Skip to content

King of Gods 163

King Of Gods

บทที่ 163 : การแข่งขันยอดนภา (3)

รอบที่สี่ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก

คนสองคนจะได้รับหนึ่งในสิบที่ว่างในครั้งนี้ และมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบยอดนภา

ทั้งสองจะมาจากจ้าวเฟิง หลินเยว่เอ๋อร์ เป่ยโม่ย และหลันเสี่ยวหยวน

สี่คนนี้ก็ได้เป็นตัวแทนของระดับสูงของสำนักเช่นกัน

เป่ยโม่ยนั้นแทนผู้อาวุโสไฮ่หยุน หลันเสี่ยวหยวนแทนจ้าวสำนัก จ้าวเฟิงแทนผู้อาวุโสหนึ่ง และหลิวเยว่เอ๋อร์แทนแม่เฒ่าหลิวเยว่

ดังนั้นแล้ว นี่จึงไม่ใช่เพียงแค่การประลอง มันได้แสดงให้เห็นถึงการปะทะกันของระดับสูงของสำนัก

“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าต้องชนะเพื่อหน้าของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ หากคู่ต่อสู้คือหลิวเยว่เอ๋อร์ เจ้ามีโอกาสสูงที่จะชนะ”

หยางก่านยิ้มขณะที่ตบบ่าของจ้าวเฟิง

หลิวเยว่เอ๋อร์?

เด็กหนุ่มคิดก่อนจะถอนหายใจ มันไม่ใช่

จ้าวเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจกับคู่ต่อสู้ที่เข้าเผชิญหน้าด้วยในสามรอบแรกเลยแม้แต่น้อย และเขารู้จักทั้งสามคนในรอบที่สี่

ทั้งเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวนต่างเป็นคู่ต่อสู้ที่เป็นปัญหา และหากเด็กหนุ่มไม่ใช้ดวงตาซ้าย เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะชนะ

เขาอาจเอาชนะผู้อื่นที่มีพลังฝึกตนสูงกว่าได้ ทว่าคู่ต่อสู้ของเขาเองก็สามารถทำได้เช่นกัน ทั้งพวกเขายังมีพลังฝึกตนสูงกว่าอีกด้วย

“ศิษย์น้องหลัน คู่ต่อสู้ของเจ้าคือผู้ใดกัน? มันคงไม่เป็นปัญหาตราบเท่าที่เจ้าไม่เจอกับเป่ยโม่ย…”

ศิษย์พี่หยวนมองไปยังหลันเสี่ยวหยวน นางไม่ได้ให้ความสนใจกับคู่ต่อสู้ก่อนหน้า ทว่าผู้ที่อยู่ในรอบสี่นั้นล้วนแล้วแต่แข็งแกร่ง

“เป็น… เป็นเขา…” หลันเสี่ยวหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ผู้ใด? เขา!?”

ศิษย์พี่หยวนมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มตาเดียว

“ฮี่ฮี่ฮี่ มิใช่ว่ายอดเยี่ยมหรือ? ศิษย์น้องหลัน เจ้าต้องช่วยข้าสั่งสอนไอ้เด็กเวรไร้ยางอายนั่น”

ศิษย์พี่หยวนหัวเราะอย่างยินดี นางต้องการให้หลันเสี่ยวหยวนเจอกับจ้าวเฟิง เพื่อที่ศิษย์น้องของนางจะได้สั่งสอนอีกฝ่ายแทนนาง

“แต่…”

หลันเสี่ยวหยวนกระพริบตาขณะที่นางกำหมัดแน่น ในตอนนี้ สายตาของเด็กหนุ่มผมครามได้มองมาทางนางซึ่งทำให้ใบหน้าของนางแดงซ่านขึ้นเล็กๆ

“ศิษย์น้องหลัน เจ้าต้องรวบรวมความกล้ามิให้ถูกทำให้หวาดกลัวโดยรูปลักษณ์ของเขา เจ้าสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยพลังของเจ้า” ศิษย์พี่หยวนเอ่ยให้กำลังใจ

“โฮ่? คู่ต่อสู้ของเสี่ยวหยวนเป็นศิษย์ที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีหรือ?”

น้ำเสียงแจ่มใสใสกระจ่าง เต็มไปด้วยความอบอุ่นดังขึ้น ผู้พูดคือจ้าวสำนักจันทร์สลายที่มีกลิ่นอายสูงส่งสง่างาม

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เป็นเด็กเหลือขอนั่น” ศิษย์พี่หยวนเอ่ยอย่างนอบน้อม

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คิ้วของจ้าวสำนักก็กระตุกเล็กๆ

“บางทีมันอาจย่ำแย่สำหรับหลันเสี่ยวหยวนมากกว่าในการเจอเขาแทนที่จะเป็นเป่ยโม่ย”

เป็นไปได้เช่นไร!?

ศิษย์พี่หยวนนิ่งอึ้ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เชื่อถือ

“มันเป็นเพียงสัญชาตญาณของข้า บางทีอาจเป็นเพราะเขาฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี”

จ้าวสำนักแย้มยิ้มและกลับไปมีสีหน้าปกติ

รอบที่สี่ได้เริ่มต้นขึ้น หลินฟ่านและซุนหยวนเฮาต่างผ่านได้ ในขณะที่เซี่ยวซุนที่ได้พ่ายแพ้ติดต่อกันสี่ครั้งได้ออกจากเวทีประลองและยอมแพ้การต่อสู้ที่เหลือด้วยความสิ้นหวัง

ผู้คนได้เข้าสู่จุดสูงสุดในที่สุด ทั้งสองที่ได้เผชิญหน้ากันในครานี้คือเป่ยโม่ยและหลิวเยว่เอ๋อร์

เด็กสาวสกุลหลิวกัดฟันกรอดและพลันนำอาวุธมนุษย์ระดับกลางของนางออกมาในวินาทีที่เริ่มต้นการต่อสู้

เคล็ดกระบี่จันทร์สันโดษ!

กระบี่หยกของนางกลายเป็นประกายเย็นเยียบเมื่อนางได้วาดฟันมันออก ประกายแสงรูปลักษณ์คล้ายจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลาเดียวกัน ผลึกแปลกประหลาดบนกระบี่นั้นก็ได้เปล่งประกายขึ้น เพิ่มพลังของกระบี่นั้น

ด้วยอาวุธมนุษย์ระดับกลาง พลังโจมตีของเด็กสาวได้สามารถคุกคามผู้ที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สามได้ ทว่าคู่ต่อสู้ของนางมิใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาในนภาที่สาม

“ธาราเหนือสวรรค์ทมิฬ ดาบปิดธารา!”

ใบหน้าของเป่ยโม่ยไร้ซึ่งความรู้สึกเช่นปกติขณะที่มือทั้งสองขยับอย่างคล่องแคล่ว ชั้นของปราณแท้สีน้ำเงินเข้มได้ควบรวมกันเป็นดาบยาวหนึ่งหลา

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

ดาบและกระบี่ได้เข้าปะทะกันอย่างหนักหน่วงภายใต้การโจมตีของหลิวเยว่เอ๋อร์ ภายใต้การปะทะนั้น เด็กสาวได้ถูกกดดันให้ถอยพร้อมกับลมหายใจกระตุกสั่น ขณะที่คู่ต่อสู้ยังคงยืนอยู่ที่จุดเดิม

นี่เป็นครั้งแรกที่เป่ยโม่ยไม่ชนะในกระบวนท่าเดียว อย่างไรก็ตาม หลิวเยว่เอ๋อร์ได้ใช้พลังของอาวุธของนางและเคล็ดกระบี่จันทร์สันโดษซึ่งทำให้การโจมตีของนางเกือบเทียบเท่าได้กับนภาที่สี่

ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มสกุลเป่ยขณะที่เขาดันมือทั้งสองออกไปเบื้องหน้า ส่งการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าออกไป

ตูม! ตูม! คว้างงง…!

น้ำและแสงส่องประกายวูบวาบไปทั่วทุกที่ที่ทั้งสองปะทะกัน

สิบกระบวนท่าต่อมา หลิวเยว่เอ๋อร์ก็หอบหนัก

“การโจมตีของเจ้าเกือบจะสามารถคุกคามผู้ฝึกตนในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ ทว่าพลังฝึกตนของเจ้าไม่สูงเท่าใด และเจ้าไม่อาจใช้อาวุธมนุษย์ระดับกลางของเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง” เป่ยโม่ยเอ่ยตรงๆ

ใบหน้าของหลิวเยว่เอ๋อร์ขาวซีด เมื่อเผชิญหน้ากับเป่ยโม่ยที่มีพรสรรค์ ความเข้าใจ และพลังที่ยอดเยี่ยม นางก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้

“ข้ายอมแพ้”

เด็กสาวกัดฟันและเก็บกระบี่ของนางเข้าฝัก

“เป่ยโม่ย! เป่ยโม่ย!”

หลังจากชนะการต่อสู้ติดต่อกันสี่ครั้ง ชื่อเสียงของเป่ยโม่ยก็ได้เข้าสู่จุดสูงสุด และเหล่าระดับสูงของสำนักก็ได้ผงกศีรษะราวกับว่าพวกเขาได้เห็นดาวดวงใหม่แล้ว

“โชคร้ายนัก ข้าไม่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่แท้จริงในครานี้”

เป่ยโม่ยเอ่ยขณะที่เดินออกจากเวทีประลองพร้อมกับมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยจิตต่อสู้ที่ล้นทะลัก

ฝูงชนได้มองตามสายตาของเด็กหนุ่มไปก่อนจะพบกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหลังผู้อาวุโสหนึ่ง

เป็นเด็กหนุ่มผมสีครามตาเดียวที่ได้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแก่ทุกคน

“เป็นหมอนั่นอีกแล้ว กระทั่งเป่ยโม่ยยังอยากสู้กับเขา”

“ศิษย์น้องจ้าวได้ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี และเขาอาจต่อกรกับเป่ยโม่ยได้”

เหล่าผู้คนได้พูดคุยกัน

มันอาจคาดได้ว่าทั้งสองจะได้เผชิญหน้ากันยามที่พวกเขาแบ่งชิงตำแหน่งศิษย์หลักในภายหลัง

จ้าวเฟิงยืนนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึกและจดจำถึงสิ่งที่เป่ยโม่ยพูดก่อนหน้าได้

“เราจะมาวัดกันในสำนัก”

มาวัดกัน!

การตกลงระหว่างจ้าวเฟิงและเป่ยโม่ยได้เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

รอบที่สี่ยังคงดำเนินต่อไป

“จ้าวเฟิง vs หลันเสี่ยวหยวน!”

วินาทีที่มันถูกประกาศออกมา ฝูงชนก็ได้เข้าสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง

อีหนึ่งการต่อสู้ที่จะตัดสินว่าผู้ใดจะชนะติดต่อกันสี่ครั้ง

จ้าวเฟิงและหลันเสี่ยวหยวนต่างชนะติดต่อกันสามครั้ง และชัยชนะนี้จะตัดสินว่าผู้ใดจะได้เข้าร่วมการทดสอบ

“ศิษย์พี่หลัน การประลองจะเริ่มในไม่ช้า”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ในขณะที่ศิษย์พี่หยวนกัดฟันกรอดและตวาดว่า

“ศิษย์น้องหลัน! อย่าได้ออมมือให้มัน!”

“อืม! ข้าจะไม่ออมมือ”

หลันเสี่ยวหยวนควบรวมปราณแท้วายุสวรรค์ของนางขณะที่นางมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าแดงซ่าน ทว่านางกลับไร้ซึ่งท่าทีที่จะถอย

หญิงสาวยังคงอาย ทว่านางจงใจแสร้งทำเป็นมั่นใจและแข็งแกร่ง

จ้าวเฟิงอยากที่จะหัวเราะเพราะเขารู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่าย

เงาวายุสวรรค์!

ร่างเล็กของหลันเสี่ยวหยวนพลันพุ่งวูบและหายไปเมื่อนางกลายเป็นสายลม

“เงาวายุสวรรค์!”

ร่างของจ้าวเฟิงเองก็พุ่งวาบและหายไปเช่นเดียวกับหญิงสาว

“เกิดอันใดขึ้น!?”

ผู้ชมอุทานออกมา การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงและหลันเสี่ยวหยวนนั้นเกือบจะเหมือนกัน

กระบวนท่าตัดวายุ!

กระบวนท่าตัดวายุ!

ทั้งสองผลักฝ่ามือของตนออกในเวลาเดียวกัน ประกายแสงได้พุ่งออกจากทั้งสองฝั่งในเสี้ยววินาที

“นี่…”

ดวงตาของหลันเสี่ยวหยวนส่องประกายระริกขณะที่นางมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาแปลกประหลาด

กระบวนท่าลมหมุน!

ร่างของจ้าวเฟิงพลันทะยานขึ้นใจกลางอากาศพร้อมกับที่เรือนผมสีครามของเขาโบกพัดจากสายลม สายลมสีครามได้ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือของเขาและพุ่งไปยังร่างของหญิงสาว

กระบวนท่าลมหมุนนี้คือ ‘ฝ่ามือลมลี้ลับ’ ที่เขาได้เรียนรู้จากหุบเขาในวันนั้น และในวิชาเซียนวายุสวรรค์ กระบวนท่านี้คือฝ่ามือลมหมุน

“ฝ่ามือลมหมุน!”

หลันเสี่ยวหยวนตวาดขณะที่ร่างงดามของนางก็ได้ทะยานขึ้นสู่อากาศและปะทะเข้ากับคู่ต่อสู้ด้วยกระบวนท่าเดียวกัน

เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลที่คุ้นเคยและการกระทำที่เขาได้ดูมานับพันครั้ง จ้าวเฟิงก็นิ่งอึ้งไปเล็กๆ

ตูมม

บอลลมทรงพลังได้ระเบิดออกและส่งร่างของเด็กหนุ่มให้กระเด็นลอยออกไป

ทั้งสองได้ฝึกฝนวิชาเซียนวายุได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ทว่าพลังฝึกตนของหลันเสี่ยวหยวนเหนือกว่าจ้าวเฟิง และเด็กหนุ่มเองก็ชะงักไปชั่วครู่ก่อนหน้า

“วิชาของไอ้หมอนี่เหมือนกับศิษย์น้องหลัน! เขาคิดอันใดกัน!? ชิ ไอ้เด็กเวรนี่กระทั่งจ้องไปยังศิษย์น้องหลันด้วยสายตาน่ารังเกียจนั่นระหว่างต่อสู้!”

ศิษย์พี่หยวนกระทืบเท้าลงบนพื้นด้วยความโกรธ ในขณะที่จ้าวสำนักจันทร์สลายดูจะจมลึกในห้วงความคิด

ในทางกลับกัน ผู้อาวุโสหนึ่งกลับมีสีหน้าแปลกประหลาด

“ข้ายอมแพ้” จ้าวเฟิงพลันหัวเราะและกระโดดอกจากเวทีประลอง

อ๊า!

ภาพนั้นได้ทำให้ปากของผู้ชมอ้าค้าง

ตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้ เด็กหนุ่มผมครามได้ให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง เย็นชา ไร้อารมณ์ และเสียสติสำหรับพวกเขา

ไม่มีผู้ใดคาดว่าเขาจะยอมแพ้

“เจ้า… เจ้ายังไม่แพ้…”

หลันเสี่ยวหยวนเอ่ยขึ้นในที่สุดด้วยใบหน้าแดงซ่าน

การต่อสู้ที่ได้รับความคาดหวังไว้อย่างสุดจบลงเช่นนี้

“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าเล่นตลกเช่นนี้ได้อย่างไร? ชัยชนะในครั้งนี้จะเพิ่มหน้าให้กับท่านอาจารย์” หยางก่านเอ่ยอย่างไม่พอใจเล็กๆ

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลันเสี่ยวหยวนจะชนะ เขาก็ยังคงคิดว่าจ้าวเฟิงจะต่อสู้อย่างดี

“มันไม่สำคัญว่าข้าจะชนะหรือไม่ตราบเท่าที่ข้ายังเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้ เป็นสิ่งหลังที่สำคัญ” เด็กหนุ่มผมครามเอ่ยตอบอย่างสบายๆ

เหตุผลที่เขายอมแพ้มีอยู่สามอย่าง

  1. 1. หลันเสี่ยวหยวนแข็งแกร่ง และหากเขาไม่ใช้พลังสายเลือดหรือดวงตาของเขา เขาไม่มีความมั่นใจมากมายเท่าใด
  2. 2. ความแข็งแกร่งของเขาจะถูกพบเห็นโดยผู้อื่นทั้งที่ไม่ได้อันใด!

แน่นอน จุดที่สำคัญที่สุดนั้นคือเขามีความรู้สึกแตกต่างให้กับหลันเสี่ยวหยวน มันเป็นเป็นความรู้สึกว่าเขาได้ติดหนี้น้ำใจหญิงสาว

“เหตุใด… เหตุใดเขาจึงได้ยอมแพ้อย่างกะทันหัน?” หลันเสี่ยวหยวนงุนงงอย่างมาก

“จ้าวเฟิงผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนักและไม่สู้กับศิษย์น้องหลันโดยตรง อืม! มันมีโอกาสอีกอย่างที่เขาจะชมชอบศิษย์น้อง หรือมิเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงยอมแพ้?”

ศิษย์พี่หยวนพึมพำกับตนเองซึ่งทำให้ใบหน้าของหลันเสี่ยวหยวนแดงก่ำ และจากนั้นนางจึงลอบมองไปยังเด็กหนุ่มผมครามที่มีท่าทีเยือกเย็นด้วยหางตา

สีหน้าของทั้งสองไม่อาจหลบหนีไปจากสายตาของจ้าวสำนักได้ ทว่าคิ้วของนางกลับขมวดเข้าหากันแทน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!