บทที่ 242 : ม่านป้องกันอัสนี
มันคือฝันร้ายของทั้งสิบสามสำนัก
กระทั่งสีหน้าไม่ยินดียินร้ายของเหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ทุกคนล้วนรู้ว่า
สิบสามสำนักแห่งป่าเมฆาคล้อยนั้นอยู่ระหว่างสองแคว้นใหญ่ โดยที่มันมักจะมีการปะทะกันของสำนักในทั้งสองแคว้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อสมดุลระหว่างสองแคว้นพังทลาย มันย่อมส่งผลต่อสิบสามแค้วนแห่งป่าเมฆาคล้อย
สำนักจันทร์สลายเองก็ตื่นตะลึงเช่นกัน
“แคว้นสมบัตินภาและแคว้นมังกรโลหะมักจะเท่าเทียมกันเสมอ ในเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ สิ่งใดกันที่ทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอย่างกะทันหัน?”
สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเคร่งเครียดและไม่สบายใจอย่างหนัก
สำหรับสิบสามสำนัก ทั้งสองแคว้นต่างก็มีความยิ่งใหญ่พอกัน เป็นแคว้นที่ทรงพลังอย่างมาก
“ศาลาวายุนภาคือผู้นำของเจ็ดสำนักแห่งแคว้นสมบัตินภา พวกเขามียอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้สามถึงสี่คน ทั้งยังมีมรดกที่เก่าแก่ยิ่งนัก เหตุใดพวกเขาจึง…”
ใบหน้าของจ้าวสำนักจันทร์สลายเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ
ศาลาวายุนภา กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นสมบัตินภาที่สามารถทำลายทั้งสิบสามสำนักได้ด้วยเพียงหนึ่งฝ่ามือ แข็งแกร่งกว่าสำนักจันทร์สลายนับสิบเท่า
มันนับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่สำนักที่ทรงพลังเช่นนั้นจะถูกทำลายลงในระยะเวลาสั้นๆ
เกิดอันใดขึ้นในการต่อสู้นั่น?
แคว้นมังกรโลหะได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งใด? ทำให้พวกเขาสามารถทำลายแคว้นสมบัตินภาได้รวดเร็วเพียงนี้
คำถามได้ปรากฏขึ้นในบรรดาสิบสามสำนัก
“เท่าที่ข้ารู้ มันดูเหมือนจะมีการเข้ามายุ่งเกี่ยวของทายาทลัทธิมารจันทราชาด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แคว้นสมบัตินภาได้ขอความช่วยเหลือจากสิบสามสำนัก ข้าบังอาจถามท่านผู้อาวุโสใหญ่ได้หรือไม่…?”
ผู้อาวุโสที่รายงานข่าวจากสำนักดาบเมฆาเอ่ยถามอย่างเคารพนบนอบ
สามยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของป่าเมฆาคล้อยและมีพลังที่จัดตัดสินชะตากรรมของสิบสามสำนัก
นอกจากนั้น เหล่าระดับสูงจากทั้งสิบสามสำนักล้วนได้ปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ฝูงชนแสดงสีหน้าหนักหน่วงขณะที่สามผู้อาวุโสหลักและเหล่าระดับสูงจากแต่ล่ะสำนักรวมตัวกัน
“เมื่อแคว้นมังกรโลหะทำลายแคว้นสมบัตินภา เป้าหมายต่อไปของพวกเขาย่อมเป็นพวกเราสิบสามสำนัก”
“หากพวกเราสิบสามสำนักร่วมมือกันและช่วยเหลือแคว้นสมบัตินภา เราอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้”
“ทายาทจากลัทธิมารจันทราชาดได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในสงครามครั้งนี้ ดังนั้นมันย่อมไม่ธรรมดาเฉกเช่นที่เห็น เพื่อความมั่นใจ เราควรจะขอความช่วยจากคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
ผู้อาวุโสจากสิบสามสำนักเริ่มสนทนากัน
ท่ามกลางการโต้เถียงนั้น ใครบางคนก็ได้เอ่ยขึ้น “แคว้นมังกรโลหะได้ส่งคนมาดูงานพันธมิตรในครานี้ด้วย”
ประโยคนั้นได้ทำให้สายตาของทั้งสิบสามสำนักไปรวมกันที่จุดจุดหนึ่ง
ณ ศาลาผู้ชม กลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะนั่งอย่างนิ่งเงียบด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
สตรีสูงศักดิ์สวมหน้ากากสีเงินยืนขึ้นพร้อมกับหัวเราะ “นี่คือช่วงเวลาชี้ชะตาเป็นตายยสำหรับพวกเจ้าสิบสามสำนักแล้ว”
“จงก้มศีรษะให้แก่แคว้นมังกรโลหะหรือตาย”
น้ำเสียงเย็นเยียบราบเรียบดังขึ้นจากร่างในชุดสีดำ
สตรีสวมใส่หน้ากากเงินและร่างในชุดดำยืนเคียงข้างกัน ปราณจิตวิญญาณแท้ไหลบ่าออกจากร่าง
ขั้นผู้วิเศษแท้
เหล่าระดับสูงของทั้งสิบสามสำนักสีหน้านิ่งอึ้ง
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีสองยอดฝีมือจากขั้นผู้วิเศษแท้จากแคว้นมังกรโลหะมาชมดู
กลิ่นอายของสตรีที่สวมใส่หน้ากากเงินนั้นเทียบเท่าได้กับสามผู้อาวุโสหลัก
ทว่ากลิ่นอายของร่างในชุดดำนั้นกระทั่งเหนือกว่า ซึ่งก็คือเหนือกว่าสามผู้อาวุโสหลัก
ในยามนี้ กลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะต่างก็ปลดปล่อยกลิ่นอายของตนออกมา เหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนับสิบ ในขณะที่ที่เหลือนั้นหากมิอยู่ในนภาที่เจ็ดก็อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
สิบสามสำนักนิ่งอึ้งในคราแรก แต่จากนั้นจึงหัวเราะอย่างเย็นชาด้วยความเหยียดหยาม
“หึ! เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถคุกคามเราได้ด้วยจำนวนคนเพียงเท่านี้?”
“ฮี่ฮี่ฮี่ เจ้านำคนในขั้นผู้วิเศษแท้มาเพียงสองคนเท่านั้น มิกลัวว่าจะพ่ายแพ้ให้เราหรือ”
แน่นอนว่า
ในงานพันธมิตรครั้งนี้ มียอดฝีมือจากสิบสามสำนักอยู่ที่นี่จำนวนมากจริงๆ
มากกว่าสามส่วนในคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนระดับกลางหรือไม่ก็ระดับสูงของแต่ล่ะสำนัก มีจำนวนหลายร้อยคน
ในทางกลับกัน คนจากแคว้นมังกรโลหะมีน้อยกว่านัก
“ฮี่ฮี่ จริงหรือ?”
ร่างลึกลับในชุดดำหัวเราะเล็กๆ ขณะที่นำธงสีดำออกมา
ฟุ่บ!
ธงสีดำได้โบกสะบัดพร้อมกับที่ลำแสงสีดำแปดลำได้พุ่งผ่านอากาศ สร้างควันขึ้นครอบคลุมไปทั่วทั้งเกาะ
แทบจะในวินาทีนั้น
จุดสีดำและแดงได้ปรากฏขึ้นในอากาศรอบทะเลสาบผนึกมังกร
จุดเหล่านั้นได้พุ่งตรงมายังเกาะ
“นั่นมัน…!?”
เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ยินเสียงบางอย่างโบกสะบัด
เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา
จุดสีดำและแดงได้ขยายใหญ่ขึ้นและกลายเป็นอินทรียักษ์สีโลหิต แต่ล่ะตัวมีขนาดหลายหลา เป็นราวกับก้อนเมฆสีโลหิต พวกมันได้บรรทุกผู้คนมาสิบถึงยี่สิบคนในแต่ล่ะตัว
อินทรีสีโลหิตนี้มีทั้งหมด 18 ตัว และแต่ล่ะตัวนั้นได้มียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอย่างน้อยหนึ่งคน
“อินทรียักษ์เมฆโลหิต? หรือพวกมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ลัทธิมารจันทราชาดเคยสร้างขึ้น?”
“เก้ากองกำลังแห่งมังกรโลหะ พวกเจ้ากล้าร่วมมือกับทายาทแห่งลัทธิมารจันทราชาด!?”
สิบสามสำนักคำรามขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว
ในด้านของแคว้นมังกรโลหะ ร่างในชุดดำและสตรีในหน้ากากสีเงินได้หัวเราะเย็นเยียบ
ตั้งแต่เริ่มต้นงานพันธมิตรจนถึงยามนี้ พวกเขาทำเพียงนั่งมองปาหี่อยู่
เป้าหมายของพวกเขาคือการหยุดยั้งมิให้สิบสามสำนักสนับสนุนแคว้นสมบัตินภา
“แทนที่จะปกป้องตัวตลกพวกนี้ มันจะดีกว่าหากเราเริ่มโจมตีก่อน”
“ชิชิ งานพันธมิตรของสำนักเล็กๆ เหล่านี้คือโอกาสที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวกเราในการทำลายพวกมันทั้งหมดในคราเดียว”
ยอดฝีมือจากแคว้นมังกรโลหะเผยสีหน้าอำมหิตออกมา
ร่างในชุดดำด้านหน้าที่เป็นผู้ถือธงดำเอ่ยขึ้นเสียงลั่น “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง จะยอมจำนนหรือตกตาย”
ฝูงชนเงียบงันลง
จากสถานการณ์ที่เห็น พลังของฝั่งแคว้นมังกรโลหะนั้นเทียบเท่ากับสิบสามสำนัก ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
“เราจะกลัวอันใด ร่วมมือกันต่อสู้แล้วค่อยรวบรวมกองกำลังของพวกเราหลังจากที่หลบหนีไป”
“ถูกแล้ว เรามีคนในขั้นผู้วิเศษแท้มากกว่าหนึ่งคน”
เหล่าระดับสูงของทั้งสิบสามสำนักได้พูดคุยกันผ่านจิตสื่อสาร ไม่ช้าจึงได้ข้อตกลง
สิบสามสำนักเป็นพันธมิตรกันและมีประสบการณ์ในการร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรูมาก่อน
“ฆ่า!”
ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนำกลุ่มคนพุ่งตรงไปยังแคว้นมังกรโลหะ
บรรยากาศพลันเต็มไปด้วยเสียงการต่อสู้และแสงสี
การต่อสู้ของยุทธภพได้เริ่มต้นขึ้น
“ไป”
ร่างลึกลับในชุดดำเค้นเสียงเย็นก่อนจะโบกธงสีดำในมือ
ทว่ากลุ่มคนจากแคว้นมังกรโลหะเบื้องหลังเขากลับไม่ขยับตัวแต่อย่างใด
ทันใดนั้น
“อ๊ากกก!”
เสียงกรีดร้องคำรามดังขึ้นจากในบรรดาสิบสามสำนัก
ร่างหลายร่างได้เริ่มโจมตีพันธมิตรของตนอย่างฉับพลัน
“เกิด… เกิดอันใดขึ้น?”
สิบสามสำนักยังคงงุนงงถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
จ้าวสำนักจันทร์สลายเองก็นิ่งอึ้ง
“ระวังสายลับ!”
ผู้อาวุโสหนึ่งมีการตอบสนอง
ทว่าเพียงเขาเอ่ยจบ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งภายในสำนักจันทร์สลายก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว
ผู้นำกลุ่มนั้นคือผู้อาวุโสหยุนไห่
“หยุนไห่… เจ้า…”
จ้าวสำนักจันทร์สลายเค้นเสียง โลหิตไหลย้อยลงที่มุมปากเมื่อแผ่นหลังถูกโจมตีโดยฝ่ามือของผู้อาวุโสหยุนไห่
ผู้อาวุโสหยุนไห่นั้นมีผู้คุมกฎที่มีอำนาจระดับกลางและรองหัวหน้าตำหนักหลายคนที่ร่วมมือด้วย
สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันได้ปรากฏขึ้นในสำนักอื่นๆ เมื่อสายลับของแต่ล่ะสำนักได้โจมตี
มันไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุดในเมื่อสายลับที่แท้จริงนั้นมีเพียงจำนวนหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือการทรยศของวิหารโบราณ
ชายหนุ่มผมม่วงพร้อมกับปานสีแดงที่กลางหน้าผาก ผู้ที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่จากวิหารโบราณพลันพ่นงูสายฟ้าสีดำแดงออกมาโจมตีไปยังผู้อาวุโสจากสำนักดาบเมฆา
“เจ้า… พวกเจ้าบังอาจ…”
ผู้ฝึกดาบเรือนผมสีเงินแห่งสำนักดาบเมฆาพลันกระอักโลหิตออกมาเมื่อถูกโจมตี
สำนักที่เหลือเองก็ตะลึงงัน
ทั้งวิหารโบราณได้ทรยศสหพันธมิตร!
“พวกแมลงโง่เง่า วิหารโบราณคือหนึ่งในตำหนักรองของลัทธมารจันทราชาดเมื่อหลายร้อยปีก่อน บัดนี้ได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว การคืนชีพของท่านผู้นำจะมาถึงในไม่ช้า มันเป็นเวลาที่ลัทธิจันทราชาดอันศักดิ์สิทธ์จะกลับมาสู่ทวีปนี้อีกครั้ง!”
ชายหนุ่มผมม่วงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ปานสีแดงบนหน้าผากของเขาได้บิดเบี้ยวพร้อมกับที่เศษเสี้ยวพลังจิตได้แพร่กระจายออก
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาใช้วิชาอะไร ทว่าเหล่ายอดฝีมือจากฝั่งพันธมิตรได้เริ่มต่อสู้กันเองด้วยดวงตาสีแดงชาน
ทั่วทั้งเกาะได้กลายเป็นลานเชือด
ก่อนที่ฝั่งพันธมิตรจะได้ทันตอบสนอง พวกเขาก็ถูกล้อมโดยแคว้นมังกรโลหะแล้ว
“อย่าให้รอดแม้แต่คนเดียว ฆ่าพวกมันให้หมด”
ผู้นำลึกลับในชุดสีดำโบกธงสีดำ
ก้นทะเลสาบ ซากแก่นก่อกำเนิด
จ้าวเฟิง ชางหยูเยว่ และหลินทงต่างก็จดจำความเข้าใจของพวกเขา
เจตจำนงที่อยู่ในซากเหล่านี้นั้นยอดเยี่ยมกระทั่งสำหรับชางหยูเยว่ที่มีความเชี่ยวชาญในดาบก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยในครั้งนี้
สำหรับจ้าวเฟิง เขาได้เข้าใจมรดกอัสนีมากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป กลิ่นอายของเขาก็ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ
ในทางหนึ่ง มันคือการทำความเข้าใจในสำนึกรู้ที่เติมเต็มลงในพลังจิตของเขา
และในอีกทางหนึ่ง ผลของยาปลดวิญญาณที่หลงเหลือก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาไป
ในเวลาหนึ่ง
ประกายไฟฟ้าที่เป็นราวกับใยแมงมุมได้หมุนวนไปรอบร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
ประกายสายฟ้าสีเขียวอ่อนเหล่านี้ได้ก่อตัวขึ้นเป็นม่านป้องกันอัสนี
“นี่คือ ‘ม่านป้องกันอัสนี’ ไม่ว่าสิ่งใดที่เข้าใกล้ร่างของข้าจะถูกทำลายลงด้วยสายฟ้าเหล่านี้”
จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้ม
การที่สร้างม่านป้องกันอัสนีขึ้นได้ มันหมายความว่าเขาได้มีความเชี่ยวชาญในระดับแรกของมรดกอัสนีอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน ฝ่ามือวายุอัสนีของจ้าวเฟิงก็ได้เข้าสู่ระดับเจ็ดที่เป็นระดับสูงสุด
เปรี๊ยะ!
จ้าวเฟิงแบมือออก ประกายสายฟ้าที่หนาเท่านิ้วนิ้วหนึ่งได้ปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือของเขา
ตูมมม
สายฟ้าสีเขียวครามได้พุ่งออกไป สร้างหลุมขึ้นบนพื้นหลุมหนึ่ง ปรากฏควันดำลอยขึ้นจากหลุมนั้น
“อืม พลังฝึกตนของข้าเกือบจะเข้าที่แล้ว…”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าความบริสุทธิ์ของปราณแท้ของเขานั้นเทียบเท่าได้กับนภาที่เจ็ด
ดังนั้นแล้วพลังฝึกตนในยามนี้ของเขาจึงสามารถเรียกได้ว่าอยู่ในนภาที่เจ็ด
“ฮ่าฮ่าฮ่า นับว่าได้ประโยชน์มากทีเดียว”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะพร้อมด้วยรอยยิ้ม
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยบนไหล่ของเขาได้โยนเหรียญทองแดง ก่อนจะส่ายศีรษะให้กับจ้าวเฟิง
“เกิดอันใดขึ้น?”
จิตใจของจ้าวเฟิงได้เชื่อมต่อกับจิตใจของแมวขโมยตัวน้อยและได้รับรู้ถึงข่าวร้าย
เด็กหนุ่มพลันใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขาและมองผ่านมวลน้ำไป เห็นภาพเลือนรางที่เบื้องบน
เป็นไปได้อย่างไร?
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้งไปเมื่อเขาเห็นภาพนั้น หยาดเหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา ความรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกได้แพร่กระจายไปทั่วร่าง