บทที่ 26 : ขั้นสี่แห่งหนทางผู้ฝึกตน
หลังจากที่ชนะการประลองรอบที่หนึ่งร้อย ความโด่งดังของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด
“จ้าวเฟิง! จ้าวเฟิง!…” ฝูงชนร้องตะโกน ความสามารถของเขาทำให้เด็กหนุ่มสาวหลายคนศรัทธาในตัวเขา
ในที่สุดเขาก็กลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง ฝูงชนได้เปิดทางให้ขณะที่เด็กหนุ่มเดินผ่าน กระทั่งจ้าวคังยังต้องก้มหน้า
“เหตุใดเจ้าจึงได้ไปหาเรื่องอัจฉริยะกัน?” จ้าวกังมองไปยังน้องชายด้วยสายตาประหลาด
ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจู่ๆ มันจะแข็งแกร่งเช่นนี้… จ้าวคังรู้สึกราวกับจะร้องไห้
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังเดินไปอย่างเชื่องช้านั้น สายตาของเขาก็กวาดมองไปโดยรอบ
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นดรุณีนางหนึ่งซึ่งแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว
จ้าวซุ่ยกัดฟันไม่กล้าที่จะมองตาเด็กหนุ่ม จ้าวเฟิงสั่นศีรษะ ตั้งแต่าเข้ามายังพรรคจ้าวพวกเขาก็ได้เลือกทางเดินที่แตกต่างกันแล้ว
เขาไม่มีความรู้สึกใดทั้งสิ้น สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงการเข้าสู่ขั้นเก้าแห่งหนทางผู้ฝึกตน หรือแม้กระทั่งขั้นกายเทพ และจากนั้นจึงออกท่องไปทั่วทวีป
งานประลองจัดอันดับได้ดำเนินมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว และอันดับหนึ่งเองก็ได้ถูกยืนยันแล้วเช่นกัน นั่นเป็นเพราะไม่มีใครนอกจากจ้าวเฟิงที่ชนะทุกการประลอง
อันดับหนึ่ง – จ้าวเฟิง
อันดับสอง – จ้าวหยูเฟ่ย
อันดับสาม – จ้าวเยว่
อันดับสี่ – จ้าวกัง
กระทั่งถึงอันดับเก้าจึงเป็นชื่อของจ้าวยี่จาง นั่นเป็นเพราะเขาบาดเจ็บสาหัสในการประลองกับจ้าวเฟิงและไม่อาจเข้าร่วมการประลองที่เหลือได้
“อันดับหนึ่ง” เด็กหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ
เมื่อสองเดือนก่อน เขาได้แต่ภาวนาให้สามารถเข้าร่วมการประลองได้ อันดับหนึ่งนั้นเขาไม่แม้แต่จะคิดถึงมัน ทั้งหมดนี่เป็นเพราะดวงตาซ้ายของเขา
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกขณะที่เข้าสู่มิติภายในดวงตาซ้าย แสงสีเขียวซีดลึกลับนั้นยังคงส่องสว่างหมุนเป็นวงกลม ตอนนี้แสงนั้นได้ขยายจาก 3.9 ฟุตจนกระทั่งเกือบกลายเป็น 4 ฟุตแล้ว
เด็กหนุ่มรู้ว่าในขณะที่แสงนั่นขยายขึ้น พลังของนัยน์ตาซ้ายเขาก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในมุมหนึ่งของลานฝึกฝนนภา
“มีศิษย์สายนอกที่มีพรสวรรค์อยู่บ้างในปีนี้ โดยเฉพาะจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ย พวกเขามีศักยภาพที่จะสามารถตามทันจ้าวหลินหลงได้” เสียงนั้นดังขึ้นจากเด็กสาวงดงามและเยือกเย็นผู้หนึ่ง
นางคือจ้าวซิ่น อันดับสี่แห่งศิษย์สายใน
“ฮี่ฮี่ แค่แมลงตัวเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” เสียงเฉยชาดังขึ้นจากเด็กหนุ่มในชุดสีดำข้างกายเด็กสาว
เด็กหนุ่มชุดดำยืนเคียงข้างจ้าวซิ่น สายตาเกียจคร้านมองไปยังศิษย์สายนอกที่รวมตัวกันภายในลานฝึกฝนนภา
ข้ารู้สึกว่าจ้าวเฟิงนั่นไม่ธรรมดา ตอนที่เขาซ่อนพลังภายในนั้น กระทั่งข้าก็ไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ รวมทั้งท่าเท้าของเขานั้นความเร็วอาจนับว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของศิษย์สายใน จ้าวซิ่นคิด
“เจ้าคิดหรือว่าพวกมันจะสร้างความลำบากให้พวกเราได้? ข้ามีคู่ต่อสู้เพียงคนเดียว จ้าวหลินหลงนั่น!” เด็กหนุ่มชุดดำเอ่ย
“จ้าวชิ อย่าได้มั่นใจเกินไปนัก ข้าได้ยินมาว่าอันดับสาม จ้าวฮัน ได้ปิดด่านฝึกตนตั้งแต่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน” จ้าวซิ่นยิ้ม
“จ้าวฮัน? ข้าคิดว่าเขามีลูกพี่ลูกน้องชื่อจ้าวยี่จางใช่หรือไม่?” เด็กหนุ่มชุดดำมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาหยอกล้อ
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา เด็กหนุ่มมองตรงไปยังที่มาของความรู้สึก ในมุมหนึ่งนั้นปรากฏร่างของเด็กสาวผู้เงียบขรึมและเด็กหนุ่มท่าทางเกียจคร้านยืนอยู่ เด็กสาวผู้นั้นเขารู้จักแล้ว นางคือจ้าวซิ่น ส่วนเด็กหนุ่มชุดดำนั้น…
“โอ้ สวรรค์! นั่นจ้าวชิ!”
“จ้าวชิ! อันดับสองของศิษย์สายใน เป็นรองเพียงจ้าวหลินหลง!”
ฝูงชนกรีดร้องออกมา
กระทั่งศิษย์สายในบางคนยังมองไปที่ร่างของจ้าวชิด้วยความหวาดกลัว
สายตาของเด็กหนุ่มทั้งสองประสานกัน
ในตอนที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกันนั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ถึงความกดดันที่แทบทนไม่ได้จากอีกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อดวงตาซ้ายของเขาจ้องตรงไปยังร่างของเด็กหนุ่มชุดดำ เขารู้สึกราวกับอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ที่เขาไม่อาจเอาชนะได้
จ้าวชินั้นไม่อ้วนและไม่ผอม แต่พลังภายในของเขานั้นกระจายไปทั่วทุกมัดกล้ามเนื้อในร่างกาย
ขั้นสูงสุดของขั้นสี่! เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าจ้าวซิ่นเสียอีก! จ้าวเฟิงบันทึกระดับพลังของอีกฝ่ายลงไปอย่างแม่นยำ
“ข้าได้ยินมาว่าจ้าวชิยามที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวแห่งผู้ฝึกตนสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้ ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะปรากฏตัวในการประลองของศิษย์สายนอกด้วย”
จากท่าทางของจ้าวซิ่นนั้นชัดเจนว่านางเห็นว่าจ้าวเฟิงเป็นคู่ต่อสู้ที่สำคัญ แต่สำหรับจ้าวชิ เขาให้ความสำคัญกับจ้าวหยูเฟ่ยมากกว่า
จ้าวเฟิงรู้ว่าแม้เขาจะเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์สายนอก แต่มันยังคงมีความแตกต่างระหว่างเขากับศิษย์สายในอย่างมาก
ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าศิษย์สายในทุกคนได้มาดูการประลองของศิษย์สายนอก
ยกเว้นเพียงคนคนเดียว จ้าวหลินหลง!
หนึ่งในสี่อัจฉริยะของเมืองประกายอรุณ
“ด้วยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ อันดับของข้าในบรรดาศิษย์สายในคงไม่ดีเท่าใดนัก…” จ้าวเฟิงมีสีหน้าเคร่งขรึม ศิษย์สายในทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากพรรค บัดนี้ จ้าวเฟิงสามารถติดหนึ่งในสิบของศิษย์สายในได้อย่างง่ายดาย ทว่าเขาไม่มีโอกาสในการติดหนึ่งในห้า และสำหรับหนึ่งในสามนั้น… แทบจะเป็นไปไม่ได้
การประลองหลักจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือน ข้าควรจะตั้งเป้าไว้ที่อันดับหนึ่งหรือไม่? จ้าวเฟิงไม่อาจตัดสินใจได้
ทว่าไม่นานเขาก็ตัดสินใจ
สู้! เขาต้องสู้!
เขาจำรางวัลที่พรรคจะมอบให้ได้! มีเพียงสามอันดับแรกเท่านั้นที่จะมีโอกาสเรียนวิชาระดับสุดยอด
วิชาระดับสุดยอด!
มันเป็นวิชาระดับสูงสุดในทางโลก วิชาระดับสุดยอดสามารถทำให้ผู้ฝึกสามารถฝึกตนจนเข้าขั้นเก้าได้ มีเพียงวิชาขั้นเทพเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้ผู้ฝึกเข้าขั้นกายเทพได้
เพื่อที่จะอยู่รอดในโลกใบนี้ คนผู้นั้นจำต้องมีพลังที่เป็นที่สุด นั่นหมายความว่ายิ่งแข็งแกร่งเพียงใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
อันดับหนึ่ง หรือหนึ่งในสาม จ้าวเฟิงยืนยันเป้าหมายของเขาอีกครั้งในขณะที่เดินกลับบ้านไปอย่างช้าๆ
เมื่อเขาไปถึงยังบ้านจึงได้สังเกตเห็นถึงผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมเยียน บิดาของเขา จ้าวเทียนหยางกำลังยุ่งอย่างมาก บ้านที่เงียบเหงาบัดนี้กลับเต็มไปด้วยผู้คน
“พี่เทียนหยาง ยินดีด้วยที่มีบุตรชายยอดเยี่ยมเช่นนี้”
“ศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง! ทั้งเขายังโคจรพลังภายในได้แล้ว ย่อมเป็นเรื่องแน่นอนที่เขาจะได้รับความสนใจจากระดับสูงของพรรค”
เหล่าแขกอุทานออกมาเมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงกลับมา เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาไม่คุ้นเคยกับภาพเช่นนี้เท่าใดนัก
‘แขก’ เหล่านี้มักจะมองมาที่ครอบครัวของเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ทั้งความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ใช่ว่าจะดี
ทว่าวันนี้ พวกเขากลับมาเยี่ยม
ในที่สุดจ้าวเฟิงและบิดามารดาของเขาจึงได้ไล่ทุกคนกลับไปได้
“พลังภายใน? ครึ่งก้าวแห่งผู้ฝึกตน? เฟิงเอ๋อร์ เจ้าทำให้บิดาประหลาดใจยิ่งแล้ว!” จ้าวเทียนหยางเอ่ยด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปยังลานฝึกฝนนภาได้ ตัวอย่างเช่นจ้าวเทียนหยางที่ทำได้เพียงมองจากที่ไกลๆ เมื่อได้ยินว่าบุตรชายของพวกเขาชนะ คราแรกกลับคิดไปว่าหูของพวกเขาฝาดเสียด้วยซ้ำ
“บุตรข้าแข็งแกร่งเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?” จ้าวเทียนหยางรู้สึกตะลึงเล็กๆ เขารู้ว่าบุตรชายของเขานั้นไม่ได้โดดเด่นถึงเพียงนั้น
“ฮี่ฮี่ ตั้งแต่ข้าถูกฟ้าผ่า ข้าก็รู้สึกว่ามันง่ายขึ้นในการฝึกตน…” จ้าวเฟิงเอ่ยความจริงเพียงครึ่ง โกหกอีกครึ่ง คำอธิบายของเขานั้นเรียบง่าย
โลกใบนี้นั้นกว้างใหญ่นัก ไม่ใช่ทุกตำนานที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ หนทางของคนผู้หนึ่งอาจถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยสิ่งที่คนผู้นั้นพบเจอในระหว่างทาง
นอกจากนั้น จุดเปลี่ยนของชีวิตเด็กหนุ่มนั้นคือยามที่เขาถูกฟ้าผ่า
หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายนี้ บิดามารดาของเขาก็ไม่รู้สึกสงสัยอีกต่อไป
ค่ำคืนในวันเดียวกัน
จ้าวเฟิงไม่ได้นอนหลับ ทว่ากลับปิดเปลือกตาและคิดถึงการประลองที่ผ่านมา ความทรงจำปรากฏขึ้นในศีรษะของเขา ทุกฉากได้ถูกสลักลงบนสมอง รวมทั้งฉากที่เขาประลองกับจ้าวเยว่ จ้าวยี่จาง และจ้าวหยูเฟ่ย
นอกจากนี้ เขายังจำการเคลื่อนไหวของผู้ตัดสินหลักและจ้าวเทียนเจี้ยนได้
แน่นอนว่าระดับของพวกเขานั้นมากกว่าเด็กหนุ่มไปไกลกระทั่งเขาไม่อาจทำความเข้าใจมันได้ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ยังได้สำนึกรู้บางอย่าง
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็กลายเป็นเงาเลือนรางขณะมุ่งตรงไปยังลานเปิด
ฮ่าห์! ฮ่าห์!
จ้าวเฟิงปิดตาพร้อมวาดกระบวนท่าของหมัดเหล็กเพลิงและหมัดมังกรคลั่ง
ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเขาคิดถึงยามที่ปะทะกับจ้าวเยว่ จ้าวยี่จาง และจ้าวหยูเฟ่ย
ฮู่ว
การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาจึงโคจรพลังภายในลงไปในหมัดเหล่านั้น
แสงสีเขียวซีดขนาด 3.9 ฟุตเริ่มส่องสว่างและคืบคลานไปอีกขั้น
ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น จ้าวเฟิงนึกถึงแรงกดดันยามที่เขาเผชิญหน้ากับจ้าวเทียนเจี้ยน
ย่าห์!
จ้าวเฟิงตวาดลั่นในขณะที่พลังภายในในร่างกายของเขาเริ่มขยับ ทุกฝ่ามือที่ส่งออกไปปรากฏเสียงกระแทก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เพียงแค่เด็กหนุ่มเหนื่อยอ่อน
ฟู่ววว
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งร่างของเขานั้นราวกับถูกคลอกด้วยเปลวเพลิง ความรู้สึกอุ่นร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ในเวลาเดียวกัน เหงื่อและคราบสกปรกในร่างของเขาก็ถูกดันออกมาจากภายในร่างกาย
“ข้าทำได้แล้ว!”
ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายลุกโชนด้วยความตื่นเต้น
แสงสีเขียวภายในดวงตาซ้ายของเขาบัดนี้ได้ขยายเป็น 4 ฟุตแล้ว และในตอนนั้นเองที่จ้าวเฟิงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่แห่งหนทางผู้ฝึกตน
เขารู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้นอยู่ภายในร่างและทุกลมหายใจของเขา เพียงแค่คิดพลังภายในก็ล้นทะลักออกมา
“แรงของข้าเพิ่มขึ้นราวๆ 500 กิโลกรัมแล้ว และพลังภายในก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า” จ้าวเฟิงมองการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายผ่านดวงตาซ้าย