บทที่ 1248 จ้าวหยูเฟยลงมือ
จากการนำของจางอวี่ถงและจินเวยลูกศิษย์หลักของเผ่าพันธุ์วิญญาณทั้งสอง ลูกศิษย์ที่เหลือรอบด้านก็ขานรับคล้อยตาม ถึงแม้พวกเขาไม่อยากทำให้จ้าวหยูเฟยไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเทพธิดาในใจของตนจับมือชายแปลกหน้าก็ยากที่จะไม่โกรธแค้น
แล้วนับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงที่มีฐานะเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกเผ่า ตำแหน่งต่างกับพวกเขาราวฟ้าดิน
“ที่แท้ก็เป็นเพียงศิษย์นอกเผ่า ช่างไม่รู้กฎเกณฑ์เอาเสียเลย!”
เว่ยชิงอิ๋งที่อยู่ข้างๆ ปฐมเทพลั่วอวี่ส่งเสียงแหลมออกไป
ในตอนแรก นางก็ค่อนข้างแปลกใจว่าจ้าวเฟิงไยจึงเลื่อนเป็นศิษย์ในเผ่าได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ที่แท้เขายังเป็นศิษย์นอกเผ่าเท่านั้น
“ไสหัวไปจากที่นี่ซะ!”
จินเวยมองจ้าวเฟิงอย่างโกรธแค้น ตะโกนเสียงต่ำด้วยโทสะ
การต่อสู้เมื่อครู่เขาแพ้แล้ว ตอนนี้มีแต่จ้าวเฟิงถูกเหยียดหยามดูหมิ่นเท่านั้น จึงจะสามารถระบายความเคียดแค้นในใจของเขาออกไปได้
“แย่แล้ว!” ไม่ไกลนัก พานฮ่าวก้มหน้าทอดถอนใจหลังจากที่ฟื้นคืนสติจากความตื่นตะลึง
จ้าวเฟิงเป็นคนที่เขาพาเข้ามา หากเรื่องนี้แดงออกไป เขาหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน
อีกทั้งจ้าวเฟิงล่วงเกินคนในเผ่าส่วนใหญ่และศิษย์หลักที่นั่น ถ้าพวกเขารู้เรื่องจะต้องเอาความโกรธแค้นมาลงที่เขาเป็นแน่ ศิษย์ในเผ่าที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ต้องได้รับความลำบากไปด้วย
“ข้าให้เขามาเอง!”
ในยามนี้ จู่ๆ จ้าวหยูเฟยก็เอ่ยปากขึ้น จากนั้นมองไปยังจ้าวเฟิง สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป กลุ่มคนที่กำลังบีบบังคับคุกคามจ้าวเฟิงอยู่เมื่อครู่อึ้งไปทันใด
“หยูเฟย เจ้า…” จินเวยจนคำพูดไปชั่วขณะ
จ้าวหยูเฟยไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ นางจะให้เขาเข้ามาได้อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าจ้าวหยูเฟยต้องการปกป้องจ้าวเฟิง
“หยูเฟย เจ้ายืนกรานออกหน้าให้เขา พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คนที่เจ้าให้ความสำคัญจะไร้ศักดิ์ศรีไปหน่อยกระมัง เอาแต่หลบอยู่เพียงหลังเจ้า ให้เจ้าบังฟ้าบังฝนให้?”
ยามนี้ จางอวี่ถงมองไปยังจ้าวเฟิงแล้วเหยียดหยามเสียงเย็น
ด้วยฐานะศิษย์หลักในเผ่าพันธุ์ของจ้าวหยูเฟย รวมกับความรักความเมตตาจากผู้อาวุโสทั้งหลาย ในเมื่อนางยืนกรานจะปกป้องจ้าวเฟิง พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ดังนั้นจางอวี่ถงก็จะลงมือกับจ้าวเฟิงแทน!
“เจ้าพวกเกาะผู้หญิง!”
“หากมีความสามารถก็ก้าวออกมารับผิดชอบทุกอย่างนี่!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายรอบด้านรู้สึกว่าการกระทำของจ้าวเฟิงค่อนข้างน่าไม่อาย
“พี่เฟิง อย่าไปสนใจพวกเขา!” มืองามของจ้าวหยูเฟยจับแน่นยิ่งขึ้น
จ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกเผ่าของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ไม่มีที่พึ่งใดๆ ทั้งสิ้น หากก้าวออกไปรับผิดชอบจะต้องได้รับโทษหนักเป็นแน่ ถึงตอนนั้น คนในเผ่าและลูกศิษย์หลักเหล่านี้จะทำอะไรกับจ้าวเฟิงก็ง่ายดาย
แต่ในยามนี้เอง จ้าวเฟิงก้าวออกมาข้างหน้าเสียก่อน สายตามองไปยังจางอวี่ถงอย่างสงบนิ่ง นอกจากข่งเตี๋ยที่แอบยิ้มอยู่ข้างๆ คนทั้งหมดรอบด้านล้วนตกใจชะงักเพราะการกระทำของจ้าวเฟิง
เขากล้าออกมางั้นรึ!
“งานชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าศิษย์นอกเผ่าไม่อาจเข้าร่วมกระมัง!”
จ้าวเฟิงพูดอย่างนิ่งสงบ
ทุกคนพยักหน้า ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดแจ้งจริงๆ
แต่จดหมายเชิญจะส่งให้กับศิษย์หลักและศิษย์ในเผ่าบางส่วนเท่านั้น
“ใช่แล้ว แต่จดหมายเชิญไม่ได้ส่งให้ศิษย์นอกเผ่า…”
จางอวี่ถงไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงจะมาไม้ไหน แต่ยังคงพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ทว่าคำพูดของเขายังเอ่ยไม่จบก็หยุดลง กระทั่งว่าเขากลืนคำพูดอีกครึ่งหนึ่งที่อยากพูดกลับลงไปอีกครั้ง
ในยามนี้ สายตาตื่นตะลึงของทุกคนมุ่งไปยังจดหมายเชิญในมือจ้าวเฟิง
“เจ้าเด็กนี่มีจดหมายเชิญงั้นรึ!”
ดวงตาของพานฮ่าวตะลึงงัน เขารู้สึกว่าตนเองกลุ้มใจไปเปล่าจริงๆ
‘เป็นไปได้ยังไงกัน เขาเป็นศิษย์นอกเผ่า ไยจึงมีจดหมายเชิญได้!’
‘สมควรตายนัก เป็นใครที่ให้เขากัน!’ คนไม่น้อยรอบด้านสถบด่าในใจ
คนที่สามารถส่งจดหมายเชิญได้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนเป็นลูกศิษย์หลักที่มีอำนาจมากที่สุดในงานพบปะชุมนุมครั้งนี้
ก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงจะรู้จักกับศิษย์หลักได้อย่างไรกัน?
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วจ้าวเฟิงก็นำจดหมายเชิญออกมาได้ เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้
“เสี่ยวเตี๋ย!” จ้าวหยูเฟยมองข่งเตี๋ยอย่างตื้นตันใจแวบหนึ่ง กลับพบว่าข่งเตี๋ยทำท่าทางราวกับเจ้าติดค้างบุญคุณข้า จากนั้นเมื่อสายตาของข่งเตี๋ยหยุดอยู่ที่จ้าวเฟิงอีกครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
พูดตามจริงแล้ว นางไม่คิดว่าจ้าวเฟิงคู่ควรกับจ้าวหยูเฟย เพราะในบรรดาคนที่ตามเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟย ผู้ที่เลิศล้ำกว่าจ้าวเฟิงมีมากมายนัก ยกตัวอย่างเช่นจางอวี่ถงที่อยู่ตรงนั้น พลังฝึกตนถึงเทพแท้จริงขั้นหก สังหารจ้าวเฟิงได้โดยไม่ต้องเปลืองแรงแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งคนสำคัญอีกมากที่ไม่ได้เข้าร่วมงานพบปะชุมนุมเพราะปิดด่านฝึกตน ทั้งยังมีลูกศิษย์หลักจากขั้วอำนาจอื่นของเขตเทพสวรรค์อีก
หากไม่ใช่เคยได้ยินจ้าวหยูเฟยเอ่ยถึงจ้าวเฟิงบ่อยๆ เห็นนางอาลัยอาวรณ์ ท่าทางเหม่อลอย ข่งเตี๋ยไม่มีทางช่วยจ้าวเฟิงโดยมอบจดหมายเชิญให้เขาเด็ดขาด
กลุ่มคนรอบด้านค่อยๆ ทยอยถอยไป “เจ้า…ก็ควรจะไปจากที่นี่แล้วไม่ใช่รึ?”
เวลานี้ สายตาของจ้าวเฟิงมองจินเวยตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
สีหน้าจินเวยตกตะลึง เมื่อครู่เขาพนันกับจ้าวเฟิงเอาไว้ ใครแพ้ก็ต้องไปจากงานชุมนุมนี้
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะแพ้ ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้
จินเวยจ้องจ้าวเฟิงอย่างเคียดแค้น ราวกับจะกินเขาลงไป สุดท้ายเขาแค่นเสียงโมโห แล้วจากไปทันที ถึงแม้การต่อสู้ก่อนหน้านี้เขาแพ้ให้กับจ้าวเฟิง แต่ในเผ่าพันธุ์วิญญาณ เขาคิดอยากจะกำจัดจ้าวเฟิงก็ยังมีวิธีเยอะแยะมากมาย
ในยามที่จินเวยจะจากไป ชายผิวเขียวคนหนึ่งก็เดินเข้ามารับหน้า
“พี่จินเวย นี่ท่านจะไปไหน?” จ้าวหลานอี้ถามอย่างสงสัย
เพราะเขาปิดด่านจึงมาช้า แต่งานชุมนุมคงยังไม่สิ้นสุดกระมัง
จินเวยตอนนี้อารมณ์เสียเป็นที่สุด จะมีเวลาไปสนใจจ้าวหลานอี้ที่ไหนกัน ดังนั้นจึงจากไปโดยไม่มองเขาแม้เพียงนิด
จ้าวหลานอี้กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เดินเข้าไปในงานพบปะชุมนุม
“เอ๋? จ้าวเฟิง!”
บนพื้นที่กว้างใหญ่ใจกลางงานชุมนุม ร่างของจ้าวเฟิงอยู่ในสายตาของจ้าวหลานอี้เป็นอันดับแรก
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าร่วมงาน น้องชายลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของเขาจ้าวหงอี้ก็บอกทุกอย่างกับเขาแล้ว และให้เขาสั่งสอนจ้าวเฟิงให้หนัก
ในตอนนี้จ้าวเฟิงยังอยู่บนเวทีต่อสู้ ไม่ได้จากไปไหน ส่วนจ้าวหยูเฟยอยู่ข้างหลังจ้าวเฟิงไม่ไกลนัก นี่ไม่ใช่โอกาสอันดีให้เขาบังคับต่อสู้แล้วแสดงพลังหรอกรึ!
ตูม! จ้าวหลานอี้เพียงกระโดดก็เหยียบขึ้นบนเวทีต่อสู้ทันที
“จ้าวเฟิง เจ้ารังแกญาติผู้น้องของข้า ข้าที่เป็นพี่ชายต้องเรียกความยุติธรรมคืนให้เขาถึงจะได้!”
จ้าวหลานอี้มองจ้าวเฟิง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ศิษย์ในเผ่า พลังฝึกตนคือเทพแท้จริงขั้นสี่ แข็งแกร่งยิ่งกว่าลูกศิษย์หลักบางคนเสียอีก แต่ทว่า กลุ่มคนรอบด้านกลับนิ่งเงียบ ท่าทางค่อนข้างแปลกประหลาด
จ้าวหลานอี้ศิษย์ในเผ่าผู้หนึ่งกล้าท้าทายคนที่จ้าวหยูเฟยให้ความสำคัญ สำหรับพวกเขาก็เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ นอกจากนั้น พลังของจ้าวเฟิงก็ไม่ธรรมดาด้วย
แต่คนที่นั่นล้วนไม่สบอารมณ์จ้าวเฟิงกันทั้งนั้น ศิษย์หลักบางคนกระทั่งกำลังขบคิดว่าจะจัดการจ้าวเฟิงอย่างไรดี ดังนั้นพวกเขาล้วนหวังให้จ้าวหลานอี้สู้กับจ้าวเฟิงสักรอบที่นี่ เพื่อหยั่งเชิงพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิง
แต่ศิษย์ในเผ่าที่ยืนข้างจ้าวหลานอี้ย่อมต้องบอกข่าวนี้กับเขา
“จ้าวหลานอี้ เจ้าเด็กนั่นพลังแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจ้าวหยูเฟย!”
คนคนหนึ่งส่งกระแสจิตอย่างเงียบงัน
“อะไรนะ?” จิตต่อสู้ของจ้าวหลานอี้ดับลงทันที
ในยามนี้ เขาเพิ่งจะเห็นสายตาเย็นเยียบเต็มไปด้วยความเย็นชาที่จ้าวหยูเฟยมองมายังเขา
จ้าวหลานอี้นึกเสียใจเล็กน้อย เขาน่าจะมาให้เร็วกว่านี้ จะได้รู้ว่าที่แท้จ้าวเฟิงมีความสัมพันธ์กับจ้าวหยูเฟย ต่อให้เขาเอาชนะจ้าวเฟิงได้จริงๆ เช่นนั้นก็เป็นการล่วงเกินจ้าวหยูเฟยเช่นกัน
แต่ว่าเขาขี่หลังเสือแล้วลงยาก เมื่อครู่เขาท้าสู้ แต่จ้าวเฟิงก็ยังไม่ตอบรับใดๆ
ตอนนี้จ้าวหลานอี้ได้แต่ภาวนาเงียบๆ ในใจ หวังให้จ้าวเฟิงปฏิเสธเสีย
“เมื่อครู่พี่เฟิงประลองไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ให้ข้าลงมือแทนเขาแล้วกัน!”
ยามนี้ จ้าวหยูเฟยที่อยู่ด้านหลังก้าวออกมาทันที ใบหน้างดงามช่างเย็นชา
“ไม่ได้ พี่หยูเฟย นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก…”
จ้าวหลานอี้อึ้งไปทันที รีบพูดลนลาน
จ้าวหยูเฟยเป็นถึงศิษย์หลักคนสำคัญ อีกทั้งความเข้มข้นของสายเลือดและพรสวรรค์ล้วนไม่ธรรมดา เขาไม่กล้าล่วงเกินเด็ดขาด นอกจากนั้น จ้าวหยูเฟยยิ่งเป็นสตรีที่เขาชื่นชมมาโดยตลอด จ้าวอี้หลานไม่มีทางลงมือด้วยได้เลย
“ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม!” ดวงตาของจ้าวหยูเฟยเผยประกายเย็นเยียบ
วู้ม! ชั่วพริบตา ผิวกายทั้งตัวนางใสกระจ่างประหนึ่งผลึกแก้ว ส่องแสงแวววาวสีม่วงเจิดจรัสออกมาชั้นหนึ่ง พลังสายเลือดอันมหาศาลทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนไปชั่วขณะ เพียงสะบัดมือ ม่านแสงผลึกแก้วสีม่วงก็โจมตีออกมา
จ้าวอี้หลานที่อยู่ภายใต้พลังของสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ ทุกๆ ด้านโดนควบคุมจนหมด ไม่อาจหลบหลีกได้ ทำได้เพียงแค่ป้องกันเท่านั้น
ครืน ตูม! เศษผลึกแก้วสีม่วงชั้นหนึ่งพลันระเบิดออก ร่างแข็งทื่อของจ้าวอี้หลานลอยกระเด็นไป ทั่วร่างของเขากลายเป็นผลึกหลายแห่ง แม้กระทั่งเลือดที่ไหลจากมุมปากก็กลายเป็นผลึกสีแดงเช่นกัน
“การใช้สายเลือดของจ้าวหยูเฟยแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว!”
“จ้าวอี้หลันที่เป็นเทพแท้จริงขั้นสี่ แค่เผชิญหน้าก็พ่ายแพ้ให้กับจ้าวหยูเฟยแล้ว!”
ลูกศิษย์ทั้งหลายรอบด้านแอบตื่นตกใจ
ความริษยาในดวงตาของปฐมเทพลั่วอวี่ยิ่งรุนแรงขึ้น นางในตอนนี้ไม่ใช่ศัตรูแม้เพียงกระบวนท่าเดียวของจ้าวหยูเฟยอีกแล้ว
เมื่อหันกลับมา สีหน้าท่าทางเฉียบขาดของจ้าวหยูเฟยสลายไปทันใด ดวงตาทั้งสองที่อ่อนโยนดุจสายน้ำมองจ้าวเฟิงอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก นางจับมือเขาอีกครั้งแล้วออกไปจากงานชุมนุม
“หยูเฟย ความเข้มข้นของสายเลือดเจ้าเหมือนจะเข้มข้นกว่าใครในเผ่าพันธุ์วิญญาณ…”
จ้าวเฟิงพูดอย่างตกใจ
คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวหยูเฟยที่มาจากดินแดนทวีปจะยังคงเจิดจ้าเช่นเดิมเมื่อมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณ
“ฮิๆ เทียบท่านได้ที่ไหน!”
จ้าวหยูเฟยเผยท่าทีเขินอายของสาวน้อยที่น้อยครั้งจะได้เห็น ไม่ว่าเมื่อใด จ้าวเฟิงที่อยู่ในใจของนางล้วนเป็นภูเขาสูงซึ่งไม่อาจข้ามไปได้ รวมถึงตอนนี้ จ้าวหยูเฟยเชื่อว่าพลังของจ้าวเฟิงไปไกลกว่าจินตนาการของนางมากนัก
เห็นจ้าวเฟิงจับมือจ้าวหยูเฟยสตรีงามอันดับหนึ่งของเผ่าพันธุ์วิญญาณจากไป ในใจของพานฮ่าวอิจฉาริษยาเป็นอย่างยิ่ง “เจ้านี่รู้จักกับจ้าวหยูเฟยจริงๆ!”
……
งานพบปะชุมนุมยังไม่ทันเริ่ม จ้าวเฟิงก็บดขยี้จินเวย จ้าวหยูเฟยเอาชนะจ้าวอี้หลานในกระบวนท่าเดียว จากนั้นทั้งสองคนก็จับจูงมือกันจากไป
ตอนนี้ลูกศิษย์หลักทั้งหลายก็ไร้ซึ่งความสนใจแล้ว
มีเพียงแค่ศิษย์ในเผ่าเหล่านั้นที่ยังประจบสอพลอศิษย์หลักบางคนอย่างกระตือรือร้น
“ฮี่ๆ พี่ลั่วอวี่ ถึงแม้งานชุมนุมจะวุ่นวายไปหมด แต่สำหรับท่านแล้วใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่!”
เว่ยชิงอิ๋งที่อยู่ข้างกายปฐมเทพลั่วอวี่เฟยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ใช่ ผู้นำระดับสูงจะยอมให้จ้าวหยูเฟยอยู่กับตัวไร้ประโยชน์ได้อย่างไร…”
คิดอีกด้านหนึ่ง ปฐมเทพลั่วอวี่รู้สึกว่าเว่ยชิงพูดมีเหตุผลยิ่งนัก
จ้าวเฟิงคิดอาจเอื้อมจ้าวหยูเฟย ก็ได้กำหนดจุดจบอันหม่นหมองของเขาเอาไว้แล้ว ส่วนจ้าวหยูเฟยก็สร้างความโมโหให้กับผู้นำระดับสูงและอัจฉริยะคนสำคัญคนอื่นๆ อีกครั้ง ซึ่งก็ตรงใจของปฐมเทพลั่วอวี่พอดี
ไม่มีใครรู้ว่าในขณะเดียวกับที่งานชุมนุมดำเนินไป ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณแอบสังเกตทุกสิ่งอยู่
“เด็กคนนี้ก็คือคนที่จ้าวหยูเฟยให้ความสำคัญมาโดยตลอดคนนั้น? เขามาถึงเผ่าพันธุ์วิญญาณได้อย่างไร?”
“แต่เหมือนเพราะการมาของเจ้าเด็กนี่ จ้าวหยูเฟยเลยทะลวงข้อติดขัดได้แล้ว พลังสายเลือดยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก!”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะให้สายเลือดชั้นต่ำของมันมาแปดเปื้อนสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณไม่ได้เด็ดขาด!”