บทที่ 114 : ตำหนักหญ้าไพร
หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นลากร่างอ่อนล้าของตนกลับไปยังที่พัก
“อันใดกัน? ศิษย์น้องจ้าวเฟิงท้าประลองว่าที่ศิษย์สายใน?”
หนานกงฟั่นประหลาดใจเมื่อเขาได้ยินข่าว หยางชิงชั่นถอดถอนใจ รู้สึกผิดและกังวล
เขากังวลเกี่ยวกับจ้าวเฟิงและอนาคตของเขาเอง
“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง เจ้านั้นรีบร้อนเกินไป ข้ารู้ว่ามันเป็นประโยชน์ของข้า แต่…”
หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นไปหาจ้าวเฟิง พวกเขาไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้
“ศิษย์น้องจ้าว ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจในการต่อสู้ แต่หากเจ้าต้องการที่จะสู้กับอี้เฟิงอวิ๋น เจ้าควรเข้าสู่ขั้นเก้าเป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะมีโอกาสที่จะชนะสูงขึ้น นอกจากนั้นคนผู้หนึ่งสามารถท้าประลองศิษย์สายในได้หนึ่งคนในทุกๆ 6 เดือนเท่านั้น” หนานกงฟั่นเอ่ย
ไม่มีผู้ใดคิดว่าจ้าวเฟิงจะสามารถเอาชนะได้เพราะเขานั้นเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นแปดของขอบเขตแห่งการรวบรวม ในขณะที่คู่ต่อสู้นั้นอยู่ที่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในสายตาของหนานกงฟั่นนั้น จ้าวเฟิงกำลังเสียโอกาสนี้ไปโดยสูญเปล่า และหากเด็กหนุ่มต้องการที่จะท้าประลองอีกครั้ง เขาต้องรออีกครึ่งปี ในสายตาของศิษย์สายนอกทุกคน การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นน่าขันนัก
“ฮ่าฮ่า ดี เราจะได้เห็นความแข็งแกร่งของว่าที่ศิษย์สายในในอีกสามวัน” เซี่ยวซุนแย้มยิ้มและเอ่ยกับองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียว
หลังจากเข้าร่วมสำนัก พลังฝึกตนของเซี่ยวซุนได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นเก้า และเขาสงสัยนักว่าเขาควรท้าประลองยี่สิบอันดับแรกหรือไม่ แต่ตอนนี้ขณะที่เขากำลังไม่มั่นใจ การกระทำของจ้าวเฟิงนั้นราวกับ ‘เครื่องตรวจวัด’ ดังนั้นแล้วชายหนุ่มย่อมมีความสุขอย่างชัดเจน
ภายในห้อง
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจในความคิดของผู้อื่น แต่เขาก็ยังต้องอธิบายการกระทำของเขาให้ศิษย์พี่ทั้งสองฟัง
“เป้าหมายของข้าคือการเข้าเป็นศิษย์สายใน และหากข้าไม่อาจแม้แต่จะจัดการศิษย์สายนอกเช่นนี้ได้ แล้วข้าจะมีสิทธิอันใดในการก้าวไปข้างหน้าในโลกใบนี้?”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความมั่นใจ
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นมองหน้ากันด้วยสีหน้าตื่นตะลึง พรสวรรค์ของอีกฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะเหนือกว่าพวกเขา แต่ความทะเยอะทะยานของเขานั้นยิ่งใหญ่กว่านัก จากสิ่งที่เด็กหนุ่มพูด มันราวกับว่าเขาต้องการที่จะบดขยี้ศิษย์สายนอกทั้งหมด
เช้าวันที่สอง รองผู้คุมกฎหวังมายังสถานที่พักของเหล่าศิษย์สายนอก
“คารวะท่านรองผู้คุมกฎ!”
เหล่าศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ ค้อมศีรษะอย่างเคารพ ตำแหน่งของรองผู้คุมกฎนั้นกระทั่งเหนือกว่าศิษย์สายใน
รองผู้คุมกฎหวังผงกศีรษะก่อนจะไปยังสถานที่พักของจ้าวเฟิง ศิษย์สายนอกใกล้ๆ ต่างหันไปทางจ้าวเฟิงที่เพิ่งเดินออกมาจากที่พัก
“จ้าวเฟิง หน้าที่ของเจ้าได้ถูกมอบหมายแล้ว ตามข้าไปยังหอสำนักนอก” รองผู้คุมกฎหวังเอ่ย ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณ ท่านรองผู้คุมกฎ”
จ้าวเฟิงเดินตามหลังอีกฝ่ายไปด้วยความเคารพ ภาพนั้นทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ต้องมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ หากมันเป็นเพียงงานธรรมดา รองผู้คุมกฎคงเพียงแค่เอ่ยประกาศมันออกมา แต่สถานการณ์ของเด็กหนุ่มนั้นแตกต่างออกไป อย่างแรก รองผู้คุมกฎไม่ได้ประกาศหน้าที่ของเขาออกมา และอย่างที่สอง พวกเขามุ่งหน้าไปยังหอสำนักนอก สถานที่ซึ่งบุคคลมากอำนาจอยู่
หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นมองหน้ากันด้วยความกังวลที่เคลือบอยู่ในแววตา
ทั้งสามนั้นล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน และได้สร้างความขุ่นเคืองกับผู้อาวุโสแล้ว ดังนั้นแล้วหนทางของพวกเขาจึงได้ถูกลิขิตให้ยากลำบากกว่าผู้อื่น
หลังจากเดินไปพักหนึ่ง รองผู้คุมกฎหวังก็นำจ้าวเฟิงไปยังตำหนักสำนักนอก สถานที่แห่งนี้ได้ควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับศิษย์สายนอก และแน่นอนว่าจ้าวตำหนักสำนักนอกนั้นเป็นผู้อาวุโสที่เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าถึงขอบเขตนี้แล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของสำนักและหาตาได้ยาก เมื่อพวกเขามักจะปิดด่านฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วพวกเขาจะมีเวลามาดูแลสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?
ดังนั้นแล้ว จ้าวตำหนักสำนักนอกนั้นจึงไม่ใช่ผู้ควบคุมที่แท้จริง ผู้ควบคุมคือรองหัวหน้า
“จ้าวเฟิง ท่านรองหัวหน้ากำลังรออยู่ด้านใน”
ผู้คุมกฎชิว ผู้ทำหน้าที่พาไปยังทางเข้าบททดสอบในวันนั้น รออยู่ด้านนอกของห้องโถง ผู้คุมกฎชิวและรองผู้คุมกฎหวังต่างมาจากตำหนักสำนักนอก ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกันดี และเพราะเช่นนี้จึงเป็นเหตุให้ท่าทีของรองผู้คุมกฎหวังมีความเคารพต่อจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงคารวะผู้คุมกฎชิว จากนั้นจึงเข้าไปภายในห้องโถงโดยทันที
มีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวสามกลิ่นอายอยู่ภายในห้องโถง กลิ่นอายเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าผู้ใดที่เด็กหนุ่มเคยรู้สึกมาทั้งหมด
ในบรรดากลิ่นอายทั้งสาม สองในสามนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคย พวกมันมาจากชายชราชุดขาวและชายชราหน้าแดง
จ้าวเฟิงรู้จักชายชราทั้งสอง พวกเขาคือผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนผู้ที่เขาพบในบททดสอบที่สาม
ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นรองหัวหน้าและมีอำนาจมาก
นอกจากทั้งสองแล้วยังมีชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีครามที่มีใบหน้าดุดัน กลิ่นอายของเขานั้นเทียบเท่าได้กับชายชราทั้งสอง
จ้าวเฟิงคาดเดาว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นรองหัวหน้าตำหนักสำนักนอก
“คารวะรองหัวหน้าตำหนักทั้งสาม”
จ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะชักช้า เขานั้นเป็นเพียงมดปลวกต่ำต้อยในสำนัก และไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในทั้งสามมีอำนาจและพลังที่แท้จริงอยู่
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา ดวงตาของทั้งผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนก็ส่องประกายวาบขึ้น
“ฮ่าฮ่า เขาคือจ้าวเฟิง?”
รองหัวหน้าตำหนักชุดสีครามมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยท่าทางสนใจ ในฐานะของรองหัวหน้าตำหนัก เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับจ้าวเฟิง และเป็นคนเช่นเขาที่มีกายจิตวิญญาณระดับต่ำที่รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองได้ต่อสู้แย่งชิงกัน
รองหัวหน้าตำหนักทั้งสอง ผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวน ต่างต้องการให้จ้าวเฟิงไปทำงานให้พวกเขา และแน่นว่ารองหัวหน้าตำหนักชุดสีครามนั้นไม่ได้ใส่ใจ หากไม่เป็นเพราะว่าทั้งสองล้วนแต่ต้องการและไม่ยอมลงให้แก่กัน
เขาควรจะมอบจ้าวเฟิงให้ผู้ใดกัน? มันเป็นปัญญาโลกแตกแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ รองหัวหน้าตำหนักชุดครามได้เรียกตัวจ้าวเฟิงมาเพื่อพูดคุย
ไม่ช้า เด็กหนุ่มก็เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น
“จ้าวเฟิง เจ้าคิดว่าอย่างไร? หากเจ้าเข้าร่วมตำหนักหญ้าไพรและติดตามข้า ข้าให้สัญญาว่าอนาคตของเจ้าจะรุ่งโรจน์” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยอย่างคาดหวัง
นักปรุงยานั้นดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่ดี และจ้าวเฟิงรู้ว่ายาส่วนมากที่อยู่ภายในสำนักนั้นถูกสร้างขึ้นจากตำหนักหญ้าไพรนี้ หากเขาเป็นศิษย์ของผู้เฒ่ากวน เขาย่อมมีข้อได้เปรียบในเรื่องยา
ทุกคนควรจะรู้ว่าเมื่อยาได้เข้าสู่ขั้น ‘ยาจิตวิญญาณ’ ผลลัพธ์ของมันนั้นจะเหนือกว่า เข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิงจากยาที่ดีที่สุดในโลกมนุษย์
“เพ้ย! พรสวรรค์ที่แท้จริงของเด็กนี่คือค่ายกล! จ้าวเฟิง! ตราบเท่าที่เจ้าติดตามข้า ข้าจะให้ผลึกเริ่มต้นจำลองแก่เจ้าเป็นพิเศษ 10 ผลึกทุกเดือน และยังมี ‘ค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณ’ ในบ่อน้ำพันบุปผา ของเหลวในนั้นได้คงอยู่มากว่าพันปีและมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างมาก…”
ผู้เฒ่าจางพลันเอ่ยข้อเสนอที่ใหญ่กว่าออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจ้าวเฟิงก็กระตุก ศิษย์สายนอกจะได้รับผลึกเริ่มต้นจำลองเพียงหนึ่งผลึกต่อเดือน ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของคนผู้หนึ่งได้อย่างมาก และผู้เฒ่าจางได้ตัดสินใจที่จะมอบให้เขาสิบผลึก นอกจากนั้นยังมีค่ายกลที่บ่อพันบุปผาที่ช่วยเพิ่มพลังฝึกตนของคนผู้หนึ่งอย่างมากอีกด้วย
หลังจากเอ่ยข้อเสนอกันแล้ว รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองก็เริ่มสบถสาปแช่งอีกฝ่ายอีกครั้ง
รองหัวหน้าตำหนักชุดครามนิ่งอึ้งไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้ามีข้อเสนอ”
อันใดนะ?
ชายชราทั้งสองหยุดการทะเลาะกันก่อนจะหันไปยังรองหัวหน้าตำหนักอีกคน
“พวกท่านถกเถียงกันว่าจ้าวเฟิงนั้นเก่งกาจในการทำยาหรือสร้างค่ายกลมากกว่าใช่หรือไม่?” รองหัวหน้าตำหนักชุดครามเอ่ย ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ใช่”
“ถูกแล้ว”
ทั้งสองผงกศีรษะ
“เช่นนั้นมันก็ง่ายยิ่ง ให้จ้าวเฟิงเรียนรู้ในแต่ล่ะที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นจึงดูว่าที่ห่างใดเหมาะกับเขามากกว่า” รองหัวหน้าตำหนักชุดครามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำแนะนำนี้ ทั้งผู้เฒ่ากวนและผู้เฒ่าจางต่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะผงกศีรษะของพวกเขา
มันดูเหมือนว่าจะเป็นทางเดียวที่จะตกลงได้ว่าจ้าวเฟิงควรไปที่ใด
มีปัญหาเหลืออยู่อีกเพียงอย่างเดียว นั่นคือเขาต้องการที่จะไปที่ใดก่อน
“ข้าจะไปกับรองหัวหน้าตำหนักกวนและอยู่ที่ตำหนักหญ้าไพรก่อน” จ้าวเฟิงให้คำตอบ
เหตุผลที่เขาเลือกตำหนักหญ้าไพรนั้นเป็นเพราะงานของทั้งหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นล้วนเกี่ยวข้องกับตำหนักหญ้าไพร หยางชิงชั่นเป็นชาวนา ในขณะที่หนานกงฟั่นทำหน้าที่ขนขยะ
หากเขาทำงานที่ตำหนักหญ้าไพร เขาก็จะสามารถดูแลทั้งสองคนได้
การโต้เถียงจบลงในที่สุด และด้วยการพูดคุยนี้ มันถูกตัดสินว่าจ้าวเฟิงนั้นจะอยู่ที่ตำหนักหญ้าไพรก่อนเป็นเวลาสิบวัน จากนั้นจึงไปยังที่ของผู้เฒ่าจาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หน้าที่ของจ้าวเฟิงจึงได้ถูกส่งมอบในที่สุด
ในวันเดียวกันนั้น เขาได้ติดตามผู้เฒ่ากวนไปยังตำหนักหญ้าไพร
ระหว่างทางนั้น ผู้เฒ่ากวนได้เอ่ยถึงข้อดีของการเป็นนักปรุงยา และหากจ้าวเฟิงติดตามเขา เขาย่อมมีอนาคตที่สดใสอย่างไม่หยุดยั้ง
จ้าวเฟิงยังคงเอ่ยเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเรื่อยๆ
“คารวะรองหัวหน้าตำหนัก”
หลังจากเข้าไปยังตำหนักหญ้าไพร ทุกคนได้ค้อมคำนับ และจ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ถึงความเคารพของเขาเหล่านี้ที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขา
มีทั้งนักปรุงยาและศิษย์สายในปะปนอยู่ในบรรดาคนเหล่านี้
“เหตุใดเด็กนั่นจึงได้อยู่กับรองหัวหน้าตำหนักกวน?”
หลังจากผ่านเนินเขาไปหลายลูก ศิษย์สายนอกคนหนึ่งได้อุทานออกมา คนคนนั้นคือเฉินเฟิง
“หรือว่าเด็กนั่นจะเป็นผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ของรองหัวหน้าตำหนักกวน?”
“เป็นไปไม่ได้! รองหัวหน้าตำหนักกวนนั้นเข้มงวดในการคัดเลือกผู้ช่วยส่วนตัวนัก ศิษย์สายในคราก่อนกระทั่งถูกไล่ออก”
ศิษย์ใกล้ๆ เอ่ยถกเถียงกันขึ้น แต่เมื่อมองไปยังผู้เฒ่ากวนที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่สำคัญภายในตำหนักหญ้าไพร ดูเหมือนว่าจ้าวเฟิงนั้นจะสำคัญยิ่งนัก
ไม่ช้า ผู้เฒ่ากวนก็ได้นำจ้าวเฟิงไปยังสถานที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้ส่งกลิ่นของยาที่รุนแรงออกมา และนักปรุงยาสามารถพบเห็นได้บ่อยครั้งที่นี่
“จ้าวเฟิง?” เสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้น
เมื่อมองไป เด็กหนุ่มก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเมฆา อวิ๋นเมิงเซียง
เด็กสาวนั้นกำลังช่วยหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่งจัดการสิ่งของต่างๆ
“รองหัวหน้าตำหนักกวน”
หญิงสาวผู้นั้นหมุนตัวและหันมาคารวะผู้เฒ่ากวนด้วยรอยยิ้ม
“นักปรุงยาอวิ๋นเหยา นี่คือหลานสาวที่เจ้าพูดถึงหรือ?” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยถาม
ทั้งสองค่อนข้างคุ้นเคยกันดี และหลังจากแนะนำตัวกันเล็กน้อย จ้าวเฟิงก็พบว่านักปรุงยานามอวิ๋นเหยานั้นเป็นป้าแท้ๆ ของอวิ๋นเมิงเซียว
“ผู้เฒ่ากวน เด็กนี่คือผู้ช่วยส่วนตัวคนใหม่ของท่านหรือ?” นักปรุงยาอวิ๋นเหยามองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความสนใจ
“นี่คือนักปรุงยาอัจฉริยะที่ข้าสามารถแย่งมาจากเฒ่าจางได้ในที่สุด” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ