Skip to content

King of Gods 134

King Of Gods

บทที่ 134 : หลันเสี่ยวหยวน

“เป็นเจ้า…” จ้าวเฟิงอุทานออกมาขณะที่เขาจ้องไปยังหญิงสาวเบื้องหลังศิษย์พี่หยวนด้วยความตื่นเต้น

เขานิ่งอึ้งไปเพราะว่ามันราวกับคู่หูในฝันของเขาได้ปรากฏตัวขึ้นในที่สุด

สีหน้าของเด็กหนุ่มในสายตาของศิษย์พี่หยวนนั้นคือ ‘ความต้องการ’ และนางกระทั่งโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น

‘ไอ้เด็กเวรนี้ไม่ได้มองมาที่ข้า แต่เป็นคนเบื้องหลังข้า’

ในตอนนี้ก็ได้ปรากฏระลอกคลื่นในหัวใจของจ้าวเฟิงขึ้น หญิงสาวเบื้องหลังศิษย์พี่หยวนนั้นดูคุ้นเคยนัก

นางได้ปรากฏตัวขึ้นในสมองเขานับร้อยนับพันครั้งเพราะเขาต้องการที่จะทำความเข้าใจฝ่ามือลมลี้ลับ

นางเป็นสตรีขี้อายในหุบเขาวันนั้น ความยินดีที่ไม่อาจอธิบายได้เกิดขึ้นหลังจากที่ได้พบคนที่ปรากฏในสมองของเขานับพันครั้งในความเป็นจริง

กระทั่งจ้าวเฟิงยังสูญเสียความเยือกเย็นไป

“ศิษย์น้องหลัน เจ้ารู้จักเขาหรือ?” ศิษย์พี่หยวนมองไปยังหญิงสาวเบื้องหลังนางด้วยความเคลือบแคลงและตื่นเต้น

หรือศิษย์น้องหลันจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเด็กหนุ่มผู้นั้น? ในฐานะของสหายที่ดีที่สุดของนาง ในที่สุดนางก็ขายออกแล้วหรือ?

“ข้า… ข้าไม่รู้จักเขา”

ใบหน้าของศิษย์น้องหลันแดงก่ำขณะที่นางสำรวจจ้าวเฟิง ทว่านางได้ส่ายศีรษะ

เมื่อเห็นสีหน้าใสซื่อนั้น ศิษย์พี่หยวนได้มั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นไม่รู้จักเด็กหนุ่มจริงๆ เพราะนางรู้ว่าศิษย์น้องหลันนั้นจะไม่โกหกนาง

นอกจากนั้น ด้วยพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง เขาควรจะเป็นเพียงศิษย์สายนอก และเขาย่อมไม่มีความข้องเกี่ยวกับศิษย์สายใน

“ไอ้เด็กเหลือขอ! อย่าได้คิดวุ่นวาย! เจ้าคงเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบนาง แต่เจ้าก็ยังต้องถูกลงโทษในการกระทำที่ไร้ยางอายเช่นนี้…”

ศิษย์พี่หยวนเอ่ยอย่างเที่ยงตรง แต่เมื่อเห็นดวงตาของจ้าวเฟิงหม่นลงนางก็เริ่มรู้สึกเสียใจที่โกรธมากเกินไป

ศิษย์พี่หยวนนั้นคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มขี้เล่นเพราะเขานั้นเด็กเกินไป หากเป็นผู้อื่น พวกเขาย่อมตายตกแล้ว

จ้าวเฟิงกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง เขารู้ว่าทั้งสองนั้นไม่รู้จักเขา แต่เขาก็ยังไม่อาจกักเก็บความตื่นเต้นในหัวใจของเขาได้

ก่อนหน้านั้น คนสามคนได้สร้างความตื่นตะลึงให้เขา และเขาได้พบหญิงสาวผู้นั้นอีกครั้ง

“ข้าขอเอ่ยถามนามของท่านได้หรือไม่?”

จ้าวเฟิงยังรู้สึกอยากรู้ชื่อของอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้

ความโกรธของศิษย์พี่หยวนมากขึ้นอีก นางพลันตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางได้กลับมาเยือกเย็นราวกับว่าอายุของเขานั้นได้เพิ่มขึ้นกะทันหัน เพราะความเยือกเย็นระดับนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนช่วยวัยเขาควรจะมี

“ข้า…”

ใบหน้าของศิษย์น้องหลันกลับกลายเป็นแดงก่ำขณะที่นางกำลังจะเอ่ยตอบ แต่กลับถูกหยุดโดยศิษย์พี่หยวน

“ศิษย์น้องหลัน ไอ้เด็กนี่ไม่มีสิ่งใดดีในสมองแม้แต่น้อย ดูจากการกระทำไร้ยางอายก่อนหน้าสิ”

ศิษย์พี่หยวนดึงศิษย์น้องหลันไปข้างๆ ก่อนจะเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงอย่างเย็นชา

เพราะว่าจ้าวเฟิงได้ ‘เมิน’ นาง นางจึงตัดสินใจที่จะลงโทษเขา แต่ก่อนที่นางจะได้เอ่ยสิ่งใด จ้าวเฟิงก็เอ่ยอย่างเย็นชา

“ศิษย์พี่ ข้าเชื่อว่าบ่อพันบุปผาไม่ได้เปิดในวันนี้ ดังนั้นแล้วท่านเข้ามาได้อย่างไร? หากท่านไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ข้าจะรายงานไปยังสำนัก”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหญิงสาวทั้งสองก็แปรเปลี่ยนไป โดยเฉพาะศิษย์น้องหลันที่กลายเป็นลนลานในทันใด

บ่อพันบุปผานับเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก และหากไร้ซึ่งคำอนุญาต กระทั่งศิษย์สายในก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

“แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไร?” ท่าทีของศิษย์พี่หยวนยังคงแข็งกร้าว

ฟึ่บ!

จ้าวเฟิงหยิบตราออกมาก่อนจะมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาเฉียบแหลม

“ตราภารกิจสำนัก!”

ศิษย์พี่หยวนพลันลนลานภายใต้สายตาของเด็กหนุ่ม

นางตระหนักได้ว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้านางนั้นมีสถานะพิเศษ หรือมิเช่นนั้นเขาย่อมไม่มีตราภารกิจสำนักที่จะเข้ามายังบ่อพันบุปผา

“ข้ามาภายใต้คำสั่งของรองหัวหน้าตำหนักจางเพื่อสำรวจจุดอ่อนและช่องว่างของค่ายกล แต่ว่ากลับมีคนสองคนแอบเข้ามา ท่านรับรู้ถึงความผิดของท่านหรือไม่?”

ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยเสียงตวาด ดวงตาซ้ายของเขาทำงานและกลายเป็นคมกริบ มันราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นความลับของอีกฝ่ายได้

หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันอย่างรู้สึกผิด

จ้าวเฟิงมีเหตุผลที่จะเข้ามายังบ่อพันบุปผา และพวกนางได้เข้ามาในบ่อทางช่องว่าง

ในเสี้ยวพริบตา เด็กหนุ่มได้กลายเป็นผู้ถามจากผู้ถูกถาม สิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงกระตุ้นค่ายกลแล้วสมาชิกตำหนักภารกิจสำนักจะมา

“หึ แล้วการที่เจ้าแอบมองพวกเราล่ะ?”

ศิษย์พี่หยวนจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร?

เมื่อคิดถึงชื่อเสียงของนางในฐานะศิษย์สายใน นางย่อมไม่อาจพ่ายแพ้ให้แก่ศิษย์สายนอกผู้หนึ่งได้

“แอบดู? ผู้ใดมาก่อน?”

จ้าวเฟิงหัวเราะ ในตอนนี้ เขาไม่ได้ดูบริสุทธิ์ใสซื่ออีกต่อไป

“เจ้า…”

ศิษย์พี่หยวนกลายเป็นไร้คำพูดไป

จ้าวเฟิงนั้นได้มาถึงก่อนพวกนางและพวกนางได้แอบเข้ามาจริงๆ

“ศิษย์น้องจ้าว มันเป็นความผิดของพวกเรา… โปรดอย่า…” ดวงตาของศิษย์น้องหลันแดงก่ำขณะที่นางขอร้อง

เมื่อเห็นสีหน้าใสซื่อและเศร้าสร้อยของนาง จ้าวเฟิงย่อมไม่ทำร้ายพวกนาง

ในตอนนี้ ศิษย์พี่หยวนได้เงียบลงเช่นกันราวกับว่านางรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีความสามารถที่จะคุกคามนางได้

“เอาเถอะ ข้าจะไม่ทำมากไปกว่านี้เพราะศิษย์พี่หลัน” จ้าวเฟิงเก็บตราของเขา

สีหน้า ‘เช่นที่ข้าคิด’ ปรากฏบนสีหน้าของศิษย์พี่หยวน

“ไอ้หนู ศิษย์สายนอกเช่นเจ้าไม่มีทางที่จะจับศิษย์น้องหลันได้”

ใบหน้าของหญิงสาวสกุลหลันแดงก่ำราวโลหิตขณะที่นางก้มศีรษะต่ำและลอบมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยห่างตา ทว่ากลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

“พวกท่านควรไป หากพวกท่านถูกพบโดยผู้คุมกฎหรือสมาชิกตำหนักภารกิจสำนักผู้อื่น ข้าย่อมไม่อาจช่วย” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขณะที่จมร่างของเขากลับลงไปยังบ่อพันบุปผา

เมื่อเห็นการโต้ตอบของเด็กหนุ่ม หญิงสาวสกุลหยวนก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่เมื่อคิดแล้วนางก็รู้สึกสงสารจ้าวเฟิงอย่างช่วยไม่ได้ เขาเป็นเพียงศิษย์สายนอกต่ำต้อยผู้หนึ่งและอาจไม่อาจเป็นศิษย์สายในได้ตลอดชั่วชีวิตของเขา

เป็นเพราะศิษย์น้องหลันนั้นไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน ดังนั้นมันย่อมเป็นรักข้างเดียวอย่างแน่นอน

ศิษย์พี่หยวนถอนหายใจและดึงแขนสหายก่อนเดินออกจากค่ายกลไป

จ้าวเฟิงส่งทั้งสองจากไปด้วยสายตาและพ่นลมหายใจยาวเหยียดพร้อมปาดเหงื่อเย็นเยียบ

ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์พี่หยวนนั้น นางสามารถสั่งสอนเขาได้อย่างง่ายดาย กระทั่งเจ้าเมืองกว่านจวินก็ไม่อาจรับมือนางได้แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า

เมื่อทั้งสองออกไปจากค่ายกล น้ำเสียงแผ่วเบาเขินอายก็ดังขึ้น

“นามของข้าคือหลันเสี่ยวหยวน ขอบคุณ!”

จ้าวเฟิงชะงักและเห็นใบหน้าเขินอายที่แย้มยิ้มที่ไม่อาจหลบไปจากสายตาของเขาได้

หลันเสี่ยวหยวน?

อืม เป็นชื่อที่ดี แต่จ้าวเฟิงกลับพึมพำ

“เป็นข้าที่ควรขอบคุณท่าน”

ฝ่ามือลมลี้ลับได้ช่วยเหลือในการฝึกตนของเขานัก เขาจดจำได้อย่างดีว่าหญิงสาวผู้นั้นหน้าตาเช่นไร เขานั้นต้องการที่จะพบนางและเอ่ยขอบคุณหลายๆ ครั้ง

บัดนี้เขาได้พบหลันเสี่ยวหยวน จ้าวเฟิงรู้สึกว่าเขานั้นได้ติดหนี้น้ำใจนาง

หลังจากที่ทั้งสองจากไป จ้าวเฟิงก็จมร่างลงในบ่อพันบุปผาอีกครั้งและเริ่มโคจรวิชากำแพงเงินพร้อมดูดซึมพลังลึกลับของสายน้ำไว้

กระทั่งดึกดื่นจ้าวเฟิงจึงกลับไปยังตำหนักภารกิจสำนักและยื่นรายงานของเขาเกี่ยวกับส่วนของค่ายกลที่พลังงานถดถอยลง

เด็กหนุ่มกลับไปยังสวนของเขาและเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง

เช้าวันที่สอง จ้าวเฟิงพบว่าวิชากำแพงเงินของเขานั้นห่างจากระดับสิบเพียงก้าวเดียว

ร่างกายของเขานั้นอยู่ในระดับครึ่งขั้นของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ด้วยเพียงแค่กล้ามเนื้ออย่างเดียว เขาก็สามารถเอาชนะผู้ฝึกตนในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้

“ข้าควรที่จะสามารถท้าทายผู้ฝึกตนในนภาที่หนึ่งของขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้แล้ว”

จ้าวเฟิงฉีกยิ้ม แต่ระดับสิบนั้นแม้ว่าจะห่างเพียงครึ่งก้าว มันก็ยังคงยากที่จะไปถึง

ทว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้เร่งรีบ จากความคิดของเขา เขาสามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้ในครึ่งเดือนหากเขาต้องการ แต่เขาต้องการที่จะรวบรวมความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

“หากข้ากลายเป็นศิษย์สายใน ความแค้นระหว่างข้ากับกวานเฉินย่อมระเบิดออก และข้าเองก็จะเข้าไปในสายตาของไฮ่หยุน” จ้าวเฟิงคิด

ดังนั้นแล้ว เขาควรรวบรวมพลังมากกว่านี้ด้วยข้อได้เปรียบที่เขามีในตอนนี้

เด็กหนุ่มคำนวณเวลา จ้าวเฟิงตระหนักว่าสิบวันที่เขาควรจะอยู่ที่ตำหนักภารกิจสำนักได้หมดลงแล้ว

เป็นเพราะการทะเลาะกันระหว่างผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวน จ้าวเฟิงจึงได้อยู่ที่ตำหนักหญ้าไพรและตำหนักภารกิจสำนักที่ล่ะสิบวัน

เด็กหนุ่มทำเสร็จแล้ว ทว่าทั้งผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนกลับไม่ได้มาหาเขาในไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงเริ่มฝึกฝนวิชากำแพงเงินและฝ่ามือวายุอัสนี ทั้งยังได้แอบลอบเข้าไปในบ่อพันบุปผายามที่เขามีเวลาว่าง แต่เพียงเวลาผ่านไปไม่นาน จ้าวเฟงก็ได้รับคำท้าประลองจากเซี่ยวซุนและเจียงอวี่เยี่ยน

คนผู้หนึ่งมีโอกาสในการท้าประลองว่าที่ศิษย์สายในในทุกๆ 6 เดือน แต่สำหรับศิษย์ที่เข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกแล้ว มันไม่มีขีดจำกัด

ทุกคนล้วนรู้ว่าศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งนั้นมีประโยชน์อย่างมาก และเซี่ยวซุนก็คาดหวังในการเข้าไปยังตำหนักกลวงก่อนที่เขาจะกลายเป็นศิษย์สายในยิ่งนัก

ความจริงนั้น ด้วยกายจิตวิญญาณระดับสูงและความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซี่ยวกับสำนัก ชายหนุ่มย่อมสามารถเป็นเช่นหลิวเยว่เอ๋อร์และซุนหยวนเฮาและเข้าเป็นศิษย์สายในได้ในทันทีได้

เหตุผลที่เขายังไม่เป็นนั้นเป็นเพราะสิ่งหนึ่ง การเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง และบัดนี้พลังฝึกตนของเซี่ยวซุนก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว เพียงความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจทำให้เขาทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้

3 วันต่อมา

จ้าวเฟิงประลองกับเซี่ยวซุนและเจียงอวี่เยี่ยน

เซี่ยวซุนในตอนนี้ได้ครองอันดับที่สี่และคู่มือเพลิงอัสดงของเขาได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก เขานั้นคาดหวังในการต่อสู้กับจ้าวเฟิงไว้อย่างมาก ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม จ้าวเฟิงนั้นไม่แม้แต่จะใช้ฝ่ามือวายุอัสนี… ด้วยเพียงวิชากำแพงเงิน ดรรชนีดารา และกระบวนท่าวายุทั้งสี่ เซี่ยวซุนก็ได้พ่ายแพ้อย่างง่ายดายแล้ว

เจียงอวี่เยี่ยนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน นางสามารถต่อกรกับเด็กหนุ่มได้สิบกว่ากระบวนท่าก่อนที่จะพ่ายแพ้ไป

“พลังของเขาในบัดนี้ไม่อาจนับได้ว่าด้อยกว่าหลินฟ่านยามที่เขาเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง” เจี่ยงอวี่เยี่ยนยอมแพ้

ตำแหน่งศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งของจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจสั่นคลอนได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!