บทที่ 161 : การแข่งขันยอดนภา (1)
สำนักจันทร์สลาย ตำหนักกลาง
ร่างของศิษย์คนแล้วคนเล่าได้ปรากฏขึ้นในลาน และแม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่การรวมตัวศิษย์สายใน คนจำนวนมากก็ได้มาถึง
เหนือตำหนักกลางปรากฏภาพตำหนักสีครามที่ล่องลอยอยู่ใจกลางทะเลแห่งอัสนีพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา
จ้าวเฟิงและหลินฟ่านเองก็ได้มาถึงเช่นกัน ดวงตาของเด็กหนุ่มผมครามได้จับจ้องไปยังตำหนักยอดนภา และเขาพบว่าสายฟ้าที่ล้อมรอบมันนั้นได้แข็งแกร่งกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน
วันนี้เป็นวันที่จะตัดสินผู้ที่จะเข้าร่วม เรียกขานกันในนาม ‘การแข่งขันยอดนภา’
การทดสอบยอดนภามีขึ้นในทุกๆ ห้าปี และนี่เป็นโอกาสสำหรับผู้อาวุโสเพื่อที่จะค้นหาศิษย์ใหม่
“ศิษย์น้องจ้าว ศิษย์น้องหลิน พวกเจ้าเองก็สมัครเช่นกันหรือ?”
ซู่เหรินเดินมาพร้อมรอยยิ้ม
ตั้งแต่ที่พวกเขาทำภารกิจเสร็จสิ้น ทั้งหมดก็ได้กลายเป็นสหายกัน
“ถูกแล้ว! ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์น้องจ้าว เขาย่อมสามารถเข้าร่วมได้ แต่สำหรับข้านั้นมันคงยากนัก” หลินฟ่านเอ่ยตอบ
“ศิษย์น้องจ้าวย่อมต้องผ่านอย่างแน่นอน”
ซู่เหรินผงกศีรษะ เพราะพวกเขาได้ทำภารกิจเดียวกัน ซู่เหรินจึงรู้ว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นแข็งแกร่งเพียงใด และทั้งสามมักจะประลองแลกเปลี่ยนกันอยู่บางครั้ง
ในบรรดาคนทั้งสาม จ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด จากนั้นจึงเป็นหลินฟ่าน และซู่เหรินเป็นคนสุดท้าย
ซู๋เหรินนั้นไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้ประลองแลกเปลี่ยนกับจ้าวเฟิง ทว่าหลินฟ่านที่เอาชนะเขาอย่างงง่ายดายกลับกลายเป็นจนปัญญาเมื่อเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มผมคราม
คำพูดของทั้งสามได้ลอยไปเข้าหูของอวิ๋นเมิงเซียงที่อยู่ใกล้ๆ
“การแข่งขันยอดนภา? จากน้ำเสียงของหลินฟ่านและซู่เหรินแล้ว จ้าวเฟิงสามารถได้รับที่ว่างเช่นนั้นหรือ?”
ดวงตาของอวิ๋นเมิงเซียงกลอกก่อนจะจับจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิง นางตระหนักได้ว่าตั้งแต่ที่พวกเขาทั้งสองได้เป็นศิษย์สายใน นางก็ได้ให้ความสนใจแก่เด็กหนุ่มน้อยลงทุกที
สำหรับถ้ำมารจันทราชาดที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วนั้น นางไม่ได้ใส่ใจและคิดว่าจ้าวเฟิงนั้นเพียงโชคดี
เด็กสาวนั้นมีพลังฝึกตนอยู่เพียงนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดังนั้นแล้วนางจึงไม่ได้สมัครและเพียงแค่มาดู
คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ไหล่บ่าเข้ามายังลาน ศิษย์สายในและศิษย์หลักได้ปรากฏขึ้นคนแล้วคนเล่า
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ศิษย์สายในทุกคนได้มาถึง และกระทั่งศิษย์สายนอกบางคนยังมาดู สำหรับงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ สำนักจึงอนุญาตให้ศิษย์สายนอกเข้ามาดูได้
“สู้เขา ศิษย์น้องจ้าว!” หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นเอ่ยให้กำลังใจจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มผมครามผงกศีรษะให้ผู้เป็นศิษย์พี่ทั้งสองอย่างทักทาย
“ศิษย์น้องจ้าว มานี่” น้ำเสียงเหนือกว่าและแข็งแกร่งดังขึ้นจากด้านข้าง
“นั่นศิษย์หลัก หยางก่าน!”
“หยางก่าน! อันดับสองในบรรดาศิษย์หลัก และหนึ่งในตัวเก็งของตำแหน่งหัวหน้าศิษย์”
ฝูงชนได้ปรากฏเสียงพูดคุยขึ้น
หยางก่านแต่งกายในชุดสีขาวบริสุทธิ์และราวกับรูปปั้นแกะสลักที่หล่อเหลา ในฐานะของหนึ่งในศิษย์สายในที่โด่งดังที่สุด ทุกการกระทำของเขาจึงได้รับการสังเกตจากผู้อื่นเสมอ
ใบหน้าของศิษย์สตรีบางคนแดงซ่านขณะพวกนางมองไปยังรูปลักษณ์ที่หล่อเหลานั้น
“ศิษย์พี่หยาง”
จ้าวเฟิงเดินไปและหยุดยืนอยู่ข้างหยางก่าน พวกเขาเป็นศิษย์เพียงสองคนของผู้อาวุโสหนึ่ง
หยางก่านนั้นเป็นที่รู้จักกันในเรื่องของความซื่อตรง และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใจดีต่อจ้าวเฟิง เขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ แก่ศิษย์น้องผู้นี้ กลับกัน เขาได้ทำหน้าที่ของศิษย์พี่เป็นอย่างดี
“ผู้ที่เดินกับหยางก่านคือผู้ใดกัน?”
หลายคนประหลาดใจ และบางคนได้รับรู้ความจริงจากบทสนทนา
ในจุดหนึ่ง จ้าวเฟิงเองก็ได้รับความสนใจจากหลายคน
เด็กหนุ่มนั้นเดินอย่างมั่นใจเคียงข้างหยางก่าน และผู้เป็นศิษย์พี่มีความต้องการที่จะนำจ้าวเฟิงเข้าสู่วงของศิษย์หลัก
ในบรรดาศิษย์หลัก จ้าวเฟิงนั้นคุ้นเคยกับหลายๆ คนในนั้นเช่นศิษย์พี่หยวน กวานเฉิน และหยวนจื่อ
“ไอ้หมอนี่กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหนึ่งแล้ว” ศิษย์พี่หยวนมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่พอใจ
นางยังคงอยู่กับหลันเสี่ยวหยวน และหญิงสาวตระกูลหลันได้ผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายให้
เมื่อรู้ว่าจ้าวเฟิงจะเข้าร่วมการแข่งขันเช่นกัน ศิษย์พี่หยวนก็หัวเราะ
“ศิษย์น้องหลัน อย่าได้อ่อนมือเมื่อเจ้าเจอกับไอ้เด็กเวรนั่น สั่งสอนเขาเสีย”
“เราอาจจะไม่เจอกัน”
ใบหน้าของหลันเสี่ยวหยวนแดงก่ำเล็กๆ ขณะที่นางลอบมองไปยังจ้าวเฟิง ก่อนที่จะกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
การแข่งขันยอดนภานั้นใช้ ‘กฎเจ็ดการต่อสู้’
กฎเจ็ดการต่อสู้นั้นหมายถึงทุกคนจะได้สู้ทั้งหมด 7 ครั้ง และผู้ชนะจะสู้กับผู้ชนะ ในขณะที่ผู้แพ้สู้กับผู้แพ้
มันมีคนมากกว่า 30 คน โอกาสที่จะเจอคนผู้หนึ่งจึงไม่สูงหรือต่ำ นอกจากนั้น ไม่ว่าผู้ใดที่ชนะ 4 ครั้งติดต่อกันจะได้รับที่ว่างไปในทันที เพราะยิ่งเอาชนะได้มากขึ้นเท่าใด คู่ต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อทุกคนล้วนเป็นผู้ชนะ
ไม่ว่าผู้ใดที่ชนะติดต่อกันสี่ครั้งย่อมมีความสามารถที่จะติดหนึ่งในสิบ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ระดับสูงของสำนักก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับที่ค่ายกลได้ถูกสร้างขึ้นใจกลางลาน
ค่ายกลนั้นได้รับการดูแลจากรองหัวหน้าตำหนักจางจากตำหนักภารกิจสำนัก
หวิวว หวิวว
เสียงของสายลมที่หวีดหวิวปรากฏขึ้น ก่อนที่เสี้ยววินาทีถัดมา กลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะปรากฏขึ้น
“คารวะ ท่านผู้อาวุโส!”
สองคนแรกที่มาถึงคือผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสไฮ่หยุน หลังจากทั้งสองนั่งลงที่ที่นั่งของตน ร่างทรงพลังอีกร่างก็ปรากฏขึ้น พลังของเขานั้นเหนือกว่าผู้อาวุโสทั้งสอง
“ผู้อาวุโสหนึ่ง!”
ทุกคนค้อมคำนับลง และกระทั่งผู้อาวุโสทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนขึ้น
จากนั้น จ้าวสำนักและผู้อาวุโสอีกคนก็ได้มาถึง
“คารวะท่านจ้าวสำนักและท่านแม่เฒ่าหลิวเยว่”
ศิษย์รวมทั้งผู้คุมกฎและรองผู้คุมกฎต่างค้อมคำนับลง
ทั้งสองที่มาถึงนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสตรี หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวงดงามที่มีกลิ่นอายสูงสง่างาม นางคือจ้าวสำนักแห่งสำนักจันทร์สลาย!
แม้ว่าพวกเขาจะล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กิ่นอายของนางกลับแข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสไฮ่หยุนนัก ถัดจากจ้าวสำนักเป็นหญิงชราผมขาวที่มีกลิ่นของสมุนไพรบนร่าง
“จ้าวตำหนักหญ้าไพร แม่เฒ่าหลิวเยว่” จ้าวเฟิงรู้ข้อมูลของคนคนนี้เล็กน้อย
แม่เฒ่าหลิวเยว่นั้นเป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดในสำนัก ทั้งในด้านพลังฝึกตนและการทำยานางล้วนเหนือกว่าผู้เฒ่ากวน จ้าวสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่ง และผู้อาวุโสอีกสามคนต่างนั่งลงที่ที่ของตนโดยมีศิษย์ของพวกเขายืนอยู่เบื้องหลัง
เบื้องหลังจ้าวสำนักจันทร์สลายปรากฏร่างของศิษย์สตรีสองคน ศิษย์พี่หยวนและหลันเสี่ยวหยวน
“อาจารย์ของหลันเสี่ยวหยวนเป็นจ้าวสำนัก…” จ้าวเฟิงประหลาดใจ
ไม่แปลกใจเลยที่นางจะอยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ วิชาหลักของนางอาจเป็นวิชาเซียนวายุสวรรค์เช่นกัน
เบื้องหลังผู้อาวุโสเสวี่ยปรากฏร่างของศิษย์หลายคน และหนึ่งในนั้นมีใบหน้าเยาว์วัย
เป็นซุนหยวนเฮาที่มีกายผันแปร!
พลังฝึกตนของเขาได้อยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่สอง ซึ่งหมายความว่าพรสวรรค์ของเขานั้นเกือบจะยอดเยี่ยมเช่นเป่ยโม่ย
เบื้องหลังผู้อาวุโสไฮ่หยุนปรากฏร่างของเป่ยโม่ย หยวนจื่อ และกวานเฉิน
สำหรับแม่เฒ่าหลิวเยว่นั้นปรากฏร่างของเด็กสาวที่คุ้นเคยยืนอยู่เบื้องหลัง
หลิวเยว่เอ๋อร์!
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง เด็กหนุ่มไม่คาดว่าหลิวเยว่เอ๋อร์จะเป็นศิษย์ของจ้าวตำหนักหญ้าไพร พลังฝึกตนของนางนั้นก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สองแล้วเช่นกัน และเมื่อมีแม่เฒ่าหลิวเยว่ที่เป็นนักปรุงยาที่เก่งกาจที่สุดของสำนักช่วยเหลือ ข้อได้เปรียบของนางจึงมากมายนัก
เด็กสาวเองก็ประหลาดใจที่เห็นร่างของจ้าวเฟิงยืนอยู่เบื้องหลังผู้อาวุโสหนึ่งเช่นกัน
ผู้อาวุโสหนึ่งและจ้าวสำนักต่างรั้งอำนาจสูงสุดในสำนัก
“เหตุใดข้าจึงไม่อาจจัดการไอ้หมอนี่ได้…?” หลิวเยว่เอ๋อร์รู้สึกค่อนข้างหงุดหงิด
นางและจ้าวเฟิงนั้นต่างเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองชางตี้และเจ้าเมืองกว่านจวินตามลำดับ และนางคิดว่านางจะเหนือกว่าจ้าวเฟิงตลอดไปโดยการเป็นศิษย์ของแม่เฒ่าหลิวเยว่ สิ่งที่ทำให้นางหงุดหงิดมากไปกว่าเดิมนั้นคือจ้าวเฟิงมีเพียงกายจิตวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น
“น่าสนใจ… คนคุ้นเคยจำนวนมากนัก…” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง
ดวงตาของเขากวาดผ่านร่างของเป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน หลิวเยว่เอ๋อร์ ซุนหยวนเฮา และเซี่ยวซุน…
คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่เพื่อแย่งชิงที่ว่าง
“การแข่งขันยอดนภาที่จัดขึ้นในทุกๆ ห้าปีเริ่มขึ้นได้!” รองหัวหน้าแห่งตำหนักกลาง รองหัวหน้าตำหนักหลี่ประกาศ
เหล่าผู้ชมได้เงียบงันลง กฎของการแข่งขันนั้นเป็นเช่นปกติ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีลำดับของตนและคู่ต่อสู้จะถูกสุ่ม
จ้าวเฟิงจับเลขของเขาก่อนจะเดินกลับไปยืนอยู่เบื้องหลังผู้อาวุโสหนึ่ง
“ศิษย์น้องจ้าว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้เข้าประลองนั้นคือเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวน ตราบเท่าที่เจ้าไม่เจอกับสองคนนี้ เจ้าย่อมสามารถเอาชนะ 4 ครั้งติดต่อกันได้” หยางก่านวิเคราะห์
เป่ยโม่ยนั้นเป็นศิษย์ใหม่ที่มีพรสวรรค์ ความเข้าใจ และพลังฝึกตนสูงที่สุด บัดนี้เด็กหนุ่มได้เข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และมีความสามารถที่จะเหนือกว่าผู้อาวุโสไฮ่หยุน
อีกด้านนั้น หลันเสี่ยวหยวนเป็นศิษย์หลักของจ้าวสำนักและพลังฝึกตนของนางได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สาม
“ข้ารู้จัก… ทั้งคู่…”
รอยยิ้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง
การแข่งขันได้เริ่มขึ้นในไม่ช้า
วิ้งงงง
แสงสีขาวได้ปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นภาพของศิษย์สองคนที่ได้เริ่มประลองกัน
หนึ่งในนั้นคือเซี่ยวซุน เขาได้ใช้รางวัลที่เข้าได้รับจนสามารถเข้าสู่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้
ทว่า คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นเป็นศิษย์เก่าที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สอง และหลังจากนั้นราวๆ 20 หระบวนท่า เซี่ยวซุนจึงพ่ายแพ้
ผู้ชนะจะได้เข้าสู่รอบต่อไปและสู้กับผู้ชนะอีกคน
การแข่งขันดำเนินต่อไป เป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน และซุนหยวนเฮาต่างแสดงความสามารถของพวกเขา
การแข่งขันรอบที่แปด เป่ยโม่ยได้ปรากฏตัว
“เหมันต์เหนือสวรรค์ทมิฬ!”
ปราณแท้สีน้ำเงินปรากฏขึ้นจากร่างของเป่ยโม่ย สร้างน้ำวนก่อนจะพุ่งไปเบื้องหน้า
“เกิดอันใดขึ้น!?”
คู่ต่อสู้ของเขาไม่อาจหายใจได้ ใบหน้าเริ่มแดงก่ำขึ้น
พรวด!
ศิษย์ในขั้นสุดยอดของนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้กระอักเลือดออกมาคำโต ก่อนที่น้ำวนจะถูกดูดกลับเข้าไปในร่างของเป่ยโม่ยพร้อมเสียง ‘ฟุ่บ’ หรือมิเช่นนั้น คู่ต่อสู้ของเขาคงสิ้นชีพไปแล้ว
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
เหล่าผู้ชมและผู้เข้าแข่งขันต่างนิ่งอึ้ง กระทั่งสีหน้าของศิษย์หลักยังแปรเปลี่ยนไป