บทที่ 175 : แผนของจ้าวเฟิง
ทางเข้าของตำหนักยอดนภา
ผู้อาวุโสทั้งสี่และจ้าวสำนักได้นั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าด้วยความเงียบงัน
ในเวลาเพียงพริบตา เวลาก็ได้ผ่านพ้นไปแปดวันและการทดสอบที่หนึ่งและสองก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ในวันนี้ ผู้อาวุโสหนึ่งได้เปิดเปลือกตาของเขาออกและเอ่ยยอย่างเชื่องช้า
“จากประสบการณ์แต่ก่อน คนจำนวนมากจะถูกเตะออกมาในระหว่างวันที่ 5 และ 6”
วันที่ห้าและหกนั้นเป็นใจกลางการทดสอบและคนจำนวนมากจะถูเตะออกมา กระทั่งตาย
แต่เวลาได้ผ่านพ้นไปแปดวัน และยังไม่มีผู้ใดออกมา
“แปลกโดยแท้ เมื่อเห็นว่าการทดสอบแรกนั้นยากเพียงใด การทดสอบที่สองและสามก็ควรจะยากและอันตรายยิ่งกว่าการทดสอบก่อนหน้า”
แม่เฒ่าหลิวเยว่มีท่าทีกังวลเล็กๆ
ศิษย์ของนาง หลิวเยว่เอ๋อร์คือหนึ่งในผู้อ่อนแอที่เข้าร่วม
“มีความเป็นไปได้เพียงสองสิ่ง”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
“ความเป็นไปได้อันใด?”
ผู้อื่นต่างมองไปยังผู้อาวุโสที่เด็กที่สุดและมีพรสวรรค์มากที่สุดแห่งสำนักจันทร์สลาย
อีกฝ่ายนั้นได้รับคะแนนที่ดีที่สุดในการทดสอบยอดนภาในรอบหลายสิบปีมานี้
สถิติของเขายังไม่ได้ถูกทำลายนับแต่นั้น ดังนั้นแล้วคำของเขาจึงมีความสำคัญอย่างมาก
“ความเป็นไปได้อย่างแรกคือมีอัตราการตายสูงยิ่ง! บางครั้งกระทั่งตัวการทดสอบเองก็ไม่อาจควบคุมบางสิ่งภายในนั้นได้ ดังนั้นแล้วเราจึงยังไม่เห็นศิษย์คนใดออกมา”
ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำ
สีหน้าของผู้อื่นแปรเปลี่ยนไปเล็กๆ เมื่อพวกเขาเริ่มที่จะกังวลขึ้นมาบ้าง
ใช่แล้ว ความยากของการทดสอบนี้มากนัก มันสามารถเห้นได้จากการทดสอบแรกเมื่อสัตว์อสูรโลหะทมิฬในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ไล่ล่าพวกเขา
“ความเป็นไปได้ที่สอง มีอัตราการผ่านสูงมาก ดังนั้นแล้วจึงไม่มีผู้ใดตายหรือถูกเตะออกมา”
ผู้อาวุโสไฮ้หยุนส่ายศีรษะและถอดถอนใจเมื่อเอ่ยถึงความเป็นไปได้ที่สอง
ผู้คนที่อยู่ที่ล้วนแล้วแต่รู้ว่าความเป็นไปได้ของข้อที่สองนั้นต่ำนัก
ไม่มีผู้ใดตายหรือถูกเตะออกมา นั่นหมายความว่าโอกาสสำเร็จร้อยส่วน มันเป็นไปได้หรือ?
บางสิ่งเช่นนี้แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“หวังว่ามันจะเป็นแบบที่สอง เพราะหากเป็นเช่นนั้น มันจะกลายเป้นความรุ่งโรจน์ของสำนักจันทร์สลายแล้ว”
จ้าวสำนักถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ทั้งห้าในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอาจไม่สามารถจินตนาการได้ว่าการสั่นปีกเพียงเล็กน้อยของผีเสื้อจะสามารถสร้างพายุกราดเกรี้ยวลูกหนึ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อยามที่มันเป้นเพียงการทดสอบเล็กๆ
การทดสอบยอดนภา เกาะพรมแดนนภา
เรือนผมสีครามของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาพลิ้วไหว ดวงตาสีครามของเขากลิ้งกลอกไปรอบๆ ราวกับว่ามันมีพลังที่จะมองทะลุทะลวงโลกใบนี้
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง จ้าวเฟิงได้วิเคราะห์สถานการณ์ในระยะหนึ่งร้อยลี้
เชื่องช้าและแน่นอน แผนที่ได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของเขา แผนที่นี้ไม่เพียงแค่ปรากฏภาพของแม่น้ำ ภูเขา และป่า ทว่ายังมีข้อความติดไว้ด้วย
ข้อความเหล่านี้จะติดลงไปที่สถานที่ที่อาจจะมีสมบัติหรืออันตราย
ตัวอย่างเช่น ข้อความนั้นกลาวว่ามีสิงโตอัสดงสามเศียรอยู่ ซึ่งเป็นราชาเหยาในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
“เจ้าเป่ยโม่ยนั่นมีดวงบ้าบออันใดกัน? เขาอาจถูกส่งเข้าไปภายในหรือหน้าทางเข้าของสวน…”
ริมฝีปากของจ้าวเฟิงกระตุก ทว่าเขาต้องยอมรับว่าดวงเองก็นับเป้นหนึ่งในความแข็งแกร่ง บุคคลในตำนานมักจะมีดวงที่ดี ตัวอย่างเช่น ผู้นำลัทธิมารจันทราชาดที่ได้เข้าไปยังพื้นที่ของมรดกจันทร์สีชาดครั้งหนึ่ง
นอกจากเป่ยโม่ยแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังเห็นร่างของหยางก่น
อีกฝ่ายนั้นมุ่งตรงไปยังหอคอยสูงภายในป่าอันตราย
ป่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรรวมทั้งราชาสัตว์อสูรเหยาในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และจ้าวเฟิงก็เหงื่อแตกพลั่กให้อีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่ดวงของศิษย์พี่ของเขานั้นไม่ได้แย่จนเกินไปเมื่อเขาไม่ได้เข้าไปในเขตแดนของราชาสัตว์อสูรเหยา
สถานที่ที่ดีทั้งสองได้ถูกเอาไปโดยเป่ยโม่ยและหยางก่านแล้ว สวนโบราณที่ถูกลืมนั้นอาจจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดภายในระยะหนึ่งร้อยลี้ ในขณะที่หอคอยสูงนั้นเป็นที่สอง
จ้าวเฟิงนั้นกระทั่งคิดที่จะต่อสู้กับเป่ยโม่ยเพื่อมัน ทว่าหลังจากที่ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
อย่างแรก เป่ยโม่ยนั้นแข็งแกร่งและมีข้อได้เปรียบจากการเข้าไปก่อน จ้าวเฟิงต้องผ่านพ้นสถานที่อันตรายจำนวนมากซึ่งกระทั่งร้ายกาจกว่าป่าที่เป้นที่ตั้งของหอคอยสูงนั้นเพื่อเข้าไป
อย่างที่สอง จ้าวเฟิงคิดว่าเขาควรจะใจกว้างและทอดสายตาไปให้สูงกว่า ยาวไกลกว่า
เมื่อคิดถึงตอนนี้ รอยยิ้มก็ได้ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาพร้อมกับความคิดที่สุดยอดจะปรากฏขึ้น
“มีเวลาปลอดภัยทั้งหมด 10 วันในการทดสอบที่สาม ข้าจะไม่หาสมบัติก่อน ดังนั้นแล้วข้าควรจะสำรวจเกาะพรมแดนนภานี่”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดถึงมันอย่างละเอียด
ศิษย์คนอื่นๆ นั้นจะใช้เวลาในการหามรดกและสมบัติ
นอกจากนั้น ทุกคนจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของสัตว์อสูรโลหะทมิฬในขอบเขตจิตวิยญาณที่แท้จริงหลังจากสิบวัน ทุกคนล้วนรู้อย่างชัดแจ้งว่ามันคงจะไม่ง่ายดายเช่นการทดสอบแรก
สมองของเด็กหนุ่มนั้นทำงานต่างจากผู้อื่น แม้ว่าเขาจะพบสถานที่ที่มีสมบัติเป็นจำนวนมาก เขากลับไม่ได้มุ่งตรงไปยังพวกมันในทันที
“ข้าจะสร้างแผนที่ของเกาะพรมแดนนภาพร้อมด้วยวางสถานที่ที่มีสมบัติอยู่ภายในลงไป!”
ความบ้าคลั่งได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
เขาต้องใช้พลังเต็มที่ของดวงตาซ้ายเพื่อควบคุมทั้งหมดนี้
ปึก!
ร่างของเด็กหนุ่มกลายเป็นเงาพร่าเลือนยามที่เขามุ่งลงเขาไป
ครึ่งวันต่อมา จ้าวเฟิงได้สำรวจพื้นที่ไปไกลกว่าเดิม
เขาต้องการที่จะเห็นว่าเกาะพรมแดนนภานี้กว้างขวางเพียงใด
ในระหว่างทาง ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้กวาดไปยังพื้นที่รอบๆ และมักจะพบอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ ส่นมากเขาจะตัดสินใจที่จะอ้อมไป แต่ในบางครั้งเขาจะพุ่งตรงฝ่าออกไปเพื่อประหยัดเวลา
มันเป็นโชคดีที่เขาได้เรียนรู้พลังจิตคลื่นเสียงแล้ว เพราะมันสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่าได้
ในทุกๆ ระยะราวๆ หนึ่งร้อยลี้ เด็กหนุ่มจะค้นหาที่สูงและจดจำพื้นที่ด้านล่างเอาไว้
แม้ว่าเขาจะมีดวงตาซ้าย เขาเองก็พานพบกับอันตรายเช่นกัน
มันมีสัตว์อสูรเหยาพิเศษที่มีจุดแข็งในด้านของการลอบโจมตี หรือพื้นที่นั้นอันตราย
ตัวอย่างเช่น จ้าวเฟิงได้เดินไปบนทางที่เต็มไปด้วยหญ้า ทว่าด้วยความประมาทจึงได้ถูกลอบจู่โจมโดยเถาวัลย์ โชคดีที่ความเร็วของปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาสูง และสามารถหลบหนีไปได้โดยใช้พลังสายเลือดของเขา
ตั้งแต่เหตุการณ์ครานั้น จ้าวเฟิงก็ระมัดระวังอย่างมาก
มันกระทั่งมีเวลาที่น่าหวาดกลัวมากกว่านั้น
ครั้งหนึ่งจ้าวเฟิงยืนอยู่บนเนินเขา เพียงแค่ยามที่เขาใช้ดวงตาซ้ายของเขาในการกวาดมองเนินเขานั้น เขาจึงตระหนักได้ว่ามันคือ ‘สัตว์อสูรศิลา’ ที่กำลังหลับใหลอยู่
สัตว์อสูรศิลานั้นมีขนาดใหญ่โตราวกับเรือ และใหญ่กว่าสัตว์อสูรโลหะทมิฬจากการทดสอบแรกนับสิบเท่า
พลังสายเลือดของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านเมื่อมันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรศิลาเบื้องล่าง
เขามั่นใจว่าสัตว์อสูรศิลานี้สามารถฆ่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ในเสี้ยววินาทียามที่มันตื่น
นี่เป็นเพียงหนึ่งในอันตรายที่หลบซ่อนอยู่
จ้าวเฟิงพบสิ่งแปลกประหลาดหลากหลายเมื่อเขาเดินหน้าต่อไป
“ยุคโบราณนั้นเป็นเยี่ยงไรกันจึงได้มีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงเยี่ยงนี้? สัตว์อสูรเหยา เนินเขา ต้นไม้… ทุกสิ่งล้วนอาจเป็นสิ่งอื่นได้…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ใช้เวลาหนึ่งวันครึ่ง จ้าวเฟิงจึงได้ไปที่ชายขอบของเกาะพรมแดนนภา
ที่สุดปลายของเกาะนั้นเป็นมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
จ้าวเฟิงกวาดตามองในน้ำอย่างลวกๆ และพบว่าจำนวนของสัตว์อสูรในน้ำนั้นเหนือกว่าสัตว์อสูรบนบกนับสิบนับร้อยเท่า นอกจากนั้นสัตว์อสูรเหล่านี้กระทั่งแข็งแกร่งกว่า
หากเขาลงไปในมหาสมุทร กระทั่งดวงตาซ้ายของเขาก็ไม่อาจที่จะยืนยันการมีชีวิตรอดของเขาได้
จ้าวเฟิงคำนวณจากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดของเกาะพรมแดนนภา เขาได้เดินมาราวๆ 200-300 ลี้
เด็กหนุ่มกลับไปทางเดิม การเดินทางของเขานั้นรวดเร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเขาคุ้นเคยกับเส้นทาง
หลังจากกลับไปถึงจุดสูงสุดของภูเขาอีกครั้ง จ้าวเฟิงจึงได้ออกไปในทิศทางที่แตกต่างอีกสามทิศ
ไม่กี่วันต่อมา เด็กหนุ่มจึงกลับมาที่จุดเริ่มต้นด้วยอาการเหนื่อยล้า
ใช้เวลาทั้งหมดราวๆ 4-5 วัน จ้าวเฟิงได้สำรวจเกาะพรมแดนนภาทั้งเกาะได้
บัดนี้เขารู้ลักษณะพื้นที่และคุ้นเคยกับมันราวกับอยู่ในอุ้งมือของเขา เขารู้ว่าที่ใดที่อันตราย ที่ใดที่มีสมบัติ และกระทั่งพื้นที่ที่มีสัตว์อสูรเหยา
“มีสถานที่ทั้งหมด 139 แห่งที่น่าจะมีสมบัติอยู่ ในบรรดาทั้งมี 4-5 แห่งที่สมบัตินั้นเทียบเท่าได้กับสวน ทว่าทั้งหมดล้วนอันตราย”
จ้าวเฟิงพึมพำ
แน่นอนว่าอันตรายมีอยู่ทุกที่ มีทั้งหมดราว 200 แห่งที่เด็กหนุ่มไม่อาจจะย้อนกลับมาได้หากเข้าไป
มีสิ่งมีชีวิตราวๆ 40-50 ชีวิตที่สามารถฆ่าเขาได้ในเสี้ยววินาที และมันเป็นเพียงจำนวนที่เขาค้นพบ
ในเลาทั้งหมด 5 วัน จ้าวเฟิงได้พบสถานที่หลายแห่งที่มีสมบัติ ทว่าไม่ได้เสียใจที่ไม่ได้เข้าไป
“ยังคงเหลือเวลาอีก 5 วันกระทั่งสัตว์อสูรในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะออกมาไล่ล่าข้า”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ทุกๆ ย่างก้าวที่เขาเดินนับแต่นี้ล้วนสำคัญ
ปึก ฟุ่บ
ร่างของเด็กหนุ่มทะยานขึ้นสู่อากาศ มุ่งตรงไปยังชายขอบของป่าที่มีหอคอยสูง
หอคอยสูงใจกลางป่านั้นเป็นสถานที่ที่หยางก่านอยู่ และจากที่จ้าวเฟิงรู้ อีกฝ่ายนั้นได้เข้าไปภายในหอคอยลึกลับนั่นด้วยโชค หรือไม่เขาก็อาจมีไพ่ลับที่ไม่มีผู้ใดรู้ซ่อนอยู่
เป้าหมายของเขาไม่ใช่หอคอยสูงนั้น
มันมีแม่น้ำอยู่ใกล้ๆ ป่านั้นที่ไหลไปเกือบทั่วทั้งเกาะพรมแดนนภา
น้ำในแม่น้ำนั้นเย็นเยียบและไม่มีร่องรอยของสัตว์อสูรใดๆ ใกล้ๆ มัน
สรุปแล้ว แม่น้ำนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก
จ้าวเฟิงได้เห็นภาพที่แปลกประหลาดครั้งหนึ่ง แม่น้ำสีน้ำเงินนั้นได้ขยับไหวราวกับมังกรและคดเคี้ยวราวกับอสรพิษ
เมื่อรวมเข้ากับการที่มันไร้ซึ่งร่องรอยของสัตว์อสูรใดๆ ใกล้ๆ จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจที่จะสำรวจสถานที่นั้น
“ข้าจะตั้งชื่อมันว่าแม่น้ำงูมังกรเหมันต์”
จ้าวเฟิงตั้งชื่อของมันจากท่าทางการเคลื่อนไหวของมัน
เด็กหนุ่มเลียบแม่น้ำงูมังกรเหมันต์ไปพร้อมกับเปิดดวงตาซ้าย
หลังจากเข้าไปใกล้ยังแม่น้ำนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบที่น่าสะพรึงกลัว และยิ่งลึกลงไปในแม่น้ำเท่าใด มันก็ยิ่งมีความหนาวยะเยือกมากขึ้นเท่านั้น
ในระหว่างทาง มันดูเหมือนจะไม่มีอะไร ทว่าสัญชาตญาณของจ้าวเฟิงได้บอกเขาว่าแม่น้ำนี้ไม่ใช่ธรรมดา และต้องมีประวัติลึกลับเกี่ยวกับมัน
หลังจากเดินมาจนสุดปลายแม่น้ำ ที่ ‘ปาก’ ของมังกรและอสรพิษ มันได้มีน้ำตกพร้อมด้วยบ่อน้ำที่ถูกแช่แข็งเบื้องล่าง
บ่อน้ำที่ถูกแช่แข็งนั้นไม่ได้ใหญ่โต มันกว้างราวๆ 10 หลา ทว่ากลับส่งกลิ่นอายเย็นยะเยือกเสียจนดวงวิญญาณของคนผู้หนึ่งต้องสั่นสะท้าน
“ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นี่…”
จ้าวเฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าบ่อน้ำนั้น
ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นเยียบแปลกประหลาดประการหนึ่งก็ได้แล่นผ่านขาทั้งสองข้างของเขา แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
วิ้งง!
แสงสีครามในดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มหมุนวนพร้อมกับที่โลหิตที่ครามจางภายในร่างของเขาได้เดือดพล่าน สลายความเย็นนั้น