Skip to content

King of Gods 169

King Of Gods

บทที่ 169 : ถ้ำค้างคาวหลง

หลังจากเตะจิ้งจอกลงไปในนรกแล้ว จ้าวเฟิงก็มีความรู้สึกพึงพอใจราวกับว่าเสพติดกับการทำเช่นนี้ไปแล้ว

ทว่าเขาเข้าใจว่าผู้อาวุโสด้านนอกย่อมมีความรู้สึกย่ำแย่ต่อเขา ทว่าโชคดีที่หลันเสี่ยวหยวนเองก็ได้ถูกลากลงน้ำมาพร้อมกับเด็กหนุ่มเช่นกัน ดังนั้นแล้วมันจึงยังพอมีพยานอยู่บ้าง

“ทุกสิ่งในโลกใบนี้คือความแข็งแกร่ง เมื่อข้ามีคะแนนที่น่าสะพรึง ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะทำอันใดข้าได้?”

ร่างของเด็กหนุ่มทะยานขึ้นสู่อากาศและกลับไปยังถนนสีทองดำอีกครั้ง

หลังจากวิ่งผ่านอากาศมาสองครั้ง กระทั่งศิษย์หลักในนภาที่สี่ยังรู้สึกเหนื่อยอ่อน ทว่าจ้าวเฟิงนั้นมีไวน์จิตวิญญาณระดับต่ำอยู่ในกำไลมิติซึ่งเติมพลังของเขาพร้อมๆ ไปกับเพิ่มพลังฝึกตน

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงฝีเท้าดังสนั่นพร้อมแรงสั่นสะเทือนได้ดังขึ้นจากเบื้องหลัง เงาขนาดยักษ์ได้ปรากฏขึ้นในสายตา

“ไม่ดีแล้ว วิ่ง!”

ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มเห็นสัตว์อสูรสองปีกขนาดยักษ์และเขาพลันส่งสัญญาณให้หลันเสี่ยวหยวนวิ่งในทันที

ทั้งสองพุ่งตัวออกไปและหลบหนีออกจากเงาดำนั้นได้ในที่สุด

ไม่ว่าการเสียเวลาครั้งใดในการทดสอบแรกนั้นหมายถึงความตาย

หลังจากผ่านไปสักพัก

หลันเสี่ยวหยวนปรากฏน้ำใสในดวงตา

“ศิษย์พี่หลัน เกิดอันใดขึ้น?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“เป็นความผิดข้าที่ศิษย์พี่หลู่และศิษย์น้องซุนถูกเตะออกจากการทดสอบ ศิษย์พี่หยวนกล่าวถูกต้อง เจ้าไม่ใช่คนดี!” หลันเสี่ยวหยวนสะอื้นและเมินเด็กหนุ่มผมคราม จากนั้นนางจึงกลายเป็นภาพติดตาขณะที่ทะยานร่างออกไป

จ้าวเฟิงส่ายศีรษะและยังคงความเร็วเดิมไว้

ครึ่งวันต่อมา

ถนนสีดำทองนั้นราวกับได้ถึงจุดสิ้นสุด และสุดปลายนั้นก็ได้ปรากฏประตูสีเขียวขึ้น

เบื้องหน้าประตูคือคน 5-6 คนที่ล้วนนั่งขัดสมาธิบนพื้น ฟื้นฟูพลัง ไม่ว่าศิษย์ผู้ใดก็ย่อมเหนื่อยอ่อนจากการถูกไล่ล่าเป็นเวลาสามวันสามคืน

“ศิษย์น้องจ้าว ในที่สุดเจ้าก็มาถึง”

หลินฟ่านพ่นลมหายใจออก เขากังวลถึงเด็กหนุ่มผู้นี้ตลอดทางที่วิ่งมายังที่นี่ อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ย่อมหมายความว่าเขาได้กวาดรางวัลก่อนหน้ามาแล้ว

“ท่านกินผลจิตวิญญาณม่วงก่อนเถอะ”

จ้าวเฟิงส่งผลไม้ให้อีกฝ่าย และหลังจากหลินฟ่านกินมันเข้าไป ชายหนุ่มก็พลันรู้สึกได้ถึงพลังงานที่ฟื้นฟูขึ้นพร้อมกับพลังฝึกตนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

จ้าวเฟิงได้ดื่มไวน์จิตวิญญาณระดับต่ำและกินผลจิตวิญญาณม่วง ซึ่งได้เพิ่มพลังการฝึกตนของเขาไปอยู่ที่ขั้นสุดยอดของนภาที่สอง

“การทดสอบยอดนภานั้นเต็มไปด้วยรางวัลโดยแท้ แต่เดิมข้านั้นต้องการเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่สอง ทว่าข้ากลับมาถึงจุดนั้นได้ภายใน 3 วัน”

จ้าวเฟิงยินดีอย่างมาก

ดวงตาของเขาส่องประกายระริกยามที่เขาเห็นหลันเสี่ยวหยวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพร้อมกับยื่นผลจิตวิญญาณม่วงให้นางอีกผล

การกระทำของเขาถูกรับรู้โดยผู้อื่น

“ศิษย์น้องจ้าว ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับรางวัลจากที่แห่งหนึ่ง ไม่เพียงแค่ได้ผลจิตวิญญาณ เจ้ายังได้กำไลมิติมาด้วย” กวานเฉินเอ่ยขณะที่เขาจับจ้องไปยังกำไลมิติของจ้าวเฟิง

คำพูดของชายหนุ่มพลันได้รับความสนใจคนอื่นๆ ในทันที กระทั่งดวงตาของหยางก่านยังส่องประกายระริกขณะที่เขาเหลือบตามองไปยังศิษย์น้องของเขา

“ข้าเพียงแค่โชคดีเล็กน้อย”

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ได้หลบซ่อนเมื่อกำไลมิตินั้นมีประโยชน์อย่างมาก บัดนี้ไม่มีจิ้งจอกมายาแล้ว ผู้อื่นย่อมไม่กล้าที่จะขโมยในตอนนี้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการทำเช่นนั้น

ไม่นานหลังจากนั้น

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงฝีเท้าที่น่าพรั่นพรึงได้ดังขึ้นจากความมืดมิด

สัตว์อสูรโลหะทมิฬกำลังมา!

หัวใจของทุกคนกระตุก ทว่าประตูสีเขียวเบื้องหลังพวกเขาไม่ได้เปิดออก

ในตอนนั้นเอง

เสียงเสียงหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของพวกเขา

“นรกแห่งความตายสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ที่สำเร็จได้รับ 30 แต้มสำหรับการทดสอบแรก”

คว้างงง

ประตูสีเขียวพลันเปิดอ้าออกพร้อมกับที่สัตว์อสูรโลหะทมิฬเบื้องหลังพวกเขาหยุดลงราวกับกลายเป็นหินไป

“ศิษย์น้องซุนและศิษย์น้องหลู่ไม่ผ่านการทดสอบแรกหรือ?” หยางก่านรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ขณะที่เขากวาดตามองทั้งกลุ่ม

ซุนหยวนเฮานั้นไม่ได้สำคัญเท่าใด ทว่าหลู่ฮู่เป็นศิษย์หลักแข็งแกร่งเป็นรองเพียงเขา

“ศิษย์พี่หลู่และศิษย์น้องซุนนั้นต้องภาพมายาจากจิ้งจอกมายาและร่วงหล่นลงไปในนรก” จ้าวเฟิงอธิบาย

กวานเฉินและหยางก่านต่างเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง โดยเฉพาะคนแรก

“ดังนั้นแล้วทั้งสองเลยตกลงไปในนรก มีเพียงเจ้าที่ได้สมบัติและกลับมาโดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ?”

จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็นตอบกลับและคร้านที่จะเอ่ยตอบ

ท่าทางนั้นทำให้กวานเฉินรู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างมาก อีกฝ่ายนั้นไม่ได้เข้าร่วมสำนักนานเพียงนั้น ทว่ากล้าที่จะเมินเฉยต่อเขาเช่นนี้

เมื่อคิดกลับไปยังวันที่เขาไปยังตำหนักกว่านจวิน บดขยี้เจ้าเมืองกว่านจวินและนำตัวเป่ยโม่ยไป ชายหนุ่มเองก็ไม่แม้แต่จะสนใจมดตัวนี้เช่นกัน

เมื่อใดกันที่มดตัวนั้นได้ขึ้นมาสูงเพียงนี้และกล้าที่จะเมินเขา?

“เราจะพูดคุยเกี่ยวกับมันหลังจากการทดสอบ ตอนนี้ทุกคนควรเพ่งความสนใจไปที่การทดสอบก่อน” หยางก่านมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึกและจบการพูดคุยลง

เช้ง! เช้ง! ฟุ่บ

กลุ่มของทั้งเจ็ดได้เข้าไปในบานประตูสีเขียวพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นในศีรษะ

“การทดสอบที่สอง ถ้ำค้างคาวหลง เวลาห้าวัน ยิ่งเวลาน้อยเท่าใด คะแนนจะยิ่งสูงขึ้น”

ทั้งกลุ่มได้เข้าไปยังถ้ำมืดหม่นในเสี้ยววินาทีต่อมา เช่นก่อนหน้า สถานที่แห่งนี้มืดมิดและมักจะมีเสียงร้องของค้างคาวดังขึ้น

ศิษย์ทั้งเจ็ดรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัยที่นี่

“ทุกคนระวัง อันตรายในถ้ำค้างคาวนี้อาจกระทั่งเหนือกว่าการทดสอบแรก” หยางก่านเอ่ยเตือนขณะที่นำไปเบื้องหน้า

จ้าวเฟิงกวาดตามองโดยรอบด้วยดวงตาซ้ายของเขา และอันตรายทั้งหมดได้ถูกค้นพบ

‘การทดสอบที่สองถูกเรียกว่าถ้ำค้างคาวหลง หลง…’

เด็กหนุ่มให้ความสนใจกับคำว่า ‘หลง’ เขาวิเคราะห์ว่าลักษณะพื้นที่ของการทดสอบที่สองย่อมต้องซับซ้อนอย่างมาก และอันตรายเองก็ได้แทรกตัวอยู่ในเวลาเดียวกัน พลังฝึกตนของหยางก่านนั้นสูงที่สุด นั่นหมายความว่าเขามีประสาทสัมผัสที่ดีที่สุด และอาจรับรู้ถึงอันตรายได้ล่วงหน้า

“อยู่ใกล้ข้าไว้และอย่าได้ออกห่างเกิน 1 หลา” จ้าวเฟิงเอ่ยกับหลินฟ่าน

อีกฝ่ายผงกศีรษะ เขาเองก็รู้สึกได้ถึงอันตรายเบื้องหน้า กลุ่มของทั้งเจ็ดมุ่งหน้าตรงไปยังส่วนลึกของถ้ำเป็นแถวตรง แต่ก่อนที่จะไปได้ถึง 100 หลา ทางแยกก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ทางใดที่ควรไป?

หยางก่านพลันรู้สึกได้ถึงความปวดศีรษะ ในยามนี้มันย่อมเป็นเรื่องยากอย่างมากหากไม่เป็นไปไม่ได้ในการเดินออกจากถ้ำแห่งนี้

รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง แผนที่ได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของเขาซึ่งเป็นทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมา มันเป็นเหมือนแผนที่จริงที่ทุกเส้นทางที่พวกเขาได้เลือกเดินถูก ‘แสกน’ ลงในสมองของเขา

และสำหรับสถานที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ มันจะกลายเป็นจุดสี ‘ดำ’

ด้วยพลังเช่นนี้ กระทั่งเขาวงกตขนาดยักษ์ยังอาจถูกทำลายลงได้โดยจ้าวเฟิง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กังวลแม้แต่น้อยและทำตัวราวกับนักท่องเที่ยว ท่าทางของเด็กหนุ่มได้เป็นความลึกลับและทรงอำนาจในสายตาของหลินฟ่าน

“ศิษย์น้องจ้าวผู้นี้ลึกลับยิ่ง มันราวกับว่าตำหนักยอดนภาคือสวนหลังบ้านของเขา”

หลินฟ่านกลายเป็นไร้คำพูดไปพร้อมด้วยความนับถือเล็กๆ

เมื่อเจอกับทางแยกอีกครั้ง หยางก่านจึงได้เอ่ยแนะนำขึ้น

“เหตุใดจึงไม่ให้ข้ากับศิษย์พี่กวานเฉินนำกลุ่มและทิ้งร่องรอยไว้ระหว่างทางที่พวกเราเลือกล่ะ”

ไม่มีผู้ใดปฏิเสธข้อเสนอนี้ และหลังจากพูดคุยกันพวกเขาก็แบ่งกลุ่มกันได้เช่นนี้

หยางก่าน เป่ยโม่ย หลิวเยว่เอ๋อร์

กวานเฉิน จ้าวเฟิง หลินฟ่าน และหลันเสี่ยวหยวน

จ้าวเฟิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ทว่ดวงตาของกวานเฉินส่องประกายเย็นเยียบ

เมื่อทั้งสองกลุ่มแยกกัน เสียงกรีดร้องของค้างคาวก็ได้ดังก้องไปทั่วถ้ำพร้อมกับที่พวกมันบินออกมา เด็กหนุ่มผมครามเห็นว่าค้างคาวเหล่านี้มีเส้นสีแดงแปลกประหลาดบนร่าง ทั้งดวงตายังเป็นสีแดงโลหิต เสียงร้องของค้างคาวนิลโลหิตพวกนี้ได้สร้างความเย็นเยียบแก่โสตประสาทของพวกเขา

จากทางเข้าหนึ่งได้ปรากฏร่างของค้างคาวนับสิบที่ได้พุ่งตรงมายังร่างของจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ

“โจมตี!”

เส้นสีเงินได้ปรากฏขึ้นในอุ้งมือของกวานเฉินพร้อมกับที่เขาพลันฆ่าค้างคาวนิลโลหิตไปสามตัวในเสี้ยววินาที ค้างคาวเหล่านี้มีพลังอยู่ในนภาที่หนึ่งหรือสองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และมีเพียงตัวเดียวที่อยู่ในนภาที่สาม มันได้ส่งคลื่นเสียงออกมารบกวนสมาธิของพวกเขา

โลหิตของหลินฟ่านเดือดพล่านขณะที่เขาป้องกันการโจมตีของพวกมันได้อย่างฉิวเฉียดพร้อมกับจัดการค้างคาวอีกตัวเบื้องหน้า จ้าวเฟิงผลักฝ่ามือทั้งสองออกไปและฆ่าไปอีกจำนวนหนึ่ง

ครู่ต่อมา ค้างคาวทั้งหมดต่างถูกจัดการลง เหลือเพียงค้างคาวในนภาที่สามซึ่งส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับทะยานขึ้นไปบนอากาศเพื่อหลบหนี

ผึง ฟุ่บ

ลูกธนูสีเขียวดำพุ่งวาบอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าและปักตนเองลงในท้องของค้างคาว

ตุบ!

ร่างของจ่าฝูงค้างคาวร่วงลงบนพื้น และคนอื่นๆ ในกลุ่มต่างมองไปยังคันศรโหลวฮัวของจ้าวเฟิง พลังของคันศรโหลวฮัวนั้นไม่ได้สร้างความผิดหวังแต่อย่างใด มันสามารถจัดการค้างคาวได้ด้วยปราณแท้เพียงน้อยนิด

ความเร็วของค้างคาวนั้นรวดเร็วนัก หากเขาใช้ธนูบันไดสุวรรณ ความเร็วของศรคงไม่อาจตามความเร็วของอีกฝ่ายได้ทัน และมันจะสามารถหลบได้

หลังจากจัดการฝูงค้างคาวฝูงหนึ่งได้สำเร็จ ทั้งกลุ่มจึงเริ่มเดินลึกเข้าไปเพื่อสำรวจอีกครั้ง แผนที่ในสมองของจ้าวเฟิงเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ แต่ในเวลาเดียวกัน ‘พื้นที่สีดำ’ ก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน

สีหน้าของเด็กหนุ่มเคร่งเครียดเล็กๆ เพราะขนาดของถ้ำค้างคาวนี้ใหญ่กว่าที่เขาคาดนัก หลังจากเดินไปอีกสักพัก ฝูงค้างคาวอีกฝูงก็ได้ปรากฏตัวโดยที่ส่วนมากอยู่ในนภาที่หนึ่งและสอง

“การทดสอบที่สองให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบออกจากที่นี่ให้ได้ในเวลา 5 วัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราจะเหนื่อยจนตาย” จ้าวเฟิงวิเคราะห์

ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง กลุ่มของกวานเฉินก็ได้พบกับการโจมตีของค้างคาวนับร้อย

“ทุกคนพักเสียหน่อยเถอะ” กวานเฉินนั่งขัดสมาธิบนพื้นเพื่อฟื้นฟูพลัง

จ้าวเฟิง หลินฟ่าน และหลันเสี่ยวหยวนดีกว่าเล็กน้อยเมื่อพวกเขาต่างกินผลจิตวิญญาณม่วงมา หมายความว่าพลังในร่างของพวกเขายังคงค่อนข้างเยอะอยู่

พลังที่เหลือนั้นสามารถคงอยู่ได้อีกหนึ่งถึงสองวัน

ฟ่อ!

ร่างเล็กเรียวราวเส้นเชือกพลันปรากฏขึ้นจากภายในถ้ำและหลอมกลืนไปกับสิ่งรอบด้าน

“อันใดกัน!”

กวานเฉินรู้เจ็บที่เอวราวกับถูกกัด

ฟุ่บ!

อสรพิษสีเทาหลบปราณแท้ของชายหนุ่มก่อนจะพุ่งหนีไป

“ไม่ดีแล้ว! มันคืออสรพิษเหยาที่มีพิษ…”

กวานเฉินครางออกมาอย่างเจ็บปวดขณะที่ส่วนที่ถูกกัดได้เริ่มกลับกลายเป็นสีม่วงพร้อมความรู้สึกชาหนึบ

ในตอนนี้ เหงื่อเย็นเยียบได้ไหลโชกลงจากใบหน้าของเขา

หลินฟ่านและหลันเสี่ยวหยวนต่างรู้สึกหนาวยะเยือก

“ใช่อสรพิษนี่หรือไม่?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มขณะที่นิ้วสองนิ้วของเขาได้คีบอสรพิษสีเทาที่ยังคงดื้นรนอยู่ไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!