บทที่ 176 : ผลึกน้ำตาลึกลับ
สีหน้าของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พลังอันใดกันที่บ่อน้ำนี้มีกระทั่งทำให้ดวงตาซ้ายและพลังสายเลือดของเขาทำงานขึ้นเพื่อป้องกันอย่างอัตโนมัติ?
เขามั่นใจว่ากระทั่งสิ่งมีชีวิตในนภาที่ห้าหรือหกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็จะรู้สึกอึดอัดเมื่อย่ามอยู่ต่อหน้าความหนาวเย็นนี้
“นี่ควรเป็น ‘แหล่งกำเนิด’ ”
เด็กหนุ่มมีความรู้สึกว่าความลับของแม่น้ำงูมังกรเหมันต์ได้อยู่ที่นี่เพราะเขาได้สำรวจบริเวณอื่นด้วยดวงตาซ้ายของเขาแล้วทว่ากลับไม่ได้ผลลัพธ์ใด
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงนั้นสามารถมองผ่านในบ้อน้ำที่ถูกแช่แข็งนี้ไปได้เพียง 3 หลา หากมันเป็นแม่น้ำปกติ เขานั้นกระทั่งมองลึกลงไปได้ถึง 10 หลา ทว่าน้ำในบริเวณนี้กลับพิเศษอย่างมากและหนาวเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่อาจมองเห็นก้นของแม่น้ำได้ด้วยดวตาซ้ายของเขา
“มันคุ้มค่าหรือไม่ในการค้นหาความลับของแม่น้ำงูมังกรเหมันต์? ข้าต้องลงไปยังบ่อน้ำเพื่อค้นหามัน”
ความคิดของจ้าวเฟิงแปรเปลี่ยนไป
หากเป็นศิษย์ผู้อื่นอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมไม่ทดลองเพราะความเย็นภายในบ่อน้ำเยือกแข็งนั้นย่อมกระทั่งแช่แข็งสิ่งมีชีวิตในขอบเขตก่อกำเนิดปราณให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งได้
“วิชากำแพงเงินของข้าได้เข้าสู่ระดับสูงสุดและมีพลังป้องกันความหนาวเย็นที่แข็งแกร่ง นอกจากนั้น พลังสายโลหิตของข้าเองก็ดูเหมือนจะมีพลังต่อต้านความหนาวเย็นเช่นกัน”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะกัดฟันกรอดและตัดสินใจที่จะเสี่ยงดวงดู
สัญชาตญาณได้บอกเขาว่าแม่น้ำงูมังกรเหมันต์นี้ลึกลับยิ่งนัก และดวงตาซ้ายของเขาได้จับร่องรอยกลิ่นอายเก่าแก่ด้านในได้
นอกจากนั้น เขามีข้อได้เปรียบอย่างมากซึ่งมีโอกาสสูงในการล่าถอยโดยไร้อาการบาดเจ็บ
จ๋อม!
ร่างของเด็กหนุ่มผมครามราวกับมัจฉาขณะที่เขาทะยานลงสู่บ่อน้ำ
เสี้ยววินาทีต่อมา ความเย็นเยียบลึกถึงกระดูกก็ได้ครอบคลุมทั่วทั้งร่างของเขา
หากเป็นผู้อื่นที่มีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับเขา พวกเขาย่อมถูกแช่แข็ง ร่างชาหนึบและตายอย่างรวดเร็วหากไม่กลับขึ้นไปบนฝั่ง
ทว่าจ้าวเฟิงได้ฝึกฝนวิชากำแพงเงินซึ่งได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายของเขา
ในเสี้ยววินาที เด็กหนุ่มได้โคจรปราณแท้ของเขาเพื่อสร้างชั้นแสงสีเงินขึ้นรอบร่างกาย
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้ายของเขาอย่างเต็มที่และจมร่างลงลึกขึ้น
หนึ่งหลา… สองหลา… สามหลา…
เด็กหนุ่มไม่อาจทานทนได้อีกต่อไปเมื่อลงไปลึกสามหลา ทว่าโชคดีที่สายเลือดสีครามภายในร่างของเขาได้เริ่มเดือดพล่านพร้อมกับที่ความรู้สึกอุ่นซ่านได้แผ่ไปทั่วร่างของเขา
พลังของสายเลือดนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าพลังต่อต้านของวิชากำแพงเงิน
สี่หลา… ห้าหลา… หกหลา…
ยิ่งเด็กหนุ่มลงไปลึกเท่าใด ความหนาวเย็นนั้นก็ยิ่งน่าพรั่นพรึงขึ้นเท่านั้น
ภายใต้ความหนาวเยือกนั้นได้มีพลังที่สามารถคุกคามกัดกร่อนดวงวิญญาณและสติของเขาได้ ทว่าโชคดีที่แสงภายในดวงตาซ้ายของเขาได้หมุนวนอย่างรวดเร็วและต่อต้านการโจมตีทางจิตวิญญาณนั้น
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหยางก่านยังถูกหยุดลงที่ระยะสามหลา ทว่าจ้าวเฟิงได้เข้าสู่ระยะหกหลา โดยที่มันเกือบจะเข้าสู่ขีดจำกัดของเขาแล้ว
เด็กหนุ่มกัดฟันของเขาแน่นก่อนที่จะจมร่างลึกลงไป
หกหลา… เจ็ดหลา… แปดหลา..
นั่นไง!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งค้างและเกือบที่จะไม่อาจกลับไปยังผิวน้ำได้
“ขึ้นไป!”
เด็กหนุ่มตวาดในใจพร้อมกับที่พลังสายเลือดและปราณแท้ของเขาเริ่มเผาไหม้
พรวด!
ร่างของเขาขยับเคลื่อนไหวราวปลาและกลับขึ้นไปเหนือน้ำ
“เกือบไปแล้ว”
จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้อันใด
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะว่ายขึ้นไป เขาเห็นผลึกโปร่งใสสีน้ำเงินลึกลับรูปร่างคล้ายน้ำตา ขนาดเท่าผลแตงโม
“ผลึกสีน้ำเงินนั่นมีความเป็นมาอย่างไรกัน?”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บเพียงแค่เหลือบมองมัน ทว่าโชคดีที่มันเป็นดวงตาซ้ายของเขา หากเป็นดวงตาปกคิ ความหนาวเย็นนั่นย่อมแช่ร่างของเขาให้แข็งไปในทันที
สัญชาตญาณบอกเขาว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแตะต้องหรือครอบครองได้
สิ่งนี้นั้นกระทั่งเป็นปัญหามากกว่าอาวุธชั้นจิตวิญญาณทั่วไปเสียอีก
ทว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่เต็มใจที่จะปล่อยมันไปโดยที่ไม่สำรวจมันให้มากกว่านี้
ครั้งที่สอง
เขากินผลโลหิตสีชาดที่มีพลังหยางบริสุทธิ์เข้าไป
หลังจากที่กลืนมันลงไป เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับเปลวเพลิงได้แผดเผาอยู่ในหัวใจของเขา ซึ่งมันได้กระตุ้นพลังสายเลือดและปราณแท้ของเขาไปในเวลาเดียวกัน
เขาได้ใช้ผลโลหิตสีชาดหนึ่งผลเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการต่อสู้กับความหนาวเย็นในบ่อน้ำเยือกแข็ง
จ๋อม!
จ้าวเฟิงกลับลงไปอีกครั้งและสามารถไปยังระยะแปดหลาได้อย่างง่ายดาย ทั่วทั้งร่างของเขานั้นเร่าร้อนจากผลโลหิตสีชาด
ในระยะแปดหลา มันเหลือระยะห่างเพียงสามหลาระหว่างเขากับผลึกสีน้ำเงินใส ผลึกสีน้ำเงินใสนั้นราวกับบัวหิมะ งดงามและดึงดูดตา ทว่าเมื่อมองไปยังมัน มันกลับสร้างความรู้สึกหนาวเยือกให้กับผู้มอง
จ้าวเฟิงสามารถใช้ได้เพียงดวงตาซ้ายในการ ‘สำรวจและชื่นชม’ มัน
แปดหลา… เก้าหลา…
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าความหนาวเย็นได้เพิ่มพูนขึ้นตามระยะทางที่หดสั้นลง
เขานั้นเกือบจะเข้าสู่ระยะสิบหลา ห่างเพียงราวๆ หนึ่งหลาจากผลึกสีน้ำเงินนั้น
ในตอนนี้ ร่างของเขาจะถูกแช่แข็งอย่างแน่นอนหากเขาเข้าไปใกล้อีกก้าว
เมื่อสำรวจมันในระยะใกล้เพียงนี้ จ้าวเฟิงก็พบว่าผลึกนั้นไม่ได้เป็น ‘ของแข็ง’ เพราะพื้นผิวของมันนั้นสั่นกระเพื่อม ราวกับหยดน้ำตา
“โชคร้ายนัก… มันจะไร้ซึ่งหนทางเลยหรือ?”
เด็กหนุ่มรู้ว่าเว้นเสียแต่เขาต้องการที่จะตาย มันไร้ซึ่งโอกาส
พรวด!
เขาว่ายขึ้นไปอีกครั้งก่อนที่จะวางแผน
เขานำเส้นไหมสีเงินบางขึ้นมา
เส้นไหมสีเงินที่บางมากนี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากโลหะเยือกแข็งและได้ให้คุณสมบัติของธาตุน้ำแข็งแก่มัน และมันเป็นวัสดุของอาวุธชั้นครึ่งมนุษย์
จ้าวเฟิงนำคันศรหลัวฮัวของเขาออกมาก่อนที่จะพันเส้นไหมเข้ากับคันศร และพันอีกฝั่งที่เหลือเข้ากับลูกธนูสีครามเข้ม
หากเป็นเช่นนี้ ลูกธนูที่ยิงออกจะสามารถกู้กลับคืนมาได้
“ฮี่ฮี่ ข้าจะลอง”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่ว เมื่อผลึกน้ำตาสีน้ำเงินนั้นไม่ได้เป็นของแข็ง นี่ก็เป้นเพียงทางเลือกเดียวของเขา
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงโคจรปราณแท้ของเขาและยิงลูกศรของเขาไปยังผลึกน้ำตาสีนำเงิน เพื่อให้มั่นว่าจะไม่มีเหตุไม่คาดฝันอันใดเกิดขึ้น เขาจึงได้ยังไม่ล่าถอยจนกระทั่งเขารู้สึกว่าลูกศรได้ต้องกับเป้าหมายแล้ว
ฟุ่บ
ลูกธนูสีครามเข้มที่มีพลังของสายเลือดและปราณแท้ของเขาอัดแน่นอยู่ได้พุ่งตรงไปยังผลึกน้ำตาสีน้ำเงินด้วยความเร็วกึ่งหนึ่งของความเร็วเสียง
ทว่าลูกธนูนั้นได้สูญเสียความเร็วของเขามันกลายเป็นลูกธนูน้ำแข็งในที่สุดเมื่อยามที่ปลายของมันได้แตะเข้าที่ระลอกกระเพื่อมรอบผลึกนั้น
ระลอกกระเพื่อมเหล่านี้เองก็เป้นส่วนหนึ่งของผลึกน้ำตาสีน้ำเงินเช่นกัน
หง่างงง
เสียงแปลกประหลาดได้ดังขึ้นจากก้นของบ่อน้ำเยือกแข็ง เสียงที่พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณของเขา
จ้าวเฟิงสะอึกและรีบว่ายขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็วเมื่อเขารับรู้ได้ถึงอันตรายถึงชีวิต
ในเวลาเดียวกัน ความเย็นเยียบน่าสะพรึงก็ได้แพร่กระจายออกจากคันศรโหลวฮัว
“ไม่ดีแล้ว!”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาชาหนึบและพลันโยนคันศรโหลวฮัวไปในอากาศในทันที
เช้ง!
ร่างของเด็กทะยานขึ้นในอากาศสูงหลายหลาและพร้อมกับที่เขาเริ่มที่จะหนีไปบนอากาศ มีเพียงยามที่เขาอยู่ห่างออกไปสองสามร้อยหลา เขาจึงได้กลับไปยังพื้นดิน
แต่แม้ว่าจ้าวเฟิงจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยหลาจากบ่อน้ำเยือกแข็ง เขาก็ยังคงรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นอันน่าสะพรึงกลัว
ภายในหอคอยสูงในป่าใกล้ๆ
“เกิดเรื่องบัดซบอันใดขึ้น? เหตุใดจู่ๆ จึงได้เกิดหนาวเย็นเช่นนี้?”
หยางก่านอยู่ในชั้นที่เก้าของหอคอย ทว่ายังรับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบนั้น
เขาไม่ใช่เพียงผู้เดียวที่ได้รับผลกระทบ
เป่ยโม่ยและคนอื่นๆ เองก็รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นนี้
มีแม่น้ำงูมังกรเหมันต์เป็นจุดศูนย์กลาง ความหนาวเย็นได้แพร่กระจายไปทั่วเกาะพรมแดนนภา ทำให้อุณภูมิลดลงอย่างมาก
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ อุณหภูมิของเกาะก็ได้ลดลงกว่าสิบองศา และยังคงลดลงเรื่อยๆ เป็นเวลาอีกสิบลมหายใจ
หากมันยังคงลดลงเช่นนี้ ทั่วทั้งเกาะพรมแดนนภาก็จะกลายเป็นดินแดนน้ำแข็งไป
เบื้องหน้าบ่อน้ำเยือกแข็ง
“บัดซบบบบบ!”
จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าแขนขาของเขาได้กลายเป็นน้ำแข็งไป
เขาเป็นผุ้ที่ก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นและอยู่ใกล้กับบ่อน้ำที่สุด หมายความว่าความเย็นที่เขาเผชิญนั้นมากมายที่สุด ทว่าโชคดีที่ระลอกความเย็นนั้นได้ระเบิดออกเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะสงบลง
สายตาของเด็กหนุ่มผมครามนั้นไม่เคยละไปจากบ่อน้ำเยือกแข็งแม้แต่น้อย คันศรโหลวฮัวของเขาได้ร่วงลงจากอากาศยังคงมีเส้นไหมสีเงินที่บัดนี้ได้กลายเป็นสีน้ำเงินไปรัดพันอยู่ ขณะที่ลูกศรอีกฝั่งได้กลายเป็นเศษเสี้ยวไปและถูกแทนที่ด้วยระลอกคลื่นสีน้ำเงิน
ระลอกคลื่นสีน้ำเงินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของผลึกน้ำตาสีน้ำเงินในบ่อน้ำเยือกแข็ง
ชี่ ชี่
พลังของระลอกคลื่นสีน้ำเงินได้กระจายไปยังคันศรโหลวฮัวผ่านเส้นไหมที่ไม่ได้กลายเป็นเศษเสี้ยวและได้มีคุณสมบัติน้ำแข็งอยู่ภายใน
หลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ ระลอกคลื่นสำน้ำเงินจึงได้หายไปในคันศรโหลวฮัวและสร้างสัญลักษณ์แปลกประหลาดขึ้นบนนั้น
สัญลักษณ์นั้นราวกับบัวหิมะที่ได้ผลิบานขึ้น
เปรี้ยะ!
เส้นไหมสีเงินได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง
จ้าวเฟิงสะดุ้งอย่างผวา ทว่าพบว่าคันศรโหลวฮัวไม่ได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นอาวุธมนุษย์ระดับกลางและเทียบเท่าได้กับระดับสูงยามที่ใช้ร่วมกับลูกศรของมัน
คันศรโหลวฮัวทอดร่างนิ่งอยู่บนพื้น ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
หลังจากรู้สึกว่าความเย็นได้จางหายไป จ้าวเฟิงจึงได้เดินตรงไปยังคันศรโหลวฮัวอย่างเงียบงัน แตะมันด้วยมือของเขาอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเย็นถึงกระดูกจากตัวคันศร ทว่ามันเพียงหมุนวนอยู่รอบๆ คันศรและไม่ได้พุ่งเข้ามาในร่างของเขา
“อย่างน้อยคันศรก็ไม่หัก”
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวเหยียดขณะที่เขาสำรวจมันอย่างระมัดระวัง เขาพบว่านอกจากที่ตัวคันศรจะเปลี่ยนไปในบางอย่างด้วยพลังของผลึกน้ำตาสีน้ำเงินแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
พลังของผลึกน้ำตาสีน้ำเงินนั้นน่าพรั่นพรึงนัก เพียงแค่พลังของมันเพียงเล็กน้อยก็ได้ทำให้อุณหภูมิของทั้งเกาะพรมแดนนภาลดลงนับสิบองศา
เด็กหนุ่มหยิบลูกศรของเขาออกจากแล่ง ทว่าสีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนไปในทันที ศรทั้งหมดในแล่งของเขาได้กลายเป็นสีฟ้า ราวกับว่ามันได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยความเย็นยามที่เขาลงไปยังบ่อน้ำเยือกแข็ง
ฟุ่บ ผึง
จ้าวเฟิงยกคันศรโหลวฮัวของเขาขึ้นและยิงศรดอกหนึ่งไปยังต้นไม้ใหญ่
ฉึก!
ศรได้ทิ่มแทงลงไปในเนื้อไม้ ทว่าไม่ได้ทะลวงผ่าน
ดอกไม้พืชพรรณทั้งหมดภายในเกาะพรมแดนนภานั้นไม่ใช่ธรรมดา และหากมันเป็นต้นไม้ที่โลกภายนอก มันย่อมถูกทะลวงเป็นรูใหญ่แล้ว
“มันดูไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในด้านพลัง?”
จ้าวเฟิงรู้สึกผิดหวังเล็กๆ หรือเป็นว่าสัญชาตญาณของเขานั้นผิดพลาด?
ศรนั้นไม่ได้เพิ่มพลังขึ้น ในทางกลับกัน มันได้แตกสลายเป็นเสี่ยงหลังจากที่มันโดนเป้าหมายแล้ว หมายความว่าวัสดุได้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากได้รับธาตุน้ำแข็งมากเกินไป
ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมานั้นเอง
แคร่ก แคร่ก
ชั้นน้ำแข็งได้ปรากฏหนาขึ้นเรื่อยๆ บนต้นไม้ที่ถูกยิง
ในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองลมหายใจ ต้นไม้สูงสิบเมตรก็ได้ถูกครอบคลุมด้วยน้ำแข็ง และกลายเป็นราวกับรูปปั้นน้ำแข็งที่ทำให้ลมหายใจหยุดชะงักภายใต้แสงอาทิตย์
“ผนึกในน้ำแข็ง…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ นิ่งอึ้ง