บทที่ 180 : ภูเขาน้ำแข็ง
ร่างนั้นคือจ้าวเฟิงจริงๆ
แผนของเขานั่นสมบูรณ์แบบ ผู้พิทักษ์ที่ไล่ล่าเขาได้ย้อนกลับไปยังห้องสมบัติหลังจากที่ไม่อาจหาร่องรอยของเขาได้อีก บังคับให้กวานเฉินต้องล่าถอยโดยมีผู้พิทักษ์ทั้งหมดไล่ล่าเขาไป
เด็กหนุ่มพบว่าของทั้งหมดในห้องสมบัตินั้นได้ถูกป้องกันโดยค่ายกลซึ่งไม่อาจทำลายได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้นแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะล่อความสนใจของผู้พิทักษ์ก่อน จากนั้นจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงทั้งหมด เพราะดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม เขาจึงสามารถควบคุมได้โดยสมบูรณ์แบบ
ทั้งในด้านของการค้าขายและการต่อสู้ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่า ‘ข้อมูล’ และจ้าวเฟิงมีข้อได้เปรียบในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้เขาสามารถเอาชนะได้ทุกการต่อสู้
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนิ่งอึ้งไปเล็กๆ เมื่อเดินเข้าไปภายในห้องสมบัติ จากนั้นเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก มันมีสิ่งของจำนวนมากอยู่ภายใน บ้างก็เป็นอาวุธ ของสะสมอย่างอื่นๆ เช่น ศิลปะ ภาพเขียนตัวอักษร เกราะ แผนที่ และสิ่งอื่นๆ ที่เขาไม่อาจเรียกได้ถูก
ทว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสามารถรับรู้ได้ว่าคุณภาพของสิ่งเหล่านี้มิใช่เลว และอาวุธส่วนมากในห้องสมบัตินั้นอยู่ในชั้นจิตวิญญาณเป็นอย่างน้อย
มีหรือที่ ‘ของสะสม’ เหล่านี้ที่ถูกวางรวมไว้กับอาวุธชั้นจิตวิยญาณจะธรรมดา? มันสามารถกล่าวได้ว่ามูลค่าของสิ่งใดก็ตามย่อมสามารถทำให้คนผู้หนึ่งบ้าคลั่งไปได้
ทว่า…
คิ้วของเด็กหนุ่มมุ่นเขาหากันเมื่อเขาตระหนักได้ว่าของเหล่านี้ต่างถูกป้องกันไว้ด้วยค่ายกลที่แยกจากกัน ค่ายกลนั้นทรงพลังอย่างมาก และอาจมีพลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง มิเช่นนั้นก็สูงกว่า ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวนั้นคือพลังงานที่กักเก็บไว้ได้ลดลงเนื่องจากระยะเวลาที่ผ่านพ้น
มันมีของจำนวนหนี่งที่มีช่องว่างบนค่ายกลที่ปกป้องพวกมันไว้
แน่นอนว่าคนทั่วไปย่อมไม่อาจมองเห็นมันได้ มีเพียงคนเช่นจ้าวเฟิงที่มีดวงตาซ้ายที่ทรงพลัง หรือผู้ที่ได้ศึกษาค่ายกลจึงจะสามารถมองเห็นมันได้
“พลังของค่ายกลป้องกันเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ และพวกมันสามารถซ่อมแซมตนเองได้ หากผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้โจมตีมันติดต่อกันสองหรือสามวัน มันก็ควรจะพังลง”จ้าวเฟิงสรุป
เพื่อที่จะยืนยันการคาดเดาของเขา เด็กหนุ่มจึงได้ส่งฝ่ามือออกไปยังหนึ่งในสิ่งของ
เปรี้ยง!
แสงสีขาวได้สว่างวาบและผลักร่างของเด็กหนุ่มผมครามให้ผงะถอย ทว่าผู้โจมตีได้คาดเดาถึงมันไว้แล้วและได้ล่าถอยโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แสงนั้นเพียงแค่หม่นหมองลงเพียงเล็กน้อยเพราะการโจมตีจากผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่ แต่หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ จุดแสงที่หม่นลงนั้นก็ได้ส่องประกายขึ้นอีกครั้ง
“จริง ต้องการเวลา 3 วันเมื่อมีช่องว่างบนค่ายกล หากมันไม่มีช่องว่าง ต้องใช้เวลาในการทำลาย 10 วัน หากข้าเพียงแค่มีใครเช่นหยางก่านในการร่วมมือและโจมตีมัน…” จ้าวเฟิงถอนหายใจในใจ
หากเป็นผู้อื่น เวลาที่ต้องใช้ย่อมลดลงอย่างมาก โชคร้ายที่เขาไม่แม้แต่จะมั่นใจว่ากวานเฉินนั้นตายหรือไม่ ทั้งอีกฝ่ายนั้นไม่อาจเชื่อถือได้
สำหรับหยางก่าน หลินฟ่าน และคนอื่นๆ ล้วนอยู่ห่างไกล เผชิญหน้ากับปัญหาของตนในสถานที่ที่พวกเขาอยู่
มันไม่มีหนทางอื่น จ้าวเฟิงนั้นมีเพียงตัวเลือกเดียว และมันคือการต่อสู้เพียคนเดีย
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องดีที่สุดสิ่งกลายเป็นเช่นนี้ สิ่งของทั้งหมดล้วนเป็นของเขาเพียงแค่ผู้เดียว
จากนั้น
จ้าวเฟิงได้กวาดตามองเพื่อหาเป้าหมายของเขา มันแค่มีของมากเกินไปในห้องสมบัติ รวมทั้งอาวุธ เกราะ และอื่นๆ
ห้องสมบัติทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยลิ้นชักนับร้อยที่มีของอยู่ภายใน บ้างก็ว่างเปล่า และของภายในลิ้นชักที่ว่างเปล่าเหล่านั้นคงถูกผู้เข้าร่วมคนก่อนนำออกไปแล้วจากการคาดเดาของเขา
เหล่าผู้ที่สามารถเข้ามายังห้องสมบัติและนำของออกไปได้ย่อมมิใช่บุคคลทั่วไป
ในบรรดาลิ้นชักนับร้อย มีเพียงหนึ่งในสิบที่มีช่องว่างปรากฏบนค่ายกล และดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มได้กวาดสำรวจพวกมันทั้งหมดก่อนที่จะหยุดลงบนเป้าหมาย
มันเป็นผ้าคลุมโปร่งใสคล้ายกระจกที่ค่อนข้างโทรม หลังจากที่มุ่งไปยังมัน ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มผมครามก็กระตุกเล็กๆ พร้อมกับที่พลังสายเลือดของเขาได้มีความรู้สึกคุ้นเคย
ผ้าคลุมนี้ได้ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา ซึ่งไม่แม้แต่จะอยู่ในชั้นจิตวิญญาณ หรือกระทั่งชั้นมนุษย์ระดับสูง มันดูธรรมดาอย่างมาก เช่นนั้นแล้วเหตุใดมันจึงได้ถูกนำมาเก็บไว้กับสิ่งของหายากเช่นนี้กัน?
จ้าวเฟิงมั่นใจว่าผ้าคลุมนี้ไม่อาจธรรมดาหรือมีคุณค่าในการเก็บสะสมสูง
“แม้ว่าข้าจะได้ครอบครองอาวุธชั้นจิตวิญญาณ มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้า ข้าอาจต้องมอบมันให้แก่สำนักหลังจากการทดสอบ… ดังนั้นแล้วเหตุใดข้าต้องเลือกเช่นนั้น?” เด็กหนุ่มตัดสินใจ
อาวุธชั้นจิตวิญญาณนั้นห่างไกลจากเขาเกินไป และมันมีตำนานเอ่ยไว้ว่ามันได้มีสิ่งของแห่งมรดกเทพเซียนที่สามารถเมินเฉยต่อพลังฝึกตนของผู้ครอบครองได้ และจะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดไม่ว่าจะมีพลังฝึกตนอยู่ในระดับใด
ทว่าสิ่งของแห่งมรดกเทพเซียนเหล่านี้นั้นหายากยิ่งนัก และไม่ว่าจะเป็นชิ้นใดก้ล้วนแล้วแต่ถูกป้องกันราวกับมหามรดก
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
จ้าวเฟิงกระแทกฝ่ามือไปยังลิ้นชักครั้งแล้วครั้งเล่า และวิชาที่เขาใช้นั้นคือฝ่ามือวายุอัสนี มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในการทำให้วิชานี้สมบูรณ์แบบ และทุกๆ ฝ่ามือที่เขาใช้ออก เด็กหนุ่มก็จะพัฒนามันขึ้นในสมอง
อัตราการโจมตีนั้นแน่นอน พักหนึ่งถึงสองลมหายใจระหว่างแต่ล่ะฝ่ามือ ทำให้เขาสามารถยื้อได้นานขึ้น
หลังจากนั้นชั่วครู่
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้ยินเสียงฝีเท้าซึ่งควรจะเป็นของเหล่าผู้พิทักษ์ที่ย้อนกลับมา
ผู้พิทักษ์เหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา หากพวกมันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกมันย่อมตรงไปตรวจสอบ
“หากเพียงข้าสามารถตั้งค่ายกลกั้นเสียงได้ที่นี่…”
จ้าวเฟิงหยุดมือและจมลึกลงในห้วงความคิด ค่ายกลกั้นเสียงนั้นไม่ได้ยากที่จะสร้างขึ้น ทว่าปัญหานั้นคือเด็กหนุ่มมีวัสดุไม่เพียงพอ
มันเป็นข้อจำกัดอันใหญ่หลวงของผู้เชี่ยวชาญค่ายกล หากไม่มีวัสดุก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ แน่นอน หากคนผู้หนึ่งมีวัสดุก่อน พวกเขาย่อมสามารถเชือดกลุ่มคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาได้
จ้าวเฟิงค้นหาภายในกำไลมิติของเขาที่เก็บทุกสิ่งที่เขามีไว้
“โชคร้ายนัก ข้าขาดวัสดุไปสองสิ่ง…”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะและพยายามที่จะคิดถึงค่ายกลอื่น ทว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ด้วยวัสดุที่ขาดหายไปสองชิ้น
ในตอนนั้นเอง
จ้าวเฟิงได้ยินเสียงแผ่วเบาขึ้นก่อนจะเห็นร่างร่างหนึ่งพลิ้วกายลงบนหลังคาฝั่งตรงข้ามกับห้องสมบัติ
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่ได้ตาย!”
น้ำเสียงของกวานเฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจและโกรธเกรี้ยว
การกระทำของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวชะงักแข็ง ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป
เด็กหนุ่มสำรวจสภาพของอีกฝ่าย เขาพบว่ากวานเฉินนั้นมีบาดแผลและผ้าพันแผลจำนวนมาก ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าฉีกขาดราวกับถูกข่มขืนมา
ความเกลียดชังในดวงตาของชายหนุ่มกระทั่งขุ่นคลั่กกว่าเก่า
ฟุ่บ!
ร่างของกวานเฉินพุ่งตรงไปยังห้องสมบัติ เป้าหมายของเขาไม่ใช่สิ่งของภายใน ทว่าเป้นจ้าวเฟิง
อย่างแรก ฆ่าจ้าวเฟิง จากนั้นจึงนำสมบัติไป
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหัวเราะเสียงเย็นเยียบพร้อมกับส่งฝ่ามือของเขาออกไปอย่างหนักหน่วงขณะที่ยืนอยู่ที่ทางเข้า
มีดบินจันทร์เสี้ยว!
กวานเฉินวาดดาบของเขา ก่อนที่ประกายเสียงแหลมคมอันตรายสี่ห้าอันจะพุ่งเข้าหาร่างของอีกฝ่ายด้วยมุมที่แตกต่างกัน
ตูม!
ฝ่ามือรุนแรงของจ้าวเฟิงได้สร้างเสียงฟ้าผ่าขึ้น ทว่ายังคงถูกกดดันให้ล่าถอยจากประกายแสงเหล่านั้น
กวานเฉินมีอาวุธชั้นมนุษย์อยู่ในมือ ซึ่งเพิ่มพลังโจมตีของเขา เขาเองยังมีพลังฝึกตนสูงกว่า รวมทั้งวิชาจันทร์เยือกแข็งเองก็ได้เข้าสู่ระดับสี่แล้ว
“ข้าจะนำชีวิตสารเลวของเจ้าไปก่อน!”
ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะจัดการจ้าวเฟิงก่อน เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว
วายุอัสนีทำลายล้าง!
เด็กหนุ่มผมครามโคจรปราณแท้และวิชาของเขาจนถึงขีดสุด เสียงครืนครางของฟ้านั้นกระทั่งดังขึ้นกว่าแต่ก่อน
ทว่าอย่างไรก็ตามอาวุธของกวานเฉินนั้นก็เป็นอาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลาง ทำให้เขาสามารถต่อต้านมันได้
ภายใต้สถานการณ์เข้าตาจน จ้าวเฟิงใช้เศษเสี้ยวหนึ่งของพลังแห่งสายเลือดของเขาอย่างลับๆ ทว่าพลังโจมตีของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เปรี้ยงงง!
เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นเรื่อยๆ
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ในที่สุดว่าฝ่ามือวายุอัสนีของเขาได้เข้าสู่จุดสุดยอดและลื่นไหลขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันได้ทะลวงผ่านจุดจุดหนึ่งมาแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ผนึกสายฟ้ายอดนภาเองก็ได้ถูกทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
มังกรวายุอัสนีคลั่ง!
เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวคำรามพร้อมกับที่ ‘งูมังกร’ ที่มีประกายสายฟ้าวนเวียนอยู่รอบกายได้ปรากฏตัวขึ้น
“อันใดกัน!? พลังแห่งสายฟ้า!?”
สีหน้าของกวานเฉินแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทั้งสองเข้าปะทะกันในเสี้ยววินาที ร่างของชายหนุ่มชาหนึบ
ระดับสี่ของฝ่ามือวายุอัสนีนั้นมีผลให้ร่างชาอยู่ในระดับหนึ่ง ทว่าหลังจากที่จ้าวเฟิงได้หลอมรวมผนึกสายฟ้ายอดนภาเข้าไปเล็กน้อย วิชาแต่ดั้งเดิมจึงได้พัฒนาขึ้น
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ
เด็กหนุ่มบังคับให้อีกฝ่ายล่าถอยด้วยฝ่ามืออย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน ผู้พิทักษ์เกราะดำที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้มาถึง
กวานเฉินทำได้เพียงล่าถอยและเอ่ยขึ้นอย่างเกลียดชัง
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะอยู่ในนั้นได้ตลอด”
“ฮี่ฮี่… จะหนีไปที่ใดกัน!?”
จ้าวเฟิงนำคันศรโหลวฮัวของเขาออกมาและทาบศรสีฟ้าของเขาลงไป ก่อนที่จะยิงมันออกไปยังทิสทางของทางออก
ฟุ่บ
ศรสีฟ้าพุ่งผ่านอากาศและมุ่งตรงไปยังร่างของกวานเฉินด้วยความเย็นอันน่าสะพรึงกลัว
อีกฝ่ายรู้ถึงความน่าพรั่นพรึงในทักษะธนูของเด็กหนุ่มเป็นอย่างดีและพลันสร้างชั้นปราณแท้ขึ้นพร้อมทั้งทิ้งร่างตนเองลงบนพื้น
ฉวะ!
ศรสีฟ้าเฉียดผ่านหัวไหล่ของชายหนุ่มและปักตรึงตนเองลงบนร่างของผู้พิทักษ์ใกล้ๆ
มันไม่มีเลือดไหลออกจากหัวไหล่ของกวานเฉิน ทว่าความเย็นเยียบได้แผ่ซ่านออกจากจุดนั้นและสร้างขึ้นน้ำแข็งขึ้นทั่วร่าง
แคร่กกก!
ศรน้ำแข็งได้แตกออกและแช่แข็งทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีสองสามหลา
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งถึงสองลมหายใจ
กวานเฉินและผู้พิทักษ์ใกล้ๆ 4-5 ตนได้ถูกผนึกอยู่ที่ทางเข้า เหลือบมองดูครั้งก็ราวกับรูปปั้นน้ำแข็ง จ้าวเฟิงสามารถเห็นได้ว่ากวานเฉินได้โคจรปราณแท้ของตนอย่างหนักหน่วง ต้องการที่จะพังมันออกมา เด็กหนุ่มหัวเราะเย็นและดึงคันศรโหลวฮัวของเขาออกมาอีกครั้ง
ฟุ่บ
ศรสีฟ้าอีกดอกได้พุ่งตรงไปยังทางเข้าและแช่แข็งผู้พิทักษ์ที่ได้มุ่งตรงมา
ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ รูปปั้นน้ำแข็งสิบร่างก็ได้ปิดกั้นทางเข้าออกไว้ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เยี่ยม! ศรหนึ่งดอก ปักษาสองตัว!”
จ้าวเฟิงไม่อาจอดกลั้นเสียงหัวเราะของเขาไว้ได้
‘ภูเขาน้ำแข็ง’ กลายเป็นม่านป้องกันที่บังคับให้ผู้พิทักษ์อื่นๆ ไม่อาจเข้ามาได้ เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ พวกมันก็จะถูกผนึกอยู่ในน้ำแข็งเช่นกัน
ความเย็นจากศรน้ำแข็งทั้งสองนั้นมหาศาลนัก
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มมองผ่านน้ำแข็งและพบว่าปราณแท้ โลหิต และพลังชีวิตของกวานเฉินเริ่มที่จะถูกแช่แข็ง…