บทที่ 164 : ตำหนักยอดนภา
หลังจากที่จ้าวเฟิงพ่ายแพ้ การชนะติดต่อกันสามครั้งของเขาก็ถูกหยุดยั้งลง และแม้ว่าหลายคนจะผิดหวังกับผลลัพธ์ ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันใดได้เมื่อตัวเด็กหนุ่มเองเป็นผู้ยอมแพ้
การแข่งขันยอดนภาได้เข้าสู่จุดสิ้นสุดหลังจากรอบที่สี่ เป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวนที่ได้ขนะติดต่อกันสี่ครั้งได้รับหนึ่งในที่ว่างไปโดยทันที
ศิษย์ที่เหลือจะได้รับที่ว่างที่เหลือตามลำดับ และศิษย์หลักสามคนที่เข้าร่วมในครานี้ต่างได้รับที่ว่างไปหนึ่งที่อย่างแน่นอน
นอกจากพวกเขา เป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวนต่างได้รับที่ว่างสองที่ หมายความว่าเหลือเพียงห้าที่
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าได้เสียโอกาสก่อนหน้าไปเพราะเจ้าไม่ยอมใช้พลังทั้งหมด หากเจ้ายังทำเช่นนี้ บางทีเจ้าอาจไม่สามารถเข้าร่วมได้จริงๆ” หยางก่านเอ่ยเตือน
“ศิษย์พี่หยาง ผ่อนคลายเถอะ”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เขาต้องชนะการต่อสู้ที่เหลืออีกสามครั้งเพื่อที่จะได้รับที่ว่าง และทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุม
นอกจากเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวน มิมีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาได้
รอบที่ห้า จ้าวเฟิงชนะในกระบวนท่าเดียว บดขยี้คู่ต่อสู้ในขั้นสุดยอดของนภาที่สาม ในตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาได้ทำให้ผู้อื่นหวาดระแวง
รอบที่หก คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มคือหลินฟ่าน
“ข้ายอมแพ้”
หลินฟ่านไม่ต้องการที่จะใช้พลังงานจำนวนมากไปกับอีกฝ่ายและเอ่ยยอมแพ้ในทันที
รอบที่เจ็ด
คู่ต่อสู้ของเขาคือหลิวเยว่เอ๋อร์ที่เป็นรองเพียงเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวน
ทุกคนคิดว่านี่จะกลายเป็นการต่อสู้ที่ตื่นเต้น ทว่าจ้าวเฟิงได้ใช้การจู่โจมที่รวดเร็วราวสายฟ้าและจัดการเด็กสาวลงในหลายกระบวนท่า เด็กหนุ่มได้ชนะการประลองหกครั้งและกลายเป็นผู้เข้าแข่งขันที่แกร่งที่สุดในบรรดาคนที่เหลือ
ดวงตาของศิษย์พี่หยวนส่องประกายระริกขณะที่นางจับจ้องไปยังหลันเสี่ยวหยวน
“ข้า… ข้าไม่รู้…”
ใบหน้าของหญิงสาวสกุลหลันแดงก่ำราวกับลูกแอปเปิ้ลขณะที่นางสั่นศีรษะ ม่านหมอกได้ปรากฏขึ้นในแววตาของนางราวกับนางได้ถูกต่อว่าในสิ่งที่นางมิได้กระทำ
“มันมิมีสิ่งใดข้องเกี่ยวกับเสี่ยวหยวน การยอมแพ้ของจ้าวเฟิงหมายถึงเขาไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับการต่อสู้รุนแรง”
น้ำเสียงของจ้าวสำนักจันทร์สลายดังขึ้น และในตอนนั้นเองที่การแข่งขันได้เข้าสู่จุดสิ้นสุด
ศิษย์ทั้งเจ็ดได้แก่ เป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน จ้าวเฟิง หลิวเยว่เอ๋อร์ ซุนหยวนเฮา หลินฟ่าน และเฉินเยว่
นอกจากศิษย์คนสุดท้ายนามเฉินเยว่ที่อยู่ในขั้นสุดยอดของนภาที่สาม จ้าวเฟิงล้วนคุ้นเคยกับคนที่เหลือ
ศิษย์หลักวามคนและศิษย์สายในเจ็ดคนจะเข้าร่วมในการทดสอบยอดนภาในอีกสิบวันให้หลัง
“หยางก่าน กวานเฉิน หลู่ฮู่ เป่ยโม่ย หลันเสี่ยวหยวน จ้าวเฟิง… พวกเจ้าสิบคนได้มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาที่จัดขึ้นทุกๆ ห้าปี”
น้ำเสียงล้ำลึกแข็งแกร่งได้ดังก้องไปทั่วลาน ประกาศจุดสิ้นสุดของการแข่งขันยอดนภา
การแข่งขันนั้นเป็นเพียงเพื่อการได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักยอดนภา
“พวกทั้งสิบมาเจอกันที่นี่ในอีกสิบวัน”
น้ำเสียงนุ่มนวลใสกระจ่างของจ้าวสำนักดังขึ้น และทันทีที่นางเอ่ยจบ กลิ่นอายทั้งห้าในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ได้จากไป
กลุ่มคนเริ่มสลายตัว และเหล่าผู้ที่พลาดมีดวงตาที่หม่นหมอง
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าข้าเองก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้”
หลินฟ่านรู้สึกราวกับอยู่ในฝัน แม้ว่าครั้งหนึ่งชายหนุ่มจะเคยเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง เขาก็ไม่ได้เข้ามาเป็นศิษย์สายในยาวนานนัก และไม่มีความหวังใดๆ ในการเข้าร่วม แต่เด็กหนุ่มผมครามข้างกายเขาได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา
หลินฟ่านได้ใช้รางวัลจากภารกิจเป็นแท่นเหยียบเพื่อผลักตนเองให้เข้าสู่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ หลังจากนั้นจ้าวเฟิงได้ให้วิชามนุษย์ระดับสูงแก่เขา ลดช่องว่างระหว่างเขากับศิษย์ของผู้อาวุโสเข้า
เมื่อรวมเข้ากับความพยายามอย่างหนักหน่วงของหลินฟ่าน เขาจึงสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกและไม่ได้เอ่ยคำซาบซึ้งอันใด ทว่าจดจำมันไว้อย่างเงียบงัน
จ้าวเฟิงและหลินฟ่านกลับไปพร้อมกัน และไม่ห่างออกไปจากร่างของพวกเขาคือเซี่ยวซุนและองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียง
ดวงตาของเซี่ยวซุนเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก เขาลืมเลือนไปว่าเขาไม่แม้แต่จะมีความหวังในการเข้าร่วม แต่เมื่อเห็นว่าทั้งหลินฟ่านและจ้าวเฟิงต่างได้รับสิทธิ หัวใจของเขาก็ไม่อาจสงบลงได้
อวิ๋นเมิงเซียงถอนหายใจและรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างมาก ทว่านางรู้ว่ามันได้สายไปแล้ว หากนางยังสามารถคงความสัมพันธ์ของนางกับจ้าวเฟิงก่อนหน้าไว้ได้ บางทีนางอาจอยู่ข้างกายของเขาแทนหลินฟ่าน
หลังจากกลับไปยังสวนของพวกเขา จ้าวเฟิงและหลินฟ่านก็ได้แยกกันและเริ่มเตรียมตัวกับการทดสอบยอดนภาอย่างเต็มที่
ในวันที่ห้า
ผู้อาวุโสหนึ่งได้เรียกหยางก่านและจ้าวเฟิงไปยังที่พักของเขา เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเข้าใจว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายได้เรียกพวกเขาไปนั้นเป็นเพราะการทดสอบยอดนภา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกๆ ห้าปี และไม่เพียงแค่ผู้อาวุโสไฮ่หยุนที่ได้เข้าร่วมครั้งหนึ่ง กระทั่งผู้อาวุโสหนึ่งก็เช่นกัน
ผู้เป็นอาจารย์ของเขานั้นอายุราวๆ 100-200 ปี และชายชราย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบยอดนภาอย่างมาก
“รายละเอียดของการทดสอบยอดนภานั้นแตกต่างไปในทุกครั้ง แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งคนผู้หนึ่งอยู่ในการทดสอบได้นานเท่าใด โอกาสที่พวกเขาจะถูกเลือกโดยตำหนักยอดนภาก็มีมากขึ้นเท่านั้น ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในการทดสอบนานกว่าจะมีโอกาสสูงกว่าในการได้รับรางวัลที่ดีกว่า…”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเรียบง่ายถึงมัน จ้าวเฟิงพลันเกิดคำถามขึ้นในทันที
“เราจะเรียกว่าเวลาเอาชีวิตรอดได้หรือไม่? ยิ่งอยู่นาน ยิ่งได้รับคะแนนสูง?”
“ถูกแล้ว! มันเป็นเรื่องของผู้ใดที่จะอยู่รอดในที่สุด”
ชายชรามีสีหน้าชื่นชม
“แน่นอนว่ามันจะมี ‘เหยื่อล่อ’ ในการทดสอบ เหยื่อล่อเหล่านี้มีอันตรายทาบติดมากับพวกมัน เพียงแค่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ย่อมหมายถึงความล้มเหลว… มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามั่นใจเพียงใด” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยเสริม
เขาไม่ได้เอ่ยอันใดมากเกี่ยวกับการทดสอบยอดนภาเพราะทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและความเข้าใจ
หลังจากล่ำลาผู้เป็นอาจารย์ จ้าวเฟิงก็ได้กลับไปยังที่พักและบอกทุกอย่างให้กับหลินฟ่าน
ในเวลาที่เหลืออีกห้าวันนั้น เด็กหนุ่มได้เพ่งความสนใจไปยังการฝึกตนเพียงอย่างเดียว และเพราเขาได้เข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ดของวิชากำแพงเงิน ความเร็วในการฝึกตนของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมากและเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สอง
ในเสี้ยวพริบตา เวลาที่เหลืออีกห้าวันก็ได้ผ่านพ้นไป ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง ศิษย์ทั้งสิบคนก็ได้รวมตัวกันหน้าตำหนักกลางแล้ว
สิบคนนี้เป็นยอดฝีมือผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะได้เข้าร่วมการทดสอบยอดนภา และศิษย์หลักสามคนคือผู้นำ
ศิษย์หลักสามคนคือ หยางก่าน กวานเฉิน และหลู่ฮู่
หยางก่าน อันดับสองในสิบศิษย์หลัก และมีพลังฝึกตนในนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ หนึ่งในตัวเก็งสำหรับตำแหน่งหัวหน้าศิษย์คนใหม่
หลู่ฮู่ อันดับเจ็ดในสิบศิษย์หลัก และอยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ โดดเด่นในการเสริมกายา
กวานเฉิน อันดับสิบในสิบศิษย์หลัก เป็นศิษย์หลักคนล่าสุด
ในบรรดาพวกเขา หยางก่านแข็งแกร่งที่สุด และคนหลายคน รวมทั้งผู้อาวุโสหนึ่งได้หวังกับชายหนุ่มไว้อย่างสูง
บางคนกระทั่งคาดเดาว่าคะแนนของหยางก่านจะสามารถเหนือกว่าของผู้อาวุโสไฮ่หยุนที่มีคะแนนสูงสุดในรอบร้อยปีได้
นอกจากเขา หลายคนเองก็ได้หวังในตัวเป่ยโม่ยไว้สูง
หลินฟ่านยืนอยู่ในกลุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อ ‘คู่แข่ง’ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่งกว่าเขา
“ศิษย์น้องจ้าว ศิษย์พี่หยางจะช่วยเหลือเจ้าหรือไม่?” หลินฟ่านเอ่ยถาม
“ไม่” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะอย่างมั่นใจ
การทดสอบยอดนภานั้นเป็นสถานที่ที่โชคชะตาของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และทุกคนที่เข้าร่วมย่อมพยายามสุดความสามารถ
เมื่อพวกเขาเข้าร่วมการทดสอบ หยางก่านจะพยายามสุดชีวิตและพยายามที่จะได้รับคะแนนที่สูงที่สุดเท่าที่เขาสามารถทำได้ ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่มีเวลาช่วยเหลือจ้าวเฟิง
จากสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย รางวัลนั้นมาพร้อมกับดวง และความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงความล้มเหลว กระทั่งแม้คนผู้นั้นจะอยู่ในนภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
“เจ้าไม่กังวลเลยหรือ?”
หลินฟ่านมองไปยังร่างที่มั่นใจของเด็กหนุ่มผมครามและรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบางและไม่ได้เอ่ยตอบ หลังจากรู้ถึงความจริงของการทดสอบนี้ เขาก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย ด้วยดวงตาซ้ายลึกลับของเขา เขามีพลังต่อสู้มหาศาลและอัตราการรอดชีวิตที่สูงส่ง
“เปรียบเทียบเวลาในการเอาชีวิตรอด?”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็นในใจพร้อมกับที่ดวงตาซ้ายของเขาเริ่มเต้นตุบ
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจำนวนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นและพลิ้วกายลงที่ตำหนักกลาง เหล่าเด็กหนุ่มสาวรู้ว่าจ้าวสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่ง และผู้อาวุโสอีกสามคนได้ลอยอยู่ใกล้ตำหนักยอดนภา
วิ้งงงง
สายฟ้าสีครามรอบตำหนักยอดนภาได้ให้ความรู้สึกลี้ลับราวกับอยู่ในเทพนิยายแก่ทุกคน จ้าวเฟิงรู้สึกได้อย่างเฉียบขาดว่าสายฟ้ารอบตำหนักนั้นได้เข้าสู่จุดสูงสุด ราวกับว่าพลังของมัน ‘เต็มเปี่ยม’
“เปิด!” ผู้อาวุโสหนึ่งตวาดขณะที่ระลอกคลื่นปราณแท้ได้ปรากฏขึ้นจากฝ่ามือของเขาและมุ่งไปยังตำหนักยอดนภา
ในวินาทีเดียวกัน จ้าวสำนักและผู้อาวุโสทั้งสามก็ได้ส่งพลังของพวกเขาไปยังตำหนัก เมื่อผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งห้าได้ส่งพลังของพวกเขาเข้าไป ตำหนักก็เริ่มที่จะสั่นสะท้านและประกายสายฟ้าได้เจิดจ้าขึ้น
ในที่สุด!
สายฟ้าทั้งหมดได้ควบรวมกันเป็นจุดเดียว และภายใต้การชักนำของทั้งห้า มันก็ได้หลอมรวมเข้ากับตำหนักสีคราม
คว้างงงง!
ทุกคนรู้สึกได้ถึงอากาศที่สั่นสะท้าน จ้าวเฟิงได้ใช้พลังของดวงตาซ้ายในการจับละลอกกระเพื่อมเท่ากำมือที่ใจกลางตำหนักยอดนภาเอาไว้
แม้ว่าดวงตาซ้ายของเขาจะสามารถมองผ่านที่ปิดตาได้ การมองเห็นของมันก็จะลดลง ทว่าแม้กระนั้น เด็กหนุ่มก็ยังคงเห็นทั้งห้าใช้ค่ายกลโบราณบนตำหนักยอดนภาเองในการเปิดมัน หรือมิเช่นนั้นสายฟ้ารอบๆ คงได้คร่าชีวิตของพวกเขาไป
หลังจากปล่อยให้มันเสถียรอยู่ชั่วครู่ ประตูของตำหนักยอดนภาก็ได้เปิดออกพร้อมเสียง ‘เปรี้ยง’ สายฟ้าด้านในนั้นสว่างเสียจนกระทั่งจ้าวเฟิงก็ไม่อาจมองผ่านมันได้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา
“ในที่สุดตำหนักยอดนภาก็เปิดออกแล้ว!”
ทุกคนล้วนตื่นเต้น ขั้นบันไดได้ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าของตำหนัก
ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งห้าก้าวขึ้นไปบนบันไดก่อนจะส่งสัญญาณให้ทั้งสิบด้านล่างขึ้นไป
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ศิษย์ยอดฝีมือทั้งสิบในขอบเขตก่อกำเนิดปราณต่างโคจรปราณแท้ของพวกเขาเพื่อช่วยให้ร่างของพวกเขาลอยและร่อนลงบนขั้นบันได
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนขั้นบันได้ เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเก่าแก่โบราณอย่างมากจากตำหนักสีขาวสว่างนั้น