บทที่ 266:ก้าวข้ามอุปสรรค
ธนูที่อยู่ในมือของหยุนไห่หยางนับว่ามิธรรมดา วัสดุที่ใช้สร้างขึ้นปรากฏกลิ่นไอโบราณ ล้ำค่าเกินกว่าอาวุธชั้นมนุษย์ทั่วไป
แข่งยิงธนู?
จ้าวเฟิงเองก็รู้สึกสนใจเช่นกันจึงไม่ได้ปฏิเสธ
คันศรหลัวซุยของเขาเองก็เพิ่งได้รับการพัฒนาใหม่ ความสามารถมากขึ้นอีกขึ้นหนึ่ง เขายังไม่ได้ทดลองคันศรใหม่นี้ของเขาเช่นกัน
ขณะเดียวกัน
ด้านในของห้องรับรอง เจ้าเมืองหงหูและหลิวฉินซินต่างมองตากันแล้วยิ้มออกมาโดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะขัดขวาง
เมื่อเจ้าเมืองหงหูเรียกจ้าวเฟิงเข้ามา หลิวฉินซินก็ได้เข้าใจในเจตนาของผู้เป็นบิดา
หยุนไห่หยางไม่ค่อยพอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ของหลิวฉินซิน เมื่อได้พบหน้าจ้าวเฟิง เขาจะมีความเกรงใจเพื่อสิ่งใด?
ที่แปลกไปกว่านั้นคือ ขณะที่หยุนไห่หยางเอ่ยดูถูกจ้าวเฟิง เจ้าเมืองหงหูกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใด
“หรือว่าการที่น้องฉินต้องแต่งงานกับไอ้เด็กนี่มันมีเบื้องหลังบางอย่าง? ไม่แน่ว่าข้าเองอาจจะมีโอกาสก็ได้”
เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าเมืองหงหู หยุนไห่หยางก็พยายามข่มกลั้นความยินดีในใจเอาไว้
โดยที่เขานั้นไม่รู้เลยว่า การกระทำของเจ้าเมืองหงหูนั้นไม่ได้ทำเพื่อให้โอกาสเขา แต่หากเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายต้องการยืมมือตัวเขามาทดสอบพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิง
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ขัดข้องใช่หรือไม่”
เจ้าเมืองหงหูมองไปทางจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงคิดในใจ เจ้าเมืองหงหูผู้นี้ต้องการทดสอบความสามารถเขาแต่แรกแล้ว ทว่าตัวเขาเองก็ต้องการทดสอบพลังของคันศรหลัวซุย เด็กหนุ่มจึงไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างใด
ไม่ช้า
จ้าวเฟิงและหยุนไห่หยางต่างก็เดินมาที่ลานประลองยิงธนู
ก่อนหน้า ในสนามประลองยิงธนูนั้นมีผู้คนกำลังยิงธนูอยู่บ้าง ทว่ายามนี้ทั่วทั้งลานประลองกลับไม่มีผู้คนอยู่อีก
“นี่มีเรื่องอันใดกัน?”
“บุตรเขยท่านเจ้าเมืองกับลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของหลิวฉินซินกำลังจะประลองยิงธนู?”
รอบลานประลองปรากฏผู้คนมามุงดูอยู่ไม่น้อย
จ้าวเฟิงและหยุนไห่หยางต่างยืนแยกอยู่คนล่ะฝั่งของลานประลอง
ตามปกติแล้ว ระหว่างนักยิงธนูด้วยกันเองมักจะประลองวิธีการยิงธนูและความแม่นยำในการยิง
คนผู้หนึ่งได้นำเป้ายิงธนูเลื่อนมาจัดตั้งไว้ให้
“การประลองด้วยทักษะการยิงธนูนั้นไร้ประโยชน์ ยอดนักธนูต้องประลองกันด้วยความเร่าร้อนและหยาดโลหิต”
หยุนไห่หยางยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
ผู้คนทั้งลานประลองต่างตกใจ หยุนไห่หยางต้องการประลองโดยใช้ชีวิตเป็นเดิมพันหรือ?แน่นอนว่าหยุนไห่หยางเอ่ยกับเจ้าเมืองหงหูที่เป็นเจ้าภาพงานประลอง การประลองนี้ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันอีกต่อไป มันนับเป็นการต่อสู้เอาชีวิตแล้ว
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยไต่ถาม
ในยามนี้เองที่ทุกคนได้รู้ว่าการมาของหยุนไห่หยางนั้นมีเจตนาที่ไม่ดีแอบซ่อนอยู่
เมื่อเป็นการต่อสู้ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บและสูญเสียได้
หยุนไห่หยางคิดในใจ “ไอ้เด็กนี่มาจากนอกเมือง ทั้งยังไร้ซึ่งหัวนอนปลายเท้า ยามนี้มันยังไม่ได้เป็นสามีจริงๆ ของน้องฉิน หากข้าจะถือโอกาสนี้ในการฆ่ามันซะย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขุดคุ้ย”
เมื่อเทียบสถานะของเขาผู้มาจากตระกูลหยุน หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ แม้เขาจะทำร้ายจ้าวเฟิงจนถึงแก่ชีวิต เจ้าเมืองหงหูก็มิอาจถือสาหาความ
“ข้าไม่มีข้อคิดเห็นอันใด”
จ้าวเฟิงนำคันศรหลัวซุยออกมาอย่างช้าๆ
จากนั้นทั้งลานประลองยิงธนูก็ได้ปรากฏค่ายกลป้องกัน ปิดกั้นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไว้
ยามนี้
หลิวฉินซินที่อยู่ด้านนอกเริ่มรู้สึกย่ำแย่ เพราะนางรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายของหยุนไห่หยาง
“วางใจได้ บิดาอยู่ตรงนี้ย่อมไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ”
เจ้าเมืองหงหูยื่นมือไปสัมผัสที่ตัวบุตรสาวก่อนแย้มยิ้ม
ฉินซินรู้สึกโล่งอก ทว่าก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง จะอย่างไรบิด่าก็ได้ใช้หยุนไห่หยางในการตรวจสอบความสามารถของจ้าวเฟิง ทำให้อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิต
ในลานประลอง
หยุนไห่หยางและจ้าวเฟิงยืนเผชิญหน้ากันอยู่ห่างๆ
เนื่องจากมันเป็นการประลองการยิงธนู ดังนั้นจึงมีกฎว่านอกจากการใช้ธนูในการต่อสู้แล้ว ห้ามใช้วิธีการอย่างอื่นในการต่อสู้
พลังฝึกตนของหยุนไห่หยางอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พลังที่แท้จริงของเขาอาจเทียบเคียงได้กับพลังของหลิวฉินซิน
ทว่าการประลองยิงธนูครานี้เป็นเพียงแค่การประลองฝีมือยิงธนู จ้าวเฟิงจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
“เริ่มได้…”
หยุนไห่หยางรั้งสายธนูสีเขียวแดงออก ประกายแสงสีแดงราวกับเปลวเพลิงค่อยๆ ขยายออกจากคันธนูเข้าหลอมรวมเข้ากับปราณแท้แดงสดบนร่างของเขา
ไม่เพียงเท่านั้น รอบกายของหยุนไห่หยางยังปรากฏประกายแสงคล้ายสายลมสีเขียวขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เป็นม่านป้องกันแสงสีเขียวแดง
“ลูกศรมีคุณสมบัติของธาตุไฟ ทั้งยังมีความเร็วของธาตุลมเสริม ทำให้ส่งผลในการระเบิดได้กว่าแปดสิบในร้อยส่วน….”
เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองโดยรอบ ในใจปรากฏความตื่นเต้นอยู่บ้าง
พลังฝึกตนของหยุนไห่หยางนั้นอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทั้งยังเป็นนักธนูฝีมือดี ลูกธนูของอีกฝ่ายคุณสมบัติของธาตุไฟรวมเข้ากับความเร็วของธาตุลม ทำให้พลังของมันสามารถปลิดชีพของผู้ที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่จิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปได้ในเสี้ยววินาที
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะจบการประลองนี้ลงให้เร็วที่สุด
การเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวไม่ชักช้า เขานำคันศรหลัวซุยพร้อมกับลูกธนูสามดอกออกมา น้ำแข็งแสงสีน้ำเงินค่อยๆ ปรากฏขึ้นล้อมรอบร่าง
รอบกายจ้าวเฟิงที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำแข็งแสงสีน้ำเงินค่อยๆ ได้ปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นพร้อมเสียงคำราม
อีกทั้งลูกธนูทั้งสามดอกของเด็กหนุ่มยังปรากฏสายฟ้าอยู่ตรงปลายลูกศร ะด้านท้ายลูกศรยังมสายลมควบรวมกัน
“ลูกศรของไอ้เด็กนี่มีส่วนประกอบของธาตุน้ำแข็ง สายฟ้า และสายลม ธนูและลูกธนูนั้นราวกับเป็นมารดาและบุตร
สีหน้าหยุนไห่หยางแปรเปลี่ยนไป รู้สึกริษยาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ตัวเขาเองชมชอบและหลงใหลในการยิงธนูอยู่แล้ว ทว่ามันเป้นครั้งแรกที่เขาได้เห็นคันศรที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้
มีความเป็นไปได้มากว่าธนูคันนี้ได้ถูกสร้างขึ้นจากฝีมือของช่างในระดับอาจารย์
เพื่อให้การประลองสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว
ธนูที่อยู่ในมือของหยุนไห่หยางปรากฏพลังบ้าคลั่ง ส่งเสียงราวฟ้าคำราม
ฟุ่บ
ลูกศรสีดำปรากฏประกายแสงสีแดงก่ำ รอบๆ เต็มไปด้วยลมเกรี้ยวกราดราวมังกรเพลิงพุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง
ผู้ใดลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ
ในใจของหยุนไห่หยางปรากฏความขุ่นเคือง การประลองครั้งนี้เป็นการประลองความเร็ว ต่อให้เร็วกว่าเพียงเศษเสี้ยววินาทีก็สามารถตัดสินความเป็นตายได้
ทว่านขณะที่ลูกธนูได้พุ่งออกไปนั้น คันศรหลัวซุยของจ้าวเฟิงเองก็สั่นสะท้านเช่นกัน
ฟึ่บ…
ทันใดนั้น ประกายแสงสีเขียวที่อยู่ระหว่างคันธนูและลูกศรก็ส่องประกายสีแดงใสพร้อมปรากฏเสียงอึกทึกราวสายฟ้าขึ้นในอากาศ
ดวงตาของหยุนไห่หยางส่องประกายวูบ ลำแสงที่มีทั้งสายลมและความหนาวเย็นควบรรวมกัน ได้ปะทะกันต่อหน้าเขา
ครื่น….
ลูกศรที่รวดเร็วสายอัสนีวาดตัวเป็นเส้นโค้ง เข้าปะทะกับศรสีดำแดงในอากาศก่อน
ลมหนาวเย็นรุนแรงจะเข้าปะทะกัน สร้างเสียงระเบิดขึ้น ทำให้เกิดควันลอยขึ้นในอากาศปกคลุมสนามประลองยิงธนูไปกว่าครึ่ง
เหล่านักยิงธนูที่อยู่นอกสนามต่างมองด้วยความนิ่งอึ้ง
ฟุ่บ….
ลูกศรขนาดเล็กที่รวดเร็วราวสายฟ้าพุ่งผ่านหมู่เมฆในอากาศ ปักไปที่ร่างหยุนไห่หยาง
ความเร็วนั้นมากเกินกว่าความเร็วเสียง ราวกับสายฟ้าที่ได้ฟาดลง
สีหน้าของหยุนไห่หยางขาวซีด ถ่ายเทปราณแท้อย่างบ้าคลั่ง สายลมจากคันธนูและบนร่างเข้าหลอมรวมกัน สร้างม่านป้องกันสายลมและเปลวเพลิง
เพียงครึ่งลมหายใจ หยุนไห่หยางก็สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ พลังของศรของจ้าวเฟิงลดลงเหลือเพียงหนึ่งถึงสองส่วนจากสิบส่วน มีเพียงความเย็นและกระแสไฟฟ้าที่แล่นเข้าสู่ร่างของเขาที่สร้างปัญหา
เด็กหนุ่มดลมหายใจลึกเพื่อรวบรวมปราณครึ่งจิตวิญญาณ เตรียมที่จะจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง
ในยามนี้เอง ศรที่ส่องประกายสองดอกได้พุ่งแหวกอากาศ เกิดเป็นพายุอันหนาวเหน็บมุ่งตรงเข้ามา
หยุนไห่หยางยิงลูกศรออกไป มันพุ่งแหวกอากาศปรากฏสะเก็ดเพลิงออกมา ทว่ากลับถูกศรทั้งสองดอกกลืนกินเข้าไป
เวลาผ่านไป รอบกายของเขาได้ถูกกลืนกินไปด้วยกระแสไฟฟ้าและความหนาวเย็น
ร่างของหยุนไห่หยางแข็งทื่อ
ลูกธนูดอกที่สามของอีกฝ่ายยังไม่ถูกยิงออกมา ทว่าความรู้สึกหนาวเย็นและหนึบชาได้เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
ในยามนั้น ศรดอกที่สามของจ้าวเฟิงพลันพุ่งไปถึงร่างของคู่ต่อสู้
บนลานประลอง
หยุนไห่หยางถูกประกายแสงสีเขียวที่ถักทอเป็นม่านสายฟ้าล้อมอยู่รอบด้าน
เด็กหนุ่มโมโห ส่งเสียงคำราม ทว่าเสียงรนั้นกลับแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ทั่วทั้งร่างหนาวเหน็บและแข็งเกร็ง ความเย็นได้แช่ทั้งร่างของเขา
ไม่ถึงครึ่งลมหายใจ ร่างของหยุนไห่หยางก็ได้กลายเป็นก้อนรูปสลักน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกลานประลองสูดลมหายใจหนาวเยือก แต่ละคนราวกับตกอยู่ในความฝัน
สีหน้าเจ้าเมืองหงหูแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พลันรีบเร่งเข้าไปหาหยุนไห่หยางและใช้พลังปราณช่วยเหลือ
“ชื่อเสียงของอาจารย์เถี่ยกานนับว่าเชื่อถือได้จริง ศรทั้งสามดอกสามารถคุกคามผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ทว่าอาวุธชั้นยอดเช่นนี้ ปริมาณปราณแท้ที่ใช้เองก็น่าหวาดกลัวเช่นกัน….”
จ้าวเฟิงอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ เก็บคันศรหลัวซุยกลับไป ลมหายใจค่อนข้างถี่กระชั้น
หลังจากการเพิ่มพลังของคันศรหลัวซุย ความสามารถของมันก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น ทว่าเมื่อครู่มันก็ได้กลืนกินปราณแท้ของเด็กหนุ่มไปกว่าหนึ่งในสี่เช่นกัน
มีเพียงการบรรลุถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงจะแสดงพลังของมันได้
บนลานประลอง
เมื่อได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าเมืองหงหู ชีวิตของหยุนไห่หยางจึงปลอดภัย ทว่าอาการบาดเจ็บก็น่ากลัวเช่นกัน แขนข้างหนึ่งของเขาได้หักไป
การประลองครั้งนี้จบลงด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้นับว่าน่าเศร้าโดยแท้
หากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันการณ์ หยุนไห่หยางอาจจะต้องหลับใหลอยู่ในห้วงน้ำแข็งไปชั่วนิรันดร์
การประลองยิงธนูในครั้งนี้อันตรายถึงชีวิต
“เจ้าจำต้องลงมือหนักเพียงนี้เลยหรือ?”
หลิวฉินซินขมวดคิ้ว อดที่จะถามไม่ได้
จ้าวเฟิงเกือบจะเหลือตาใส่ หากกลับกัน เป็นคนที่กลายเป็นเหยื่อเล่า?
ประการแรก เจ้าเมืองหงหูต้องการที่จะทดสอบพลังของเขาจึงใช้หยุนไห่หยางมาเป็นตัวช่วย
หยุนไห่หยางเองก็จงใจที่จะทำให้จ้าวเฟิงถึงแก่ชีวิตจึงมิได้ครุ่นคิดให้รอบคอบ
ผู้เคราะห์ร้ายตัวจริงคือจ้าวเฟิงต่างหาก
ทว่าผลสุดท้าย จ้าวเฟิงต้องการจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดแล้วจึงยิงธนูออกไปเพียงสามดอก
การประลองยิงธนูนั้นอันตรายมาก หากต่อสู้ยืดเยื้อผู้ที่สิ้นชีพอาจเป็นเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
หลังจากที่คันศรถูกพัฒนาแล้ว มันก็ต้องใช้ปราณแท้มากขึ้น ทว่าธนูของหยุนไห่หยางนั้นคุณสมบัติก็ไม่ด้อยไปกว่าจ้าวเฟิง ทั้งพลังฝึกตนของอีกฝ่ายยังเหนือกว่าเขา หากยืดเยื้อย่อมได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
ในยามนั้นเอง
คิ้วของเจ้าเมืองหงหูขมวดแน่น หยุนไห่หยางเป็นศิษย์ของตระกูลหยุน ชาติกำเนิดไม่ธรรมดา บัดนี้ต้องเสียแขนไปข้างหนึ่ง นับว่าความปัญหาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ก่อนหน้าเขาคิดว่าการประลองยิงธนูระหว่างหยุนไห่หยางและจ้าวเฟิงมีโอกาสชนะอยู่ที่หกสิบต่อสี่สิบ
ทั้งหยุนไห่หยางยังมีชื่อเสียงในเรื่องการยิงธนูอยู่แล้ว พลังฝึกตนยังเหนือกว่าจ้าวเฟิงทุกด้าน
ทว่าผลสรุปในครานี้นับว่าเหนือคาดของเจ้าเมืองหงหูและหลิวฉินซิน
จ้าวเฟิงหัวเราะในใจ ที่เหลือทั้งหมดเป็นพวกท่านต้องจัดการ
การวางแผนของเจ้าเมืองหงหูทำให้ความคิดในการหนีการแต่งงานของจ้าวเฟิงยิ่งมากขึ้น หากการประลองในวันนี้พลังของเขาไม่มากพอ จะมีผู้ใดมาช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้เขาบ้าง?
หลิวฉินซินถอนหายใจ นางรู้ว่าจ้าวเฟิงไม่ผิด ผิดก็ตรงที่ท่านพ่อคิดแผนนี้ รวมทั้งผู้เป็นพี่ที่ต้องการจะทำร้ายอีกฝ่าย
ทว่า
ผู้ชนะในที่สุดแล้วก็ไม่ใช่เจ้าเมืองหงหู และก็ไม่ใช่หยุนไห่หยาง
หยุนไห่หยางได้รับบาดเจ็บ
เจ้าเมืองหงหูต้องแก้ไขสถาการณ์ที่เกิดขึ้น เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องปวดศีรษะ
มีเพียงจ้าวเฟิงที่ไม่ได้รับผลใดๆ ทั้งศักดิ์ศรีและความอับอายล้วนไม่มีผล
หลังจากทดสอบความสามารถของจ้าวเฟิง เจ้าเมืองหงหูก็พบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้นอกจากจะนำความยินดีมาให้เขาแล้ว ยังสามารถนำเรื่องวุ่นวายมาให้แก่เขาได้เช่นกัน
ทว่าหลิวฉินซินกลับรู้สึกว่าว่าที่สามีของนางคนนี้ไม่ธรรมดา ราวกับปรากฏตัวขึ้นม่านหมอกตลอดเวลา
ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นเนื้อคู่ของนางเสียอีก
เย็นวันนั้น
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ นำมือของเขาสัมผัสไปที่คันศรหลัวซุยอย่างแผ่วเบา
เมื่อธนูได้รับการพัฒนา อานุภาพของมันก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทว่าพลังฝึกตนของเขาในตอนนี้ยังไม่สามารถใช้พลังที่แท้จริงของมันได้
เมื่อเก็บธนูเรียบร้อยแล้ว
จ้าวเฟิงหลับตาลงและฝึกฝน “มรดกอัสนี” ขั้นสุดท้ายต่อไป
ในสมองของเขานั้น
มรดกอัสนีนั้นเต็มไปด้วยสำนักรู้ที่ลึกล้ำและผันผวนปรวนแปร
ในภาพนั้น สายฟ้าสีครามได้ส่องประกาย พุ่งขึ้นสูงขึ้นเบื้องหน้า คล้ายคลึงกับดอกไม้ไฟ
เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนเช่นนี้ไปอีกหลายวัน
มีอยู่ช่วงหนึ่ง
ดวงตาจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ เข้าใจถึงบางอย่าง กลางฝ่ามือปรากฏใยสายฟ้าก่อตัวขึ้นเป็นแสงสีเขียว ราวกับบุปผาที่ผลิแย้มอย่างงดงาม