Skip to content

King of Gods 182

King Of Gods

บทที่ 182 : การทดสอบสุดท้าย

ตำหนักยอดนภา ทางเข้า

ผู้อาวุโสทั้งสี่และจ้าวสำนักนั่งอย่างเงียบงัน เพียงเสี้ยวพริบตา เวลาสิบแปดวันก็ได้ผ่านพ้นไปเช่นนั้น

ไม่มีผู้ใดออกมาจนกระทั่งวันที่แปด

“มันควรจะเป็นช่วงปลายของการทดสอบสุดท้ายแล้ว”

ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเชื่องช้า

ความเคร่งเครียดปรากฏขึ้นในแววตาของทั้งห้าผู้อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ทั้งจ้าวสำนักและแม่เฒ่าหลิวเยว่ต่างมีใบหน้าเป็นกังวล

จากประสบการณ์ก่อนหน้า กระทั่งรุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดยังเหลือเพียงแค่สองสามคน

และในครานี้ ไม่มีผู้ใดในศิษย์ที่เหลือทั้งเจ็ดคนที่ถูกเตะออกมา

“ตราเท่าที่ตำหนักยอดนภายังไม่ปิดลง มันหมายความว่ายังคงมีผู้มีชีวิตรอดอยู่ภายใน”

ผู้อาวุโสเสวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

ศิษย์ของเขา ซุนหยวนเฮาได้ถูกเตะออกมาแล้ว ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่มีความคาดหวังใดๆ จากการทดสอบนี้

สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้ลืมเลือนคือจ้าวเฟิง ผู้ที่ได้เตะศิษย์ของเขาออกมา

ในตอนนี้เอง

วิ้งง!

แสงสีเขียวได้สว่างขึ้นจากทางเข้าพร้อมกับที่ดวงตาของทั้งห้าส่องประกายวูบ

ในที่สุดก็มีคนออกมา!

ร่างที่สั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บปรากฏขึ้นในสายตาของพวกเขา

“เฉินเอ๋อร์?”

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือโศกเศร้า

คนผู้แรกที่ถูกคัดออกจากการทดสอบสุดท้ายคือศิษย์ของเขา กวานเฉิน

มันไม่มีร่องรอยบาดเจ็บบนร่างของชายหนุ่ม ทว่าอีกฝ่ายยังคงสะอึกพร้อมกับปลดปล่อยไอเย็นออกมาอย่างต่อเนื่อง

“ท่านอาจารย์”

กวานเฉินเอ่ยออกมาพร้อมกับร่างที่ล้มลงบนพื้นแข็งนิ่ง

“ข้าเอง”

แม่เฒ่าหลิวเยว่วาดมือของนางพร้อมกับที่ปราณแท้สีเขียวหญ้าได้หลอมรวมเข้าสู่ร่างของกวานเฉิน สลายความเย็นภายในร่างของอีกฝ่าย

“ช่างเป็นธาตุน้ำแข็งที่บริสุทธิ์อันใดเช่นนี้ และมันดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นอายจากพลังแห่งสายเลือดปะปนอยู่เล็กน้อย ทว่าโชคดีที่พลังของสายเลือดนั้นดูเหมือนจะอ่อนแอ…”

แม่เฒ่าหลิวเยว่ถอดถอนใจ

“เฉินเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้นที่ทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนี้?”

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเอ่ยถาม

กวานเฉินปรากฏความเกลียดชังในแววตาพร้อมกับที่เขาเอ่ยด้วยอาการกัดฟันแน่น

“จ้าวเฟิง!”

จ้าวเฟิง!

เหล่าผู้อาวุโสต่างมองหน้ากัน เรื่องนี้มีอันใดเกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงกัน?

“ศิษย์ผู้นี้ได้เข้าไปยังใจกลางของปราสาทอย่างกล้ำกลืน และในยามนั้นเองที่จ้าวเฟิงได้มาถึง นั่นหมายความว่าข้าได้ร่วมมือกับเขา ทว่าเจ้าตัวบัดซบไร้ยางอายนั่นได้แทงข้างหลังข้า!”

เปลวไฟราวกับจะแผ่พุ่งออกจากดวงตาของกวานเฉิน มันราวกับว่าเขาต้องการที่จะฉีกกระชากเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเป้นชิ้นๆ

จ้าวเฟิงอีกแล้ว!

เหล่าผู้อาวุโสต่างตะลึงและโกรธเกรี้ยว

“จ้าวเฟิงผู้นี้… เขาจะต้องฆ่าผู้คนมากมายเท่าใดกันจึงจะพึงพอใจ?”

ผู้อาวุโสเสวี่ยกราดเกรี้ยวพร้อมกับที่กลิ่นอายในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขาได้แพร่กระจายไปในอากาศ ทำให้หัวใจของกวานเฉินกระตุก ทว่าครุ่นคิดในขณะเดียวกัน

“หรือจ้าวเฟิงได้ก่อกวนผู้อื่นกัน?”

เหล่าผู้อาวุโสและจ้าวสำนึกล้วนโกรธเกรี้ยว

เมื่อใดกันที่สำนักมีความล้มเหลวเยี่ยงนี้?

มีเพียงคิ้วของผู้อาวุโสหนึ่งที่เลิกสูงขึ้นและค่อนข้างเยือกเย็น

“เราจะจัดการเรื่องขุ่นข้องเหล่านี้หลังจากการทดสอบ เราควรจะเข้าใจสถานการณ์ภายในการทดสอบเสียก่อน”

กวานเฉินอธิบายถึงประสบการณ์ของเขาในการทดสอบ แน่นอนว่าเขาได้จงใจเอ่ยถึงจ้าวเฟิงให้เป็นตัวเลวร้ายและจองหอง ตัวอย่างเช่น เมื่อศิษย์ผู้อื่นถูกพิษโดยอสรพิษ เด็กหนุ่มก็ได้เยาะเย้ยพวกเขาแทนที่จะช่วยเหลือ ทั้งยังขโมยผลโลหิตสีชาดไป…

คำอธิบายของชายหนุ่มได้ทำให้เหล่าผู้อาวุโสเลิกคิ้วของพวกเขาขึ้น

สำหรับความสำเร็จของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้น กวานเฉินมิได้เอ่ยอันใดถึง

“มันนับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่พวกเจ้าทั้งเจ็ดคนสามารถที่จะผ่านการทดสอบที่สองไปได้”

ทั้งห้าถอดถอนใจ

พวกเขาล้วนตื่นเต้นและโล่งใจที่ทั้งเจ็ดสามารถเข้าไปสู่การทดสอบที่สามได้

และสำหรับเหตุผลที่พวกเขาสามารถทำให้สำเร็จได้นั้น มันเป็นเพราะ ‘การร่วมมือกัน’

“จากที่เจ้าพูด การทดสอบที่สองนั้นอันตรายนัก และกระทั่งพวกเจ้าทั้งหมดร่วมมือกัน มันย่อมยังคงมีการบาดเจ็บและการตายเกิดขึ้น นั่นหมายความว่ามันมีเหตุผลอื่นที่ทำให้พวกเจ้าทั้งหมดผ่าน”

ดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งส่องประกายวูบขณะที่ชายชราจับจุดสำคัญได้

“มันมีอีกเหตุผลหนึ่ง จ้าวเฟิง ไอ้ตัวบัดซบไร้ยางอายนั่นมีโชคที่น่าขยะแขยงและทำความเข้าใจพลังจิตโจมตีทางเสียงที่สามารถตอบโต้ค้างคาวพวกนั้นได้…”

กวานเฉินพึมพำ

พลังจิตโจมตีทางเสียง?

ประกายแสงแล่นวูบในดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งขณะที่เขาหันไปสบตากับจ้าวสำนัก

ด้วยประสบการณ์ของพวกเขา มีหรือที่พวกเขาจะไม่รับรู้ว่ากวานเฉินนั้นมีความเอนเอียง?

“โอ้ ใช่ เฉินเอ๋อร์ สิ่งใดที่เจ้าได้รับจากการทดสอบ และรางวัลคืออันใด?”

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนแย้มยิ้มและเปลี่ยนเรื่อง

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้เผยสีหน้าสนใจออกมาเมื่อยามที่พวกเขาได้ยินเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม กวานเฉินนั้นคือผู้ที่สามารถไปยังการทดสอบที่สามได้ มันย่อมมีของรางวัลบางอย่าง

“ศิษย์ผู้นี้มีคะแนนรวม 150 แต้มโดยที่ข้าแลกเปลี่ยนวิชามนุษย์ระดับสูงมา ทั้งข้ายังได้รับอาวุธและสมุนไพรอีกจำนวนหนึ่ง…”

ชายหนุ่มเอ่ยรายงานถึงสิ่งที่เขาได้รับ

วิชาชั้นมนุษย์ระดับสูงได้ถูกแลกเปลี่ยนโดยแต้มของเขา ในขณะที่สิ่งอื่นๆ ก็ไม่นับว่าแย่เช่นกัน

แน่นอน เขาไม่ได้รับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงหรือเหนือไปกว่านั้น

“ไม่เลว 150 แต้ม เจ้าได้ให้ความร่วมมือกับสำนักเป็นอย่างดีด้วยการนำวิชามนุษย์ชั้นสูงมา”

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเอ่ยชม

ในสำนักนั้นไม่มีวิชามนุษย์ระดับสูงมากนัก และวิชามนุษย์ระดับสูงที่เพิ่มขึ้นเองก็ได้เพิ่มพลังของสำนักขึ้นเช่นกัน

“150 เป็นแต้มระดับกลางค่อนไปทางสูงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา”

ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มรอยยิ้มพร้อมผงกศีรษะ

เหล่าผู้อาวุโสต่างคาดหวังต่อศิษย์ที่เหลือที่ยังคงอยู่ภายในการทดสอบ

มีทั้งหมดเจ็ดคนที่สามารถเข้าไปยังการทดสอบสุดท้ายได้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปีที่ผ่านมา

อีกหกคนนั้นอาจกระทั่งได้รับสิ่งที่ดีกว่าหากกวานเฉินมีแต้มถึงเพียงนี้แล้ว…

“บัดนี้เป็นเวลาสิบแปดวันแล้ว และจากการทดสอบสิบครั้งที่ผ่านมา มีเพียงศิษย์น้องไฮ่หยุนที่สามารถมีชีวิตรอดได้เกินหนึ่งเดือน”

ใบหน้าของแม่เฒ่าหลิวเยว่แดงก่ำขณะที่นางหัวเราะออกมา

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนได้ทำลายสถิติของช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา และเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถมีชีวิตรอดได้ถึงหนึ่งเดือนหรือนานกว่าในสิบการทดสอบที่ผ่านมา

นี่คือคะแนนที่ดีที่สุด

ทว่า จากสภาพของรุ่นนี้ มันมีโอกาสที่จะทำลายสถิติของเขาลงได้

คาดหวัง!

เหล่าผู้อาวุโสล้วนตื่นเต้น

คะแนนที่สูงที่สุดในครานี้คือเท่าใดกัน? เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำลายคะแนนของผู้อาวุโสไฮ่หยุน?

ผู้อาวุโสไฮ่หยุนเองก็ได้คาดหวังและคิดขึ้นอย่างเงียบงัน

“เป่ยโม่ย เจ้าอย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง…”

การทดสอบยอดนภา เกาะพรมแดนนภา

ในเสี้ยวพริบตา วันหนึ่งได้ผ่านพ้นไป

ร่างของจ้าวเฟิงบินอย่างมั่นคงผ่านภูเขาน้ำแข็ง

เขานั้นใช้ความเร็วเพียงครึ่งหนึ่ง ทว่ายังคงสามารถสลัดสัตว์อสูรโลหะทมิฬทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย

“ความเร็วของสัตว์อสูรจะรวดเร็วขึ้น”

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหยุดฝีเท้าลง รับรู้ได้ถึงความกดดันเล็กๆ

จากการคาดประมาณของเขา สัตว์อสูรโลหะทมิฬจะมีความเร็วเทียบเท่านภาที่สี่ในราวๆ วันที่ห้า และเมื่อเป็นเช่นนั้น กระทั่งหยางก่านที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังยากที่จะมีชีวิตรอด

นั่นเป็นเพราะสัตว์อสูรโลหะทมิฬไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยุดพักหรือฟื้นฟูพลัง ในขณะที่พวกเขาต้องทำ

นั่นยังหมายความว่าความเร็วระหว่างนภาที่สามและนภาที่สี่นั้นมีช่องว่างอย่างมากอยู่

นอกจากนั้น มันกระทั่งมีศิษย์บางคนที่ยังไม่ได้เข้าสู่นภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ซึ่งหมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับคนเหล่านั้นในการมีชีวิตรอดจนถึงวันที่ห้า

วันแรก.. วันที่สอง… วันที่สาม…

ศิษย์ที่เหลืออยู่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น

สัตว์อสูรโลหะทมิฬไม่รู้จักความเหนื่อยล้าหรือจำต้องพักผ่อน ในทางกลับกัน ความเร็วของมันได้เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

ในวันที่สาม หลิวเหย่เอ๋อร์และหลินฟ่านล้วนรู้สึกอ่อนล้า

พลังฝึกตนของทั้งสองนั้นอยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และความเร็วของสัตว์อสูรไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเท่าใดนัก

สำหรับผู้อื่นเช่นเป่ยโม่ยและหลันเสี่ยวหยวน พวกเขาต่างได้ทะลวงเข้าสู่นภาที่สี่ไปแล้ว

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่แห่งนี้ หยางก่านเกือบจะเข้าสู่นภาที่หก

การทดสอบในครานี้ได้ให้คะแนนสูงกว่า และได้บีบคั้นความสามารถของพวกเขาออกมา

“หากยังคงเป็นเช่นนี้ ความเร็วของสัตว์อสูรโลหะทมิฬจะตามทันข้าในวันที่เจ็ด”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน

เขาตระหนักได้ว่าเขาย่อมตายตกในที่สุดหากยังคงวิ่งหนีต่อไป และหนทางใหม่ของความคิดก็ได้ปรากฏขึ้น

เหตุใดจึงไม่ฆ่าศัตรูแทนที่จะถูกฆ่า?

คนทั่วไปย่อมมีตัวเลือกเดียวเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และนั่นคือการหลบหนี เพราะหากพวกเขาต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโดยตรง ความตายย่อมเป็นเพียงคำตอบเดียว

ทว่าการหนีไม่ได้ส่งผลใดๆ มากเมื่อความเร็วของสัตว์อสูรจะมากขึ้นเรื่อยๆ และตามทันในที่สุด

“จัดการสัตว์อสูร!”

สมองของจ้าวเฟิงได้ให้กำเนิดความคิดที่น่าพรั่นพรึงประการหนึ่งขึ้น

เหตุใดจึงไม่ทำลายอันตรายนั้นเสียก่อนที่มันจะทำลายเจ้า?

ฟึ่บฟึ่บ

ในตอนนี้เอง เงาขนาดยักษ์ของสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้บินตรงมา

กลิ่นอายของมันได้ทำให้เด็กหนุ่มยากที่จะหายใจ ความคิดของเขายังคงหมุนวน

“มันสถานที่ที่อันตรายมากๆ อยู่สองที่ที่กระทั่งทำให้ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องตายตกหากพวกเขาประมาทเลินเล่อ”

เมื่อคิดถึงยามนี้ เด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนทิศทาง

จุดหมาย: แม่น้ำงูมังกรเหมันต์!

ความเร็วของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลพร้อมกับที่เขาใช้พลังของเสื้อคลุมเงาหยินและมุ่งหน้าตรงไปยัง ‘ผลึกน้ำตาสีน้ำเงิน’ ในบ่อน้ำเยือกแข็ง

แม้ว่าเสื้อคลุมของเขาจะสามารถทำให้เขาหายตัวได้ มันก็ไม่อาจหลบซ่อนเขาจากสิ่งมีชีวิตในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้

นอกจากนั้น เขามีตรายอดนภาอยู่ภายในร่างกายที่ได้ถูกจับจ้องโดยสัตว์อสูรโลหะทมิฬ หมายความว่าไม่ว่าเขาจะวิ่งเร็วเพียงใด เขาก็ยังคงไม่อาจหลบหนีจากมันได้

สี่ชั่วโมงต่อมา

บ่อน้ำเล็กเย็นยะเยือกได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

น้ำภายในบ่อนั้นเป็นสีน้ำเงินประหลาด และรอบด้านของมันนั้นได้เต็มไปด้วยน้ำแข็ง

จ้าวเฟิงเข้าไปใกล้บ่อน้ำเยือกแข็ง ความเย็นที่แผ่กระจายออกจากมันเกือบจะแช่แข็งร่างของเขา

เด็กหนุ่มโคจรพลังสายเลือดของเขาและคันศรโหลวฮัวออกมา ซึ่งลดความเย็นเยียบนั้นลงกว่าครึ่ง

ส่วนหนึ่งของมันได้ถูกต่อต้านโดยพลังสายเลือดของเขา ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งได้ถูกดูดซึมไปโดยสัญลักษณ์บัวหิมะบนคันศรโหลวฮัว ทำให้สัญลักษณ์นั้นส่องประกายสีน้ำเงิน

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวยืนอยู่ใกล้บ่อน้ำเยือกแข็งและเฝ้ารอ จากนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึกและจับจ้องไปยังบ่อน้ำ

มีเพียงเขาที่รับรู้ถึงความน่าพรั่นพรึงของสถานที่แห่งนั้นว่าไม่ควรเข้าไปเพียงใด เขาได้แตะมันโดยบังเอิญเมื่อคราที่แล้ว และทั้งเกาะพรมแดนนภาก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง พลังเช่นนี้คืออันใดกัน?

จากที่ไกลๆ กลิ่นอายของสัตว์อสูรโลหะทมิฬได้เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

มันกำลังมา…

สัตว์อสูรโลหะทมิฬคำรามพร้อมกับที่ร่างของมันเข้ามาสู่สายตา

ผมสีครามของเด็กหนุ่มพลิ้วไหวไปกับสายลมเช่นเดียวกับผ้าคลุมเงาหยินเบื้องหลังเขาที่ได้ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ลึกลับออกมา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!