บทที่ 307 : แผนการเมื่อร้อยปีก่อน
“ที่เจ้าหนีงานแต่งงานจากเมืองหงหูมาที่นี่ ก็เพื่อที่จะพบข้าเช่นนั้นหรือ?”
ฉินหวางเฟยแย้มยิ้มบาง ใบหน้าที่งดงามหยาดเยิ้มราวหยก ยิ่งเข้าใกล้ ทุกลมหายใจ ทุกการกระทำ ไม่ว่าจะจุดเป็นเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้เคลิบเคลิ้มตกอยู่ในห้วงภวังค์คลั่งไคล้ได้
ปลายจมูกปรากฏกลิ่นหอมโชยมาแตะ ราวกับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้จ้าวเฟิงจ้องมองตาค้าง
ฉินหวางเฟยในวินาทีนี้ ราวกับแท่งแม่เหล็กที่ไม่ว่าบุรุษใดก็ไม่สามารถที่จะต้านทานแรงดึงดูดได้
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันปรากฏแสงสีฟ้าใสสว่างวาบ ทั้งลูกตากลับกลายเป็นสีฟ้าใสลึกล้ำ
“ท่านคาดเดาไว้แล้วหรือ?”
หัวใจของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ สูดลมหายใจเข้าเบาๆ
แม้ว่าฉินหวางเฟยจะทดสอบด้วยวิชามนต์เสน่ห์เป็นตัวช่วยมันก็ไม่สำคัญ จะอย่างไรนางก็ทำได้สำเร็จอยู่ดี
คำพูดเมื่อครู่ราวกับเป็นกุญแจที่สร้างความสั่นไหวให้จิตใจของเด็กหนุ่ม
วิชามนต์เสน่ห์ของฉินหวางเฟยสามารถทำให้จ้าวเฟิงใช้พลังดวงตาเทพเจ้า เปิดเผยตัวตนของตนเองออกมา
“ฮี่ฮี่ ที่แท้เจ้าก็คือจ้าวเฟิงที่ทำให้ทั่วทั้งเมืองหงหูวุ่นวายทั่วไปหมด ที่มาเมืองหลวงในวันนี้ หรือเจ้าคิดว่าข้าจะถูกรังแกได้ง่ายดายเช่นหลิวฉินซินอย่างนั้นหรือ”
ฉินหวางเฟยแย้มยิ้ม กึ่งโกรธกึ่งยินดี แปรเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา
จ้าวเฟิงลอบคิด ฉินหวางเฟยผู้นี้ ท่าทีบางคราเป็นสตรีสง่างามกว่าเหนือผู้ใด กิริยาทวงท่างามสง่า ทั้งยังมีฐานะที่สูงส่ง เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล
“หวางเฟย ท่านคงไม่นำข้าส่งให้กับเจ้าเมืองหงหูใช่หรือไม่”
จ้าวเฟิงจงใจแสดงสีหน้าน่าสงสาร เอ่ยขอความเมตตา
จากข้อมูลที่ลัทธิโลหะเลือดให้มา ราชวงศ์และเจ้าเมืองหงหูได้ตกลงกันว่าจะประกาศจับจ้าวเฟิงที่หนีงานแต่งงานในครั้งนี้
ทว่าฉินหวางเฟยคือตัวแทนของราชวงศ์
บัดนี้ อีกฝ่ายได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของจ้าวเฟิงแล้ว เพียงเฝ้ารอให้เด็กหนุ่มแสดงท่าทีออกมาเท่านั้น
แต่สิ่งที่เป็นเรื่องแน่นอนนั้นคือ หากฉินหวางเฟยลงมือ จ้าวเฟิงย่อมไม่อาจต่อกร
หลังจากใช้พลังดวงตาเทพเจ้า จ้าวเฟิงก็พบว่าระดับฝึกตนของอีกฝ่ายนั้นอาจจะสูงถึงขั้นนายเหนือแท้
ฉินหวางเฟยที่สามารถมีศักดิ์สูงในราชวงศ์เช่นนี้ ทั้งพลัง เสน่ห์ และสติปัญญาล้วนต้องสูงส่ง
กระทั่งมีข่าวลือว่า นางคือผู้ควบคุมอำนาจของราชวงศ์ เป็นผู้ที่ค้ำจุนราชวงศ์นี้เอาไว้
ฉินหวางเฟยหัวเราะคิกคักก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานฉ่ำ “ฮี่ฮี่ ถือว่าเจ้าโชคดีนัก เพราะข้ากับเจ้าเมืองหงหูไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่าใด เช่นนั้นเจ้าพูดมาเถอะว่าที่หนีงานแต่งงานมาไกลถึงยังดินแดนแห่งราชวงศ์ เจ้าต้องการให้หวางเฟยผู้นี้ทำสิ่งใด?”
จากนั้น นางจึงยื่นมือมาแตะที่ไหล่ของจ้าวเฟิงราวกับเป็นสหายสนิทเก่าแก่
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง ฉินหวางเฟยผู้นี้นิสัยท่าทีแปรเปลี่ยนหลากหลายยิ่งนัก แค่เพียงสตรีผู้เดียว แต่กลับสามารถแสดงได้หลายบทบาทเช่นนี้เชียวหรือ
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ในใจของเด็กหนุ่มปรากฏสัญญาณเตือนขึ้น
“ฉินหวางเฟยผู้นี้เป็นคนเพียงผู้เดียว แต่กลับสามารถแสดงลักษณะท่าทีออกมาได้มากมาย ทั้งลักษณะแบบนี้ต่อให้อย่างไรก็ไม่สามารถหาจุดอ่อนได้เจอ ไม่ว่าคำพูดใดของนางที่พูดออกมาย่อมไม่สามารถเชื่อถือได้”
สายตาของจ้าวเฟิงสงบนิ่ง วิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว
รวมทั้งดวงตาเทพเจ้าที่ผ่านการวิวัฒนาการแล้วของจ้าวเฟิงยังทำให้ลักษณะนิสัยของเขาเต็มไปด้วยความมีสติและเยือกเย็นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกัน
นัยน์ตาหงส์ของฉินหวางเฟยพลันปรากฏความประหลาดใจขึ้นวูบ ความแข็งแกร่งทางจิตใจและอารมณ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้น่าหวาดกลัวนัก ทั้งที่ตนเองพยายามแสดงบทบาทหลายหลายอารมณ์ แสดงเป็นสตรีงดงามด้วยนิสัยหลากหลายจนสุดความสามารถ
ในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษผู้ใด ต่อให้มีจิตใจแข็งแกร่งเพียงใด จะอย่างไรก็ต้องมีลักษณะนิสัยของสตรีที่ชอบอยู่ประการหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เรียบร้อยน่าทะนุถนอม สดใสมีชีวิตชีวา และเคร่งขรึมสูงส่ง เป็นต้น
ทว่า ฉินหวางเฟยกลับพบว่าจ้าวเฟิงนั้นเหมือนเช่นท่อนไม้
เสน่ห์หลอมโลกาของนางที่สามารถใช้ออกได้อย่างลื่นไหลไร้ซึ่งการต่อต้าน เป็นคราแรกที่ถูกโจมตีและไม่ประสบความสำเร็จเช่นนี้
จ้าวเฟิงไม่พูดสิ่งใดและค่อยๆ นำสิ่งของของผู้เป็นอาจารย์มอบให้แก่อีกฝ่าย
หวีหยกครึ่งหนึ่ง และจดหมายหนึ่งฉบับ
เมื่อมือขาวของนางได้สัมผัสกับหวีหยกครึ่งหนึ่งนั้น สีหน้าของฉินหวางเฟยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นี่คือ…”
ฉินหวางเฟยตกลงสู่ห้วงความทรงจำแต่เก่าก่อน สีหน้าของเด็กสาวไร้เดียงสาและความรู้สึกอ่อนหวานพลันปรากฏขึ้นวูบ
จ้าวเฟิงชะงักไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นฉินหวางเฟย ‘ลืมตัว’ เช่นนี้
“เจ้ากับซื่อถูมั่วเกี่ยวข้องอันใดกัน”
ฉินหวางเฟยเก็บหวี่หยกครึ่งนั้นไว้ และค่อยๆ เปิดจดหมายออก
“ท่านเป็นอาจารย์”
จ้าวเฟิงตอบ
ซื่อถูมั่วที่ฉินหวางเฟยกล่าวถึงก็คือผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสำนักจันทร์สลาย
ฉินหวางเฟยค่อยๆ อ่านจดหมายที่อยู่ในมือ สายตาปรากฏความประหลาดใจขึ้นบางครั้ง
จ้าวเฟิงรอคอยอย่างตั้งใจ
ในจดหมายนั้นมีสิ่งที่ผู้อาวุโสหนึ่งได้ฝากฝังไว้ทั้งหมด
“สิบสามแคว้นเมฆานั้นห่างไกลยิ่งนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอาณาจักรนภาเองก็ยังแบ่งแยกกันอยู่ มีเพียงแค่ทั้งอาณาจักรรวมเป็นหนึ่งจึงจะสามารถช่วยเหลือสิบสามแคว้นได้”
ฉินหวางเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าปกติ
ผลที่ได้นี้ไม่ได้เกินกว่าความคาดหมายของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวแต่อย่างใด
“การช่วยเหลือสิบสามแคว้นนั้น อาจารย์ของเจ้าไม่ได้มีความหวังมากมายอันใด ความต้องการเพียงอย่างเดียวของเขาคือการสร้างที่อยู่ที่เหมาะสมให้แก่เจ้า”
ฉินหวางเฟยแย้มยิ้มบาง
พรึ่บ
มือขาวกำแน่น จดหมายที่อยู่ในกำมือนั้นกลับกลายเป็นเถ้าถ่าน
สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา ไม่เข้าใจความคิดและความต้องการของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
สตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้สามารถแสดงท่าทางนิสัยได้นับหมื่น ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ถึงใบหน้าที่แท้จริงของนาง
อีกทั้งจ้าวเฟิงเองก็ยังปรากฏความรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
“เจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเขา หวางเฟยผู้นี้จะดูแลเจ้าไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร ข้าสามารถเอ่ยทูลฝ่าบาทให้รับเจ้าเข้าเป็นบุตรบุญธรรมได้”
ฉินหวางเฟยยังคงเยือกเย็นพร้อมเอ่ยพูดด้วยท่าทีสบายๆ
บุตรบุญธรรม
จ้าวเฟิงสมองว่างโล่งเล็กๆ รู้สึกว่าไม่อาจตามทันความคิดจองอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหากเป็นคนทั่วไป การเป็นบุตรบุญธรรมของราชาและฉินหวางเฟยนั้นนับเป็นเรื่องยอดเยี่ยมที่ยากจะเป็นจริงได้
“ขอบพระทัยความหวังดีของหวางเฟย…”
จ้าวเฟิงเอ่ยปฏิเสธตรงๆ
เขามีบิดามารดาอยู่แล้ว จู่ๆ จะมามีมารดาบุตรธรรมขึ้นอีก จิตใจพลันรู้สึกขัดแย้งขึ้นอย่างมาก
“ไม่เป็นไร เจ้าก็พักอยู่ในเมืองหลวงนี้ก่อน หลังจากที่ข้ากลับไปจะปรึกษากับราชาให้ตระเตรียมต้อนรับเจ้าให้เหมาะสม หากเจ้าต้องการ ข้าสามารถฝากฝังเจ้าให้กับ ‘สำนักเจี่ยนจง’ หนึ่งในสามยอดสำนักได้…”
ฉินหวางเฟยเอ่ยกลั้วหัวเราะ
เมื่อเห็นว่า ‘การพูดคุย’ กับฉินหวางเฟยกำลังจะสิ้นสุดลง จ้าวเฟิงพลันจดจำถึงเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านหวางเฟย มีของสิ่งหนึ่งที่คนผู้หนึ่งฝากฝังให้ข้ามอบให้ท่านด้วยตนเอง”
จ้าวเฟิงนำกลีบดอกบัวที่สร้างขึ้นจากหยกชิ้นหนึ่งออกมา
ความจริงแล้ว กลีบดอกบัวหยกนี้คือส่วนหนึ่งของสามปทุม
คำสั่งเสียสุดท้ายของจอมโจรฉุ่ยเยว่ได้ซ่อนไว้ในสิ่งนี้
เนื้อหาของคำสั่งเสียคือให้ผู้ที่ได้สมบัติของจอมโจรฉุ่ยเยว่นำกลีบดอกบัวนี้มอบให้กับฉินหวางเฟยด้วยตัวเอง
หลังจากที่จ้าวเฟิงทำให้สามปทุมยอมรับได้ จึงได้รับข้อมูลนี้มา
“เจ้า…”
ฉินหวางเฟยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าขาวราวหิมะปรากฏสีแดงระเรื่อแปลกตาขึ้น
จุดตรงกลางระหว่างคิ้วของหญิงสาวปรากฏสีแดงอ่อนรูปดอกบัว
ร่างของฉินหวางเฟยพลันอ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทั่วทั้งร่างแดงซ่าน และลมหายใจถี่รัว ราวกับสตรีที่ตกอยู่ในห้วงกำหนัด ยากที่จะควบคุมตนเอง
“นี่… นี่มันเรื่องอันใดกัน”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง
สตรีที่มีบุคลิกนิสัยหลากหลายมีมารยาร้อยเล่มเกวียนกลับไม่มีแรงต่อต้าน ร่างอ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งเรี่ยวแรงล้มลงต่อหน้า
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าสตรีผู้นั้นคือสาวงามอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรนภา ฉินหวางเฟย เลย
หากเป็นบุรุษทั่วไป บางทีคงไม่อาจควบคุมตนเองและกระทำสิ่งเลวร้ายเช่นเดรัจฉานลงไปแล้ว
จ้าวเฟิงเพียงรู้สึกว่ากลีบดอกบัวบนฝ่ามือของตนนั้นร้อนยิ่งนัก
จากนั้น กลิ่นอายร้อนวูบก็ได้แผ่ขยายไปทั่วร่าง ราวกับจะกลืนกินสติทั้งหมดของตนเอง
ในเวลาเดียวกัน สัญลักษณ์ระหว่างคิ้วของฉินหวางเฟยก็ยิ่งมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
สตรีที่ฝึกฝนหนทางแห่งเสน่ห์ หวางเฟยที่งดงามเกินผู้ใด ทั่วทั้งร่างแดงก่ำเร่าร้อน นัยน์ตาหงส์ของนางพร่าเลือน พยายามต่อต้านความรู้สึกนั้นอย่างเต็มที่
ทว่าร่างกายของนางกลับเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ ปลดอาภรณ์บนร่างลงเล็กๆ เผยให้เห็นผิวกายขาวเนียนงดงาม
“ไม่ดีแล้ว”
จ้าวเฟิงเองก็แทบจะไม่อาจควบคุมตนเองได้ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ส่วนล่างแข็งขืนราวกับราชสีห์ ต้องการที่จะพุ่งกระโจนออกไปในทันที
ในช่วงเวลาสำคัญ
มิติในดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม บ่อน้ำสีฟ้าเย็นเยียบสงบนิ่งพลันปรากฏของเหลวสีฟ้าเย็นเยียบออกมา
ทันใดนั้น
จ้าวเฟิงสามารถความคุมจิตใจของตนเองให้กลับมาเยือกเย็น ต่อต้านอาการของร่างกายตนเองได้ในที่สุด
“จอมโจรฉุ่ยเยว่ผู้นี้ มิคาดว่าวางแผนเช่นนี้เอาไว้ด้วย”
ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มพลันวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว
กลีบดอกบัวที่อยู่ในมือของเขาและสัญลักษณ์ดอกบัวสีแดงที่ปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของฉินหวางเฟยมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
เมื่อใช้กลีบดอกบัวจะสามารถควบคุมอารมณ์ของฉินหวางเฟยได้ กระทั่งสามารถทำให้แม้อีกฝ่ายไม่ต้องการก็ไม่อาจขัดขืน
อาจกล่าวได้ว่าเมื่อร้อยปีก่อน การพนันระหว่างจอมโจรฉุ่ยเยว่และฉินหวางเฟยนั้นไม่ได้จบลงโดยที่ฉินหวางเฟยเป็นผู้ชนะ
แม้จอมโจรฉุ่ยเยว่จะพ่ายแพ้ ทว่าได้ใช้เคล็ดวิชาลับจาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ทิ้งกระบวนท่านี้เอาไว้ภายในร่างของอีกฝ่าย
จากนั้นเมื่อคนรุ่นหลังผู้ใดได้ครอบครองสมบัติสายธารจันทราและนำกลีบดอกบัวนี้ออกมา ย่อมสามารถควบคุมหยอกล้อฉินหวางเฟยได้ ทำได้กระทั่งบังคับให้นางกลายเป็นทาสของตนเอง
น่ากลัวยิ่งนัก
เป็นแผนการที่น่ากลัวยิ่งนัก
แผนการที่วางไว้เมื่อร้อยปีก่อน
จิตใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก
เมื่อจอมโจรฉุ่ยเยว่ได้วางแผนเช่นนี้ไว้ เช่นนั้นที่ฉินหวางเฟยตั้งใจจะลงมือต่อไปย่อมไม่เรื่องดี
ยามที่จ้าวเฟิงคิดถึงเหตุและผลออก ฉินหวางเฟยก็ใช้แรงใจที่แข็งแกร่งปิดกั้นพลังจากดอกบัวแดงที่ระหว่างคิ้วไว้อย่างกล้ำกลืน
“ทหาร ฆ่ามันซะ”
ฉินหวางเฟยใบหน้าเย็นชา เอ่ยตวาดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
ทว่านี่นับเป็นขีดจำกัดของนางแล้ว ทั่วทั้งร่างของนางอ่อนแรง ไม่อาจที่จะโจมตีได้
แม้ว่าจอมโจรฉุ่ยเยว่จะวางแผนการใช้กับฉินหวางเฟยสำเร็จ ทว่าการพัฒนาของฝ่ายหลังก็ชัดเจนยิ่งนัก กระทั่งบรรลุขั้นนายเหนือแท้
“ท่านพี่ฉินซิน”
สตรีงดงามในอาภรณ์สีเขียวได้ยินเสียงเรียก รีบรุดกายเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในปัจจุบันได้ทำให้ใบหน้างดงามของนางขาวซีดและนิ่งอึ้ง
ฉินหวางเฟยที่สมบูรณ์แบบ ยามนี้ได้แต่งตัวล่อแหลมอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เรือนร่างแดงซ่าน
“ฆ่ามันซะ”
สีหน้าของฉินหวางเฟยเย็นเยียบ นัยน์ตาหงส์ปรากฏจิตสังหารขึ้นอย่างชัดเจน
จิตสังหารนี้ไม่ได้เพียงเกิดจากจ้าวเฟิงที่ถือกลีบดอกบัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากความอาฆาตที่เก็บสะสมมาไว้เป็นเวลายาวนานด้วย
“ไอ้เด็กหยาบช้าสารเลว บังอาจวางแผนต่อฉินหวางเฟย จงตายซะ”
สตรีในอาภรณ์สีเขียวตวาดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ปราณจิตวิญญาณปรากฏออกจาร่างราวอสรพิษ พุ่งตรงไปยังร่างของจ้าวเฟิง
การมาถึงของสตรีในชุดสีเขียวได้ทำให้ฉินหวางเฟยรู้สึกโล่งอกเล็กๆ ให้ข้ารับใช้ของตนเองฆ่าเด็กนี่ซะโดยที่นางไม่ต้องลงมือ
คลื่นวงแหวนอัสนี
ทั่วทั้งร่างของจ้าวเฟิงปรากฏระลอกกระแสไฟฟ้าสีฟ้าขึ้นพร้อมด้วยเสียงครืนครางของอัสนี ทะลวงฝ่าการโจมตีของสตรีชุดเขียวไปได้อย่างยากลำบาก
คลื่นวงแหวนอัสนีเป็นวงแหวนอัสนีที่ถูกพัฒนาแล้ว ทำให้โซ่กระแสไฟฟ้าเคลื่อนตัวเป็นระลอกคลื่นออกไปอย่างต่อเนื่อง สามารถขยับเคลื่อนที่ได้ หากโดนมันเข้าไปจะถูกโจมตีโดยกระแสไฟฟ้า ทำให้ร่างกายสูญเสียแรงต่อสู้และมีอาการหนึบชา ยากที่จะต่อต้าน
ไม่ดีแล้ว
เพื่อที่จะป้องกันฉินหวางเฟยที่กำลังอ่อนแอ สตรีชุดเขียวจำต้องรั้งพลังบางส่วนจากการโจมตีมาป้องกันแทน
ตูมม
การต่อสู้ของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ทำให้ศาลานี้พังทลายลงในทันที ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปทั่วทุกทิศ
ฉินหวางเฟยและสตรีชุดเขียวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตามองตามร่างของจ้าวเฟิงที่หลบหนีออกจากศาลาไปอย่างหมดสิ้นหนทาง
ทั้งสองไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเพียงนี้ กระทั่งสามารถต่อกรกับผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ตรงๆ
“ตายซะเถอะ”
สตรีชุดเขียวใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อครู่นั้นนางกลัวว่าหวางเฟยจะได้รับบาดเจ็บจึงไม่อาจลงมืออย่างเต็มที่ได้