ๋อร์นั้นรู้สึกไม่พอใจในท่าทางของเด็กหนุ่มตั้งแต่ก่อนหน้าการทดสอบ แต่การ ‘แสร้งทำเป็นลึกลับ’ นั้นได้สร้างความตื่นตะลึงให้นางและผู้เป็นปู่ จนกระทั่งหลังจากนั้นนางจึงรู้ว่าพวกนางถูกหลอกโดยอีกฝ่ายผู้ซึ่งมีกายจิตวิญญาณระดับต่ำที่เป็นเพียงขั้นพื้นฐานของสำนัก ไม่แม้แต่จะสามารถเทียบกับนางได้
เผชิญหน้ากับสายตาของเด็กสาว จ้าวเฟิงกระพริบตาอย่างไร้ยางอายพร้อมกับแสดงสีหน้า ‘ใส่ซื่อ’ ออกไป
“พรสวรรค์ของไอ้เวรนี่ธรรมดานัก แต่เขายังกล้าที่จะมองไม่เห็นศีรษะผู้อื่นในสายตา”
หลิวเยว่เอ๋อร์นั้นโกรธเคืองอย่างมาก เด็กสาวกระทืบเท้า ใบหน้าแดงก่ำขึ้นเล็กๆ นางคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นดังกบในก้นบ่อน้ำ แต่ทุกครั้งที่นางเห็นจ้าวเฟิง นางก็มีความรู้สึกอยากจะกระทืบอีกฝ่าย
“ต่อไป ข้าจะประกาศหน้าที่ของพวกเจ้า”
รองผู้คุมกฎกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นชา เสียงรอบด้านพลันเงียบลงในทันใด
แม้ว่าความแข็งแกร่งของรองผู้คุมกฎนั้นจะไม่อาจเทียบได้กับผู้คุมกฎ แต่มันก็ยังเหนือกว่าศิษย์สายในส่วนมาก
หืมม?
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันจับจ้องไปยังหลังคาไม้ห่างออกไปไม่กี่ลี้ บนหลังคาไม้นั้นปรากฏร่างของคนสามคน โฮวหยวน อี้เฟิงอวิ๋น และชายในชุดแถวสีดำ กวานเฉิน
“ฮี่ฮี่ฮี่ รองผู้คุมกฎหวังนั้นมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ข้าเล็กน้อย ข้าลำบากเพียงพูดบางอย่าง แล้วเขาก็จะทำให้เจ้าพวกนั้นไม่ได้รับงานดีๆ” กวานเฉินนั้นราวกับผู้ชมที่กำลังเฝ้ามองการแสดงอยู่
องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงถูกส่งไปยังตำหนักหญ้าไพร สถานที่ซึ่งนางจะได้กลายเป็นนักปรุงยาฝึกหัด หน้าที่นี้ทำให้ผู้อื่นต่างรู้สึกริษยา
จากนั้นจึงเป็นเซี่ยวซุนและหลิวเยว่เอ๋อร์ที่ต่างได้รับงานที่ดีเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในการคาดเดา
หลังจากสามคนนี้ งานของทุกคนนั้นมีทั้งดีและแย่ปะปนกัน แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดดีกว่าทั้งสามก็ตาม
ในที่สุดจึงเป็นตาของจ้าวเฟิงและศิษย์พี่ทั้งสอง
“หยางชิงชั่นไปยังพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ภูเขาเหนือและลำเลียงอุจจาระ ใส่ปุ๋ย และรดน้ำสมุนไพร วันหนึ่งต้องทำให้ได้หนึ่งในสามเฮกตาร์ (TL:100เอเคอร์/1เฮกตาร์)”
“หนานกงฟั่นจะเป็นผู้ขนส่ง นำขยะลงไปยังด้านล่างของภูเขา 25,000 กิโลกรัมต่อวัน”
เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้ ศิษย์คนอื่นต่างมองไปยังจ้าวเฟิงและทั้งสองด้วยความสงสาร
จ้าวเฟิงไม่ได้โต้แย้ง เพราะว่านี่ล้วนแล้วแต่อยู่ในการคาดเดา
“อืม การมอบหมายหน้าที่จบลงตรงนี้”
รองผู้คุมกฎปิดสมุดเล่มเล็กในมือ