Skip to content

King of Gods 241

King Of Gods

บทที่ 241 : ฝันร้ายจากแดนไกล

ขั้นผู้วิเศษแท้คือสวรรค์ที่สองของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง และคนเหล่านี้ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดป่าเมฆาคล้อย เพียงพลิกฝ่ามือก็สั่งสายฝนได้

ในพื้นที่ป่าเมฆาคล้อย จำนวนของเหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้นั้นสามารถนับได้ครบไม่เกินหนึ่งมือ

ตัวอย่างเช่น ไม่มีผู้ใดในสำนักจันทร์สลายอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้เลยแม้แต่คนเดียวในเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา

สำนักจันทราที่แข็งแกร่งที่สุด ‘สำนักวิญญาณจันทร์’ ได้ปรากฏยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้เมื่อสองร้อยปีก่อน ทว่าเมื่อไม่นานหลังจากที่เขาทะลวงขั้นต่อไปได้ เขาก็ได้ออกจากพื้นที่ป่าเมฆาคล้อยและมุ่งหน้าตรงไปยังใจกลางทวีปเหนือ จากนั้นข่าวคราวของเขาก็หายไป

สามยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ล้วนมาจากสำนักดาบเมฆา วิหารโบราณ และสำนักเสวียนเจินเมิ่น เป็นตัวแทนของสามสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบสามสำนัก

กระทั่งสีหน้าของกลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะยังแปรเปลี่ยนไปเมื่อมองไปยังสามยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้

ในยามนี้ กลิ่นอายของทั้งสามจากขั้นผู้วิเศษแท้ได้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ พวกเขาคือผู้นำของสิบสามสำนัก

โดยปกติแล้ว คนเหล่านี้คือผู้อาวุโสใหญ่และหาตัวได้ยากนัก

ทว่างานพันธมิตรที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปีเองก็มีความพิเศษอยู่ไม่น้อย ทั้งยังต้องการยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ในการเปิดเส้นทางสู่ซากแก่นก่อกำเนิด

“เปิดค่ายกล”

ปราณจิตวิญญาณแท้จากสามยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ได้เชื่อมต่อกับโลกและ ‘เหวสุญญากาศ’ ยังคงขยายออกเรื่อยๆ

รอบเหวสุญญากาศคือกำแพงน้ำ หากมันพังทลายลง น้ำหนักของมวลน้ำหลายร้อยกิโลกรัมนับว่าน่าหวาดกลัวนัก

กำแพงน้ำรอบเหวสุญญากาศยังคงขยายออกจนถึงซากแก่นก่อกำเนิดที่อยู่ที่ก้นทะเลสาบ

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองมัน วิเคราะห์ว่าเส้นทางนี้ได้ถูกสร้างขึ้นโดยค่ายกล และต้องมีพลังจากยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้สามคนรวมทั้งวิธีการพิเศษจึงจะเปิดมันได้

“อย่าได้เสียเวลา พลังของค่ายกลอยู่ได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น หลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดสามารถอยู่ต่อได้”

สามยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ลอยอยู่สามมุม

จ้าวเฟิง ชางหยูเยว่ และหลินทงได้มุ่งหน้าตรงไปยังเหวสุญญากาศภายใต้การจับจ้องของผู้คน

ฟุ่บ

จ้าวเฟิงทะยานขึ้นสู่อากาศ ร่างกายเลือนรางลงพร้อมกับประกายสายฟ้าที่สว่างวาบ พุ่งออกไปก่อนชางหยูเยว่และหลินทง

ในด้านของความเร็วเพียงอย่างเดียว จ้าวเฟิงสามารถเอาชนะชางหยูเยว่และหลินทงได้อย่างง่ายดาย การกระทำของเขานั้นราวกับพิสูจน์ว่าตำแหน่งยอดดาราของเขานั้นไม่อาจสั่นคลอนได้

มรดกอัสนีได้เพิ่มความเร็วของเด็กหนุ่มขึ้นอย่างมากแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ใช้พลังสายเลือดและผ้าคลุมเงาหยิน

ผู้ที่อยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งสามมองเห็นทุกสิ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่จากสำนักดาบเมฆาเป็นผู้ฝึกดาบที่มีเรือนผมสีเงิน ใบหน้าไร้อารมณ์

ในสายตาของเขา กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นมนุษย์แท้ก็ไม่อาจนับเป็นอันใด และเด็กหนุ่มผู้นั้นก็เป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่จากสำนักเสวียนเจินเมิ่นเป็นผู้ฝึกตนชรา เขาได้หรี่ตามองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว

สองคนนั้นเพียงเหลือบมองจ้าวเฟิงครั้งหนึ่ง

มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่จากวิหารโบราณ ชายหนุ่มผมม่วงพร้อมกับปานสีแดงที่กลางหน้าผาก ที่กวาดตามองจ้าวเฟิงด้วยความเย็นชา

มันทำให้เด็กหนุ่มต้องสะอึก

ผู้อาวุโสหลักจากวิหารโบราณดูจะมีความมุ่งร้ายต่อเขา

แน่นอนว่าด้วยพลังฝึกตนของอีกฝ่าย เขาย่อมดูแคลนเกินกว่าที่จะโจมตีเด็กน้อยผู้หนึ่ง แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเป็นยอดอัจฉริยะก็ตาม

จ้าวเฟิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเป็นอันดับหนึ่งในงานพันธมิตร เขาก็ยังคงไม่อาจนับเป็นอันใดได้ในสายตาของยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงมีความมุ่งร้ายต่อเขากัน?

อย่างน้อยที่สุด

ผู้อาวุโสหลักจากสำนักดาบเมฆาและสำนักเสวียนเจินเมิ่นก็ยังดูมิมีความประสงค์ร้ายใดๆ ต่อเขา

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้ครองอันดับหนึ่ง มันก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าวิหารโบราณจะได้ครองอันดับหนึ่ง ทั้งในขณะเดียวกันผู้อาวุโสหลักจากสำนักดาบเมฆายังคงนิ่งเฉย นั่นหมายความว่าการกระทำนี้นับว่าไม่ปกติ

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มพลันจดจำขึ้นได้ถึงวิหารโบราณกลางป่า ร่างในชุดคลุมเองก็ได้มาจากวิหารโบราณ ทั้งยังไม่ได้ดูจะมีตำแหน่งต่ำต้อยในลัทธิมารจันทราชาด

หลังจากภารกิจนั้น จ้าวเฟิงได้บอกผู้อาวุโสหนึ่งและผู้อาวุโสหนึ่งเองก็ได้พูดคุยเรื่องนี้ในงานสามสำนักตอนนั้นด้วย

ในเรื่องนี้ ทั้งสามสำนักได้กวาดล้างผู้ที่น่าสงสัยในสำนักของพวกเขา และพยายามค้นหาสายลับในสำนัก

ผลที่ได้คือคนของลัทธิมารจันทราชาดนั้นได้แทรกซึมเข้ามาในบรรดาคนวงนอกเพียงเท่านั้น

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ภายใต้สายตาของผู้คน ทั้งสามดาราได้เข้าไปในเหวสุญญากาศ

ในขณะที่มุ่งหน้าลงไป จ้าวเฟิงได้ยินเสียงของสายน้ำโดยรอบ สายน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัมได้ถูกบังคับให้ไหลออกจากเส้นทาง วนเวียนอยู่ภายนอกไม่หยุดยั้ง

จ้าวเฟิง ชางหยูเยว่ และหลินทงมุ่งไปตามเส้นทางสู่ก้นของทะเลสาบ

ที่ก้นของทะเลสาบได้ปรากฏหลุมใหญ่รัศมีนับสิบลี้ขึ้น

ก่อนที่ทั้งสามจะได้ไปถึง พวกเขาก็ได้รู้สึกถึงพลังวิเศษลึกลับรอบหลุมนั้นที่ดูเหมือนจะเพียงพอในการบดขยี้น้ำนับแสนกิโลกรัม

เท้าของจ้าวเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือก โลหิตเลือดเนื้อของเขารู้สึกถูกกดดันจากกลิ่นอายที่เหนือกว่าจนยากที่จะขยับเคลื่อนไหว

ทั้งสามรู้สึกว่าในหลุมได้ปรากฏยอดฝีมือที่สามารถพลิกมหาสมุทรและล้มล้างสรรค์ได้นั่งอยู่

“มันคือพลังเจตจำนงที่ยังคงเชื่อมต่อกับสวรรค์ ทำให้เกิดพลังอันน่าเหลือเชื่อ”

จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเคารพ

เช้ง เช้ง เช้ง!

ทั้งสามลอยอยู่ในหลุม พลังเจตจำนงที่หลงเหลือได้แข็งแกร่งขึ้น

ปราณต้นกำเนิดในหลุมนั้นอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาดอย่างมาก มันราวกับจะผลักไสทุกสิ่งที่เข้าใกล้มัน

คว้างงง!

กำแพงน้ำด้านบนหลุมได้กลับมาสงบอีกครั้งพร้อมกับที่น้ำนับหมื่นตันจะเริ่มเทกลับลงมา

จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับว่าเขาไม่อาจหายใจได้ เพียงพลังหนึ่งในร้อยส่วนของสายน้ำนั้นก็สามารถบดขยี้เขาให้กลายเป็นฝุ่นผงได้แล้ว

หากถูกโจมตีขึ้นมา ร่างที่สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อจะสามารถต้านทานมวลสารที่หนักนับล้านตันได้อย่างไร?

ภาพต่อไปได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเขา

เมื่อสายน้ำเหล่านั้นได้เข้าไปใกล้หลุม ความเร็วของมันก็พลันเชื่องช้าลง

“พื้นดินในหลุมนี้ไม่เปียก หรือเป็นว่า…?”

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายระริก

ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น น้ำทั้งหมดก็ได้ถูกป้องกันไม่ให้เข้าไปในซากปรักหักพังนั้น

สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่สะอาดที่สุดใต้ทะเลสาบ

ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียวสามารถเข้าไปในนั้นได้

“หากไม่มีพลังของค่ายกล เราย่อมไม่อาจเข้าไปในซากแก่นก่อกำเนิดได้”

ดวงตาของชางหยูเยว่ส่องประกายวูบขณะที่นางกวาดตามอง สายน้ำสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นเหนือร่างพวกเขา

หลังจากนั้น ทั้งสามจึงแยกตัวไปในทางของตนเพื่อค้นหาสำนึกรู้

จ้าวเฟิงเปิดเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขาและกวาดมองหลุมทั้งหลุม เขาวิเคราะห์ว่าสถานที่ที่กว้างนับสิบลี้นี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากพลังของฝ่ามือหนึ่ง

“หากมังกรที่ถูกผนึกมีพลังที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นเขาย่อมลำบากเพียงไม่กี่ลมหายใจในการทำลายเทือกเขานภาจันทร์ ค่ายกลป้องกันในเทือกเขานภาจันทร์ย่อมไม่อาจป้องกันการโจมตีนี้ได้”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ

ที่ขอบหลุม คนผู้หนึ่งสามารถเห็นรอยนิ้วมือจำนวนหนึ่ง ประกอบรวมกันเป็นหนึ่งฝ่ามือ

มันราวกับเป็นฝ่ามือแห่งสวรรค์ มีพลังอันไร้ขีดจำกัด

จ้าวเฟิงเข้าในที่สุดว่าเหตุใดยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจึงได้กลายเป็นตำนานในทวีปแห่งนี้

ยอดฝีมือในระดับนี้มีพลังทำลายล้างมหาศาล พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำลายสมดุลของชีวิตได้

ร่างของจ้าวเฟิงเคลื่อนย้ายผ่านหลุมและกวาดตามองรอบด้าน

ไม่ช้า

เขาก็พบฟูกเก่าขาดชิ้นหนึ่งที่มีพลังเจตจำนงที่แข็งแกร่งอยู่ภายใน

เด็กหนุ่มใช้พลังสายเลือดของเขาและสามารถขยับเข้าไปใกล้ฟูกนั้นได้อย่างกล้ำกลืน

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา รับรู้ได้เพียงเสียงคำรามก้องและสายน้ำที่ไหลเวียนอย่างลึกล้ำ

แน่นอนว่าสิ่งที่ทุกคนรับรู้ได้ล้วนแตกต่างกัน

ความรู้สึกที่ได้รับนั้นเป็นพลังมาจากหลุมลึกอยู่ภายใน ทั้งพลังนั้นยังยากที่จะแตะต้องได้

ซากนี้ควรจะเป็นสถานที่ฝึกตนของมังกรที่ถูกผนึก

ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้แม้ว่าจะผ่านไปกว่าพันปี พลังเจตจำนงของมันก็ยังคงไม่หายไป

ความลึกลับของโลกใบนี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จ้าวเฟิงจะสามารถขบคิดออกได้ในระดับของเขา

“พลังนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สายน้ำ สายลม หรือสายฟ้า… ทว่ามันดูราวกับได้สำรวจไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ควบคุมสายน้ำ เปลวเพลิง และสายฟ้า…”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน

ยามที่พวกเขาทำความเข้าใจในสำนึกรู้ ภาพจะพุ่งวาบผ่านสมองของพวกเขา

เด็กหนุ่มพบว่าพลังของมังกรที่ถูกผนึกนั้นแตกต่างไปจากผู้คนปกติ โดยที่พลังนั้นไม่ขึ้นอยู่กับฝ่ายใด แต่กลับสามารถควบคุมธาตุอื่นๆ ได้

เพื่อที่จะรับรู้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จ้าวเฟิงได้ใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขา ให้ภาพที่เขามองเห็นชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

ในภาพนั้น ทะเลสาบได้หมุนวนบ้าคลั่ง ภายใต้เสียงคำราม คนผู้หนึ่งดูราวกับจะสามารถควบคุมสายฟ้า สายลม และสายน้ำได้

มันดูเหมือนจะมีร่างของมังกรเก้าตัวปรากฏอยู่ในหมู่เมฆ

กลิ่นอายนั้นแทบจะปิดกั้นพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงและทำให้เขาหลุดออกจากภาพนั้น

“หรือเป็นว่ามังกรที่ถูกผนึกเองก็มีพลังสายเลือด? นี่นับเป็นสาเหตุให้ในนามของเขามีคำว่า มังกร หลบซ่อนอยู่หรือไม่?”

จ้าวเฟิงคาดเดาอยู่ในใจ

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นนั่งบนไหล่ของจ้าวเฟิงขณะที่กวาดตามองสถานที่แห่งนั้นด้วยสายตาสีดำใส

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเฟิง ชางหยูเยว่ และหลินทงต่างก็จมลงสู่ภาพที่แปลกประหลาดนั้น

หนึ่งในนั้นคือจุดสำคัญของจ้าวเฟิง มันคือความสามารถในการควบคุมสายฟ้าเช่นที่ต้องการ รวมทั้งความเข้าใจของมังกรที่ถูกผนึก

โดยเฉพาะกฎแห่งสายฟ้า มันกระทั่งลึกล้ำกว่ามรดกอัสนีชั้นแรก

ความเข้าใจในมรดกอัสนีของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางส่วนที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ก่อนหน้าได้ถูกคลายลงแล้ว

ขั้นสุดยอดของระดับหกของฝ่ามือวายุอัสนีเองก็มีการพัฒนา มันได้ถูกสร้างขึ้นใหม่จากวิชาเก่า

เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

ทุกคนมีเวลาเพียงครึ่งวันในซากแก่นก่อกำเนิด

และบัดนี้เวลาเพียงสี่ชั่วโมงเพิ่งจะผ่านพ้นไป

เหวสุญญากาศได้ถูกปิดไว้โดยสายน้ำที่ได้กลับมาสงบลงอีกครั้ง

ผู้คนที่อยู่ด้านบนไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านล่างได้

เนื่องจากงานพันธมิตรได้สิ้นสุดลงแล้ว สำนักต่างๆ ส่วนมากจึงได้ทยอยกันกลับ

ฟุ่บ!

ในยามนี้เอง ผู้ที่มีกลิ่นอายในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งได้พุ่งผ่านอากาศ

ผู้มาใหม่เป็นผู้อาวุโสจากสำนักดาบเมฆาและอยู่ในความเร่งรีบอย่างมาก

“ผู้อาวุโสหลัก เกิดเลวร้ายขึ้นแล้ว!”

ผู้อาวุโสจากสำนักดาบเมฆาตะโกนอย่างเร่งร้อน

“เกิดอันใดขึ้น?”

ผู้ฝึกดาบผมเงินเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์

“ครึ่งเดือนก่อน แคว้นมังกรโลหะได้บัดขยี้แคว้นสมบัตินภา สองในเจ็ดกองกำลังของแคว้นสมบัตินภาได้ถูกทำลาย ในขณะที่อีกสามได้ยอมแพ้ ในบรรดาพวกที่พ่ายแพ้ หนึ่งในนั้นคือกองกำลังอันดับหนึ่งของแคว้นสมบัตินภา ‘ศาลาวายุนภา’… ”

อันใดนะ!?

แคว้นสมบัตินภาพ่ายแพ้? ศาลาวายุนภาถูกทำลาย?

เหล่าคนรุ่นเก่าในสิบสามสำนักล้วนอุทานออกมา หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ

ทุกคนล้วนรู้ว่าการที่แคว้นมังกรโลหะเอาชนะแคว้นสมบัตินภาได้นั้นหมายถึงสิ่งใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!