Skip to content

King of Gods 246

King Of Gods

บทที่ 246 : ภารกิจลับ

ในป่า ใจกลางสายฟ้าและสายฝน

กลุ่มหลบหนีของสำนักจันทร์สลายตัวชุ่มโชก ทว่าไม่มีวี่แววของความไม่พอใจบนใบหน้า ในทางกลับกัน มันกลับเต็มไปด้วยความยินดีและประหลาดใจ

ยามที่ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ปรากฏตัว พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะต้องตาย

ทว่าพวกเขากลับไม่ได้สิ้นชีพ และทั้งหมดเป็นเพราะเด็กหนุ่มผู้นั้น

ลมหายใจของจ้าวเฟิงถี่กระชั้น ใบหน้าขาวซีดกว่าก่อนหน้า ทว่าสีหน้ายังคงความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ ดวงตาแหลมคมกวาดมองรอบด้านอย่างต่อเนื่อง

ในตอนนั้น แม้ว่าทุกคนจะมองไปยังอีกฝ่ายราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด ดวงตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพและซาบซึ้ง

“ไป”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเรียบๆ ขณะที่นำทั้งกลุ่มเดินไปเบื้องหน้า

ฟู่ววว

ทั้งกลุ่มหลบหนีภายใต้คำสั่งของจ้าวเฟิงต่อไปโดยไร้ซึ่งความลังเล

และแม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้สึกอ่อนล้า ความเร็วในการเดินของเขาก็ไม่ได้เชื่องช้าแต่อย่างใด

สองชั่วโมง… ครึ่งวัน… หนึ่งวันหนึ่งคืน

จ้าวเฟิงแทบจะไม่พักผ่อนและบีบเค้นพลังงานทั้งหมดของกลุ่มออกมา

เมื่อทำเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่ได้พบอันตรายใดๆ ไม่พบแม้แต่สัตว์อสูรเหยาสักตัว

แม้ว่าทุกคนจะเริ่มเวียนศีรษะขณะที่พวกเขาเข้าไปยังป่าที่เป็นราวกับเขาวงกต

จ้าวเฟิงที่อยู่ด้านหน้าก็ยังคงเยือกเย็นสงบ ดวงตาซ้ายของเขาส่องประกายด้วยแสงสีเขียวคราม ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้

เมื่อใดก็ตามที่ทางดูจะตัน จ้าวเฟิงก็มักจะสร้างความประหลาดใจให้พวกเขา

หยางกานคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับพลังสายเลือดของผู้เป็นศิษย์น้อง

สุดท้าย ในวันนี้

ภายใต้การสั่งการของจ้าวเฟิง ทุกคนได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเป็นเวลาครึ่งวัน

ทั้งกลุ่มเหนื่อยล้า หลันเสี่ยวหยวนรวมทั้งหลินฝานที่มีพลังฝึกตนอ่อนด้อยกว่าแทบจะสิ้นสติไป

ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดมองทั้งกลุ่มพร้อมคิด

“สถานที่ที่เราอยู่ในยามนี้ห่างออกมาราวๆ หมื่นลี้จากการต่อสู้ ตราผีสามารถถึงตัวเขาได้เพียงในระยะหนึ่งพันลี้”

ผู้อาวุโสร่างเตี้ยก่อนหน้าบาดเจ็บสาหัส ร่างกายแทบจะถูกทำลายทั้งหมด หากเขาไม่รีบรักษา มันอาจสร้างอาการบาดเจ็บถาวรขึ้นได้

การที่แคว้นมังกรโลหะกำลังกวาดล้างสิบสามสำนักนั้น พวกเขาสามารถรับมือกับจ้าวเฟิงได้ด้วยการส่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่งมานับเป็นขีดจำกัดแล้ว

เมื่อคิดถึงยามนี้ หัวใจของจ้าวเฟิงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

สี่ชั่วโมงต่อมา

หลังจากพักผ่อนไปชั่วครู่ พวกเขาก็แทบจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ สีหน้าดูดีขึ้น

“ศิษย์น้องจ้าว แม้ว่าเราจะหลบหนีออกมาได้ แต่ท่านอาจารย์…”

หยางกานเต็มไปด้วยความกังวล

หลังจากการตายของจ้าวสำนักจันทร์สลาย ผู้อาวุโสหนึ่งก็ได้กลายเป็นแก่นกลางของสำนัก รวมทั้งการทรยศของผู้อาวุโสหยุนไห่ ความแข็งแกร่งของสำนักจันทร์สลายจึงลดลงอย่างมหาศาล

“พวกเขายังมีชีวิตอยู่”

เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่ง ส่งประกายแสงสีเขียวครามที่มีพลังจิตปะปนอยู่ออกไป มันดูราวกับจะสามารถไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้

ทั้งกลุ่มรู้สึกปลอดภัยยามที่ได้ยินคำของเด็กหนุ่มโดยไม่รู้ตัว

ทว่าจ้าวเฟิงนั้นยังคงเป็นกังวลอยู่

ถึงจะยังมีชีวิตอยู่ ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าทั้งสองได้หลบหนีออกมาหรือว่าปลอดภัยแล้ว

ในฐานะยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ผู้คนที่ไล่ล่าผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ย่อมแข็งแกร่งกว่านัก

“เอาเช่นนี้ รองหัวหน้าตำหนักหลี่และข้ารั้งอยู่ที่นี่ในขณะที่คนอื่นๆ ติดตามศิษย์พี่หยางกลับไปยังสำนักจันทร์สลายเพื่อที่จะเตรียมตัวรับมือ หากมีบางสิ่งดูผิดปกติที่สำนัก พวกท่านก็จงหลบซ่อนในป่าเมฆาคล้อย หรือออกจากสิบสามแคว้นไปเสีย”

จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง

ในยามนี้ อำนาจของเด็กหนุ่มนั้นไม่อาจสั่นคลอน

“ศิษย์น้องจ้าว ระวังตัวด้วย”

หยางกานมองไปยังผู้เป็นศิษย์น้องอย่างล้ำลึกขณะที่นำคนอื่นๆ เดินทางกลับไปยังสำนักจันทร์สลาย

ณ จุดนั้น

มีเพียงจ้าวเฟิงและรองหัวหน้าตำหนักหลี่เท่านั้นที่ยังอยู่

ก่อนที่พวกเขาจะจากไป หลันเสี่ยวหยวนและหลินฝานเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวล

มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่าเหตุใดสองผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มจึงรั้งอยู่เบื้องหลัง พวกเขารั้งอยู่เพื่อที่จะช่วยเหลือผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่

เหตุที่จ้าวเฟิงให้รองหัวหน้าตำหนักหลี่รั้งอยู่ด้วยมีสองประการ อย่างแรกเขาน่าเชื่อถือ อย่างที่สองพลังของอีกฝ่ายพอเทียบเคียงได้กับพลังของเขา

หากผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ถูกไล่ล่ามาโดยผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทั้งสองก็อาจช่วยเหลือได้บ้าง

“ไปทางนี้เถอะ”

จ้าวเฟิงพลันเลือกทิศทางหนึ่งราวกับว่าเทพเซียนได้นำทางเขาอยู่

รองหัวหน้าตำหนักหลี่ติดตามไปอย่างเงียบงัน

เขาไม่มีความรู้สึกย่ำแย่แต่อย่างใด ทว่ารู้สึกราวกับว่าเข้าใจถึงบางสิ่งในชีวิต

ย้อนกลับไป ยามที่จ้าวเฟิงเพียงเพิ่งกลายเป็นศิษย์สายใน เป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่ดิ้นรนจากจุดต่ำสุดของสำนัก

ทว่าบัดนี้ เพียงไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มผู้นั้นได้ก้าวขึ้นไปอยู่เหนือเขา

ทุกการตัดสินใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้สร้างความรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยให้แก่เขา

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

ทั้งสองมาถึงยังผาแห่งหนึ่ง

“อยู่ที่นี่”

จ้าวเฟิงกระโดดอกไปจากผาและเริ่มโผร่อน ด้วยความช่วยเหลือจากผ้าคลุมเงาหยิน เขาสามารถที่จะบินได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ

ในฐานะของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง รองหัวหน้าตำหนักหลี่ก็สามารถทำได้เช่นกัน เขาติดตามไปอย่างใกล้ชิด

สิบลมหายใจต่อมา จ้าวเฟิงและรองหัวหน้าตำหนักหลี่ต่างลอยอยู่กลางอากาศ

เบื้องหน้าปรากฏถ้ำแห่งหนึ่ง

ในยามนี้ กลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็ได้ถาโถมเข้ามา ทำให้หัวใจของรองหัวหน้าตำหนักหลี่สั่นสะท้าน เผยสีหน้าหวาดกลัว

“ท่านอาจารย์ ข้าเอง”

เสียงของจ้าวเฟิงดังเข้าไปในถ้ำ กลิ่นอายนั้นพลันสลายหายไป

“เข้ามา”

เสียงไอของผู้อาวุโสหนึ่งดังขึ้นจากภายในถ้ำ

จ้าวเฟิงและรองหัวหน้าตำหนักหลี่เข้าไปภายในถ้ำก่อนจะตกใจกับภาพที่เห็น

ใบหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเหี่ยวย่น ผมขาวโพลน ร่างกายเหี่ยวแห้งจากโลหิตที่เหือดหาย ไหล่ขวาหายไป

“ผู้อาวุโสหนึ่ง แขนของท่าน…”

รองหัวหน้าตำหนักหลี่มองไปยังบริเวณที่ควรจะเป็นไหล่ขวา มันปรากฏรอยเลือดและแขนที่ไม่สมบูรณ์ขึ้น

ใบหน้าของแม่เฒ่าลิ่วเยว่ขาวซีด นางเอ่ยอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสหนึ่งแลกเปลี่ยนแขนข้างหนึ่งไปกับการฆ่าศัตรูในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่ง…”

จากภาพนี้ คนสามารถจินตนาการได้ว่าการต่อสู้นั้นจะน่าหวาดกลัวเพียงใด

จ้าวเฟิงเดินตรงไปยังเบื้องหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งอย่างเงียบงัน

“เฟิงเอ๋อร์ สำนักจันทร์สลายสามารถรักษากำลังส่วนมากของเราไว้ได้ และสิ่งที่สำคัญ เราสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้มาได้”

ใบหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเต็มไปด้วยความชื่นชม ทว่าน้ำเสียงกลับอ่อนล้าเล็กๆ

จากนั้นรองหัวหน้าตำหนักหลี่จึงเอ่ยเล่าถึงการหลบหนีของพวกเขา ทำให้ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่ยินดีอย่างมาก

ทั้งสองสบตากันและแย้มยิ้ม “แขนข้างหนึ่งนับเป็นกระไรได้เมื่อเทียบกับศิษย์ข้า?”

จากนั้น

ผู้อาวุโสหนึ่งและแม่เฒ่าลิ่วเยว่มองตากัน ดูราวกับพูดคุยบางอย่าง

“ท่านหมายความว่า…”

แม่เฒ่าลิ่วเยว่ดูตื่นตะลึง

“ถูกแล้ว พื้นที่ป่าเมฆาคล้อยนั้นเล็กเกินไป ทั้งการตัดสินใจนี้ยังจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของเขา”

ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเด็ดขาด

ผู้อาวุโสทั้งสองผงกศีรษะราวกับว่าพวกเขาสามารถตกลงกันได้แล้ว

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าโชคชะตาของเขากำลังจะเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดจากการพูดคุยกันของทั้งสอง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

หลังจากที่อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสหนึ่งดีขึ้นเล็กน้อย เขาก็ได้เรียกให้จ้าวเฟิงไปยังด้านหนึ่ง

“เฟิงเอ๋อร์ สำนักจันทร์สลายบัดนี้นับว่าอยู่ในช่วงอันตราย ข้ามีภารกิจลับให้เจ้าทำ”

สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งเคร่งเครียด ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและร้องขอ

“ศิษย์ตกลง”

จ้าวเฟิงตกลงโดยที่ไม่ได้เอ่ยถามว่ามันเป็นภารกิจเช่นใด

หลังจากที่หลอมรวมเข้ากับเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าเขาก็ได้เยือกเย็นและไร้ใจขึ้น ทว่าความรู้สึกของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ผู้อาวุโสหนึ่งคือหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และได้ปกป้องในสำนัก เลี้ยงดูเขาให้เติบโต

ครานี้ อีกฝ่ายได้นำชีวิตมาเสี่ยงและเสียแขนไปข้างหนึ่งเพื่อปกป้องตัวเขาและคนอื่นๆ

แม้ว่ามันจะเพื่อทดแทนบุญคุณ จ้าวเฟิงก็จะยอมรับในทุกคำขอของผู้เป็นอาจารย์

นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังมั่นใจว่าสิ่งที่ชายชราเอ่ยขอนั้นเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

ผู้อาวุโสหนึ่งมองไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวอย่างล้ำลึก ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอ่ยคำใด เขามองออกว่าศิษย์ของเขาเป็นคนเช่นไร

เขารู้สึกโชคดียิ่งนักที่ได้ศิษย์ที่ดีเช่นนี้ ชีวิตนี้มิต้องเสียดายอันใดอีกต่อไป

“เจ้าได้เห็นพลังของแคว้นมังกรโลหะแล้ว มันไม่มีสิ่งใดที่สิบสามสำนักสามารถต่อต้านได้ นอกจากนั้น มันยังได้รับการสนับสนุนจากลัทธิมารจันทราชาด…”

ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย

จ้าวเฟิงผงกศีรษะและคาดเดาอยู่ภายในใจ

“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจส่งเจ้าไปยังสำนักของทวีปเหนือเพื่อขอความช่วยเหลือ”

ผู้อาวุโสหนึ่งอธิบายต่อ

ขอความช่วยเหลือ

จ้าวเฟิงยืนยันการคาดเดาของเขา

สถานการณ์ในยามนี้ไม่สู้ดีนักสำหรับสิบสามสำนัก

หลังจากเอาชนะแคว้นสมบัตินภา แคว้นมังกรโลหะก็ยังสามารถส่งคนมาต่อสู้กับสิบสามสำนักได้ ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์นี้ได้ทำให้ผู้คนต้องหนาวเยือก

นั่นหมายความว่าสิบสามสำนักนั้นเพียงได้รับลูกหลงจากการต่อสู้ของสองแคว้นนี้เท่านั้น

สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่กระทั่งพื้นที่สงคราม และไม่อาจนับได้ว่าเป็นสนามรบ

“เราจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้ใด?”

จ้าวเฟิงไม่รู้สถานการณ์ใดมากนักนอกจากภายในพื้นที่ป่าเมฆาคล้อย

“มันมีราวๆ ห้าสิบแคว้นที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับแคว้นมังกรโลหะและแคว้นสมบัตินภา แน่นอนว่ามันยังมีแคว้นที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาหลายเท่านัก ทว่าเหนือขึ้นไปกว่าแคว้นใหญ่เหล่านั้น มันยังมีอาณาจักรอยู่”

ผู้อาวุโสหนึ่งหยุดพูดไปชั่วครู่

แคว้นเล็ก แคว้นใหญ่ อาณาจักร

ภาพภาพหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในศีรษะของจ้าวเฟิง

สิบสามสำนักย่อมเป็นแคว้นเล็กที่ไม่มีความสำคัญต่อผู้ใด

ไม่มีแคว้นเล็กใดที่สามารถต่อต้านแคว้นใหญ่ได้

สำนักในแคว้นมังกรโลหะสามารถบดขยี้สิบสามสำนักได้อย่างง่ายดาย

ทว่า แคว้นที่แข็งแกร่งเฉกเช่นแคว้นมังกรโลหะและแคว้นสมบัตินภาก็ยังมิใช่จุดสูงสุด

เพราะเหนือกว่าพวกเขาคืออาณาจักร

“มันยังคงมีแคว้นใหญ่ที่อยู่ใกล้พื้นที่ป่าเมฆาคล้อย หากพวกเขาต้องการช่วยเหลือ อันตรายของสิบสามสำนักย่อมคลี่คลาย หากเราสามารถได้รับความช่วยเหลือจากแคว้นนภาได้ เรื่องนี้ย่อมสามารถสะสางได้อย่างง่ายดาย”

ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้มขณะเอ่ยตอบ

หลังพูดเสร็จเขาจึงนำแผนที่ของทวีปเหนือออกมา

แผนที่นั้นเต็มไปด้วยเส้นขีดแบ่งพื้นที่จำนวนมาก

“สิบสามแคว้นอยู่ที่ใดกัน?”

จ้าวเฟิงคัดลอกแผนด้วยดวงตาซ้าย และพบสิบสามแคว้นในมุมขวาล่างของแผนที่ในที่สุด อาณาเขตของพวกเขานั้นใหญ่เทียบท่าจุดหนึ่งจุด

ทว่า แคว้นใหญ่เช่นแคว้นมังกรโลหะและแคว้นสมบัตินภามีจุดบอกที่ชัดเจน

“มันขึ้นอยู่กับดวงว่าเจ้าจะสามารถขอความช่วยเหลือได้หรือไม่ ทวีปนั้นกว้างใหญ่นัก ทั้งหากไม่มีทรัพยากรหรือเงินตราเพียงพอ แคว้นอื่นๆ ก็อาจไม่สนใจที่จะมา”

เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ คำพูดของผู้อาวุโสหนึ่งก็เปลี่ยนไป

“การขอความช่วยเหลือนั้นไม่ใช่เป้าหมายหลัก… ข้ามีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าที่จะให้เจ้าทำ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!