บทที่ 308 : ยอดผู้อาวุโส
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสตรีชุดเขียว จ้าวเฟิงไม่ได้รู้ตกใจแต่อย่างใด เด็กหนุ่มพลันโคจรพลังสายเลือดและระเบิดพลังอัสนีออกมา แปรสภาพเป็นคลื่นไฟฟ้าสีเขียวรุนแรง ทั้งสี่ทิศปรากฏหลุมดำไหม้เกรียมตื้นๆ ขึ้น
คลื่นวงแหวนอัสนีนั้นมีเสียงสายฟ้าดังคำรามออกมา แฝงไปด้วยกระแสไฟฟ้ามหาศาลทรงพลัง กระทั่งสามารถทำให้ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ร่างกายหนึบชา ความเร็วเชื่องช้าลง
นอกจากนั้น ภายในร่างของจ้าวเฟิงยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของจอมโจรฉุ่ยเยว่ที่ช่วยสนับสนุนอยู่ ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลถึงปริมาณปราณแท้ที่ใช้ไป
“ไอ้โจรไร้ยางอาย”
สตรีชุดเขียวถูกการโจมตีของจ้าวเฟิงสกัดไว้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพลังของคลื่นวงแหวนอัสนีเป็นการโจมตีแบบวงกว้าง ทำให้ส่งผลไปถึงฉินหวางเฟยที่อยู่ข้างหลังด้วย
“ฉินหวางเฟย กลีบดอกบัวนี้เป็นสิ่งที่จอมโจรฉุ่ยเยว่ทิ้งไว้ ไม่ใช่เจตนาของข้าแต่อย่างใด เหตุใดท่านจึงต้องพยายามฆ่าข้าด้วย?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงบูดบึ้ง
จากที่ผู้อาวุโสหนึ่งมอง ผู้ที่ได้รับจดหมายและผู้เป็นอาจารย์ของเขาย่อมมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกัน
และแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ฉินหวางเฟยก็ไม่ควรที่จะมีความมุ่งร้ายหมายชีวิตตนเช่นนี้
“ทหาร ฆ่ามันซะ”
สีหน้าฉินหวางเฟยเต็มไปด้วยโหดเหี้ยม ไม่เอ่ยอธิบายสิ่งใด นัยน์ตาหงส์เต็มไปด้วยจิตสังหารข้นคลั่ก
บางทีหากไม่เป็นเพราะกลีบดอกบัวหยกในมือของจ้าวเฟิง ด้วยพลังขั้นนายเหนือแท้ของอีกฝ่าย บางทีคงจะพุ่งเข้ามาฉีกร่างของเด็กหนุ่มเป็นชิ้นๆ แล้ว
สมองของจ้าวเฟิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์มีอยู่สองรูปแบบ
อย่างที่หนึ่ง ฉินหวางเฟยไม่คิดใส่ใจในมิตรภาพในอดีต มีความต้องการที่จะฆ่าจ้าวเฟิงอยู่แล้ว
อย่างที่สอง ฉินหวางเฟยไม่ใช่คนที่เขาต้องการหา
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใดก็แล้วแต่ ทุกอย่างล้วนไม่เป็นผลดีแก่ตัวเขาเลย
เสียงที่ดังขึ้นได้สร้างความตื่นตัวให้แก่คนภายในศาลาฉุ่ยเหยียนอย่างรวดเร็ว
“สถานที่นี้ไม่ควรรั้งอยู่นานนัก”
ผ้าคลุมเงาหยินของจ้าวเฟิงสั่นไหว ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับกลายเป็นเงาพร่าเลือน หลบหนีไปทางริมฝั่งแม่น้ำที่ชายป่าห่างออกไปพร้อมด้วยเสียงคำรามของสายฟ้า
“ปี้เอ๋อร์ ออกคำสั่ง ไม่ว่าทำอย่างไรก็ต้องฆ่ามันให้ได้ จ้าวเฟิงคิดการณ์ใหญ่ ทั้งยังบังอาจล่วงเกินหวางเฟยผู้นี้ ออกใบประกาศจับให้ทั่วทั้งเมือง”
ฉินหวางเฟยตวาดอย่างเคร่งเครียด
“เจ้าค่ะ หวางเฟย”
สตรีชุดเขียวแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มเงา ติดตามจ้าวเฟิงไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าประสาทสัมผัสของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งยิ่งนัก หลังจากที่ได้ยินคำสั่งของฉินหวางเฟย สีหน้าเขาก็ย่ำแย่ลง มองด้วยหางตากลับไป “ดี ฉินหวางเฟย ข้านับท่านเป็นผู้อาวุโส แม้ข้าจะมีสมบัติแห่งจอมโจรฉุ่ยเยว่ที่ใช้กับท่านได้แต่ก็ไม่ลงมือแม้แต่น้อย ทว่าท่านกลับตอบแทนข้าเยี่ยงนี้”
ความจริงแล้ว การที่จ้าวเฟิงสามารถประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้หนู บังอาจล่วงเกินหวางเฟย ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องตาย”
สตรีชุดเขียวปฏิบัติตามคำสั่งของฉินหวางเฟยอย่างเคร่งครัด หากจับเป็นไม่ได้ก็ต้องจับตาย
หึ
ร่างของจ้าวเฟิงหยุดยืนอยู่กับที่ เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหวไปตามสายลมรุนแรง
ดวงตาสีฟ้าใสลึกล้ำราวกับบ่อน้ำเย็นเยียบจ้องมองไปยังสตรีชุดเขียว
ทันใดนั้น กลิ่นอายเย็นเยือกก็ได้แทรกซึมผ่านอากาศเข้าไปยังจิตใจของอีกฝ่าย
“ปี้เอ๋อร์ อย่ามองตาเขา”
ฉินหวางเฟยมีประสบการณ์มากมายนัก รีบเอ่ยเตือนขึ้นในทันที
เคล็ดวิชาพลังจิตของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว ตราบเท่าที่แหล่งกำเนิดพลังจิตแข็งแกร่งย่อมสามารถใช้ออกได้
ทว่าในเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของเขานั้นภายในมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ทรงพลัง ทั้งยังสามารถเพิ่มพลังการโจมตีทางจิตได้อีกด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดคนที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันกับเขาจึงไม่สามารถต่อต้านหนึ่งการมองของจ้าวเฟิงได้
หากฝ่ายตรงข้ามสามารถหลบสายตาของจ้าวเฟิงได้ พลังของมันก็จะด้อยลงมากกว่าสี่ในสิบส่วน
ทว่าคำเตือนของฉินหวางเฟยนั้นช้าเกินไป
เรือนร่างอ้อนแอ้นของสตรีชุดเขียวสั่นสะท้าน สบตากับดวงตาจ้าวเฟิงมาได้เกือบหนึ่งลมหายใจแล้ว
ฟุ่บ
ร่างของสตรีชุดเขียวชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และล้มลงไปกองกับพื้น เหมือนกับฉินหวางเฟยที่ไม่อาจขยับตัวได้
สถานการณ์นี้ได้ทำให้สีหน้าของฉินหวางเฟยย่ำแย่ลง
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงราวกับรับรู้ถึงบางอย่าง ส่งสายตาไปยังหลายทิศทาง
“ขั้นผู้วิเศษแท้หนึ่งคน ขั้นมนุษย์แท้สองคน แล้วก็ยอดฝีมืออีกมากมาย…”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
เขารู้ว่ายามนี้ตนเองไม่มีทางหลบหนีได้
หากเป็นขั้นมนุษย์แท้เพียงหนึ่งถึงสองคนเขาไม่หวาดกลัว ทว่ามียอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้อยู่ ไม่ว่าจะด้านความเร็วและพลัง ทั้งหมดล้วนเกินขอบเขตความสามารถของเขาไปแล้ว
พรึบ
เด็กหนุ่มไม่หยุดชะงัก ร่างกายพุ่งวูบไปยังสองสตรีเบื้องหน้าแทนที่จะล่าถอย มุ่งตรงไปยังฉินหวางเฟย
“เจ้า…”
เรือนร่างอรชรของฉินหวางเฟยหนึบชา ทั่วทั้งร่างแดงซ่าน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
ในยามนี้ จิตใจของสตรีชุดเขียวอ่อนแรงลง ยากที่จะประคองร่างของตนเองไว้ได้ ทำได้เพียงมองจ้าวเฟิงเข้าใกล้ฉินหวางเฟยอย่างหมดสิ้นหนทาง
ฉินหวางเฟยลอบโคจรปราณจิตวิญญาณภายในร่าง แม้ว่านางจะถูกกับดักของจอมโจรฉุ่ยเยว่ แต่จะอย่างไรก็มีพลังอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ ย่อมสามารถใช้ปราณจิตวิญญาณได้บ้างอย่างกล้ำกลืน เพียงแค่รอจังหวะที่จ้าวเฟิงเข้าใกล้ย่อมสามารถออกมือโจมตีคร่าชีวิตอีกฝ่ายได้ในครั้งเดียว
ปราณจิตวิญญาณของขั้นนายเหนือแท้นั้นสามารถเอาชนะขั้นมนุษย์แท้ได้โดยสิ้นเชิง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงนั้นยังไม่บรรลุเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงด้วยซ้ำ
ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ ว่าทุกการกระทำของนางมีเป้าหมายอยู่ที่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
พรึบ
“เข็มขัด” สีดำประกายเงินที่ไม่ได้เป็นจุดสนใจกลับกลายเป็นแส้สีเลือดที่ราวกับมีชีวิต รัดพันร่างของฉินหวางเฟย
ในสมบัติสายธารจันทรา “แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ” มีมูลค่าใกล้เคียงกับสี่สมบัติสายธารจันทรา ด้วยอานุภาพของมันที่ไม่ธรรมดา มีความพิเศษในการจำกัดการเคลื่อนไหว และสามารถดูดกลืนโลหิตของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งมาเพิ่มความสามารถของตัวมันได้
วูบบบ
ฉินหวางเฟยถูกแส้อสรพิษโลหิตลึกลับรัดไว้ พลังในโลหิตถูกดูดกลืนไปอย่างเชื่องช้า
ดีที่ว่าพลังฝึกตนของนางสูง หากเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณทั่วไป เพียงสองลมหายใจก็ถูกดูดเลือดไปจนหมดร่างแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ เศษเสี้ยวปราณจิตวิญญาณที่นางรวบรวมมาอย่างยากลำบากก่อนหน้าจึงพังลงในทันที
ยิ่งจ้าวเฟิงกับกลีบดอกบัวหยกในมือของเขาเข้ามาใกล้เท่าใด ร่องรอยสีแดงสดระหว่างคิ้วของฉินหวางเฟยก็ส่องสว่างขึ้นเท่านั้น
กลิ่นอายของกลีบดอกบัวหยกก็ส่งผลกระทบต่อจ้าวเฟิงเช่นกัน
“ดูนางไว้”
จ้าวเฟิงราวกับพูดกับอากาศ
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกระโจนขึ้นไปบนไหล่ของฉินหวางเฟย รับผิดชอบในการควบคุมแส้อสรพิษโลหิตลึกลับ
เวิงงง
เบื้องล่างฝ่าเท้าของจ้าวเฟิงปรากฏแท่นดอกบัวสามสีขึ้น เด็กหนุ่มนำตัวของฉินหวางเฟยที่กลายเป็นตัวประกันหนีออกไปนอกเมืองหลวงอาณาจักรนภา
ในเวลากัน เสียงหลายเสียงก็ได้ดังขึ้นจากความว่างเปล่า
ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้หนึ่งคนและพลังขั้นมนุษย์แท้สองคนพุ่งมาจากใกล้ๆ
“ใครกล้าเข้ามา ข้าจะฆ่านางซะ”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง ดวงตาซ้ายสีฟ้าใสส่องประกายลึกล้ำ
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะ ควบคุมแส้อสรพิษโลหิตลึกลับที่ดูราวกับรัดแน่นขึ้น การหลอกลวงลักพาตัวนั้น ตัวมันเชี่ยวชาญยิ่งนัก
บนลำคอขาวนวลของฉินหวางเฟยปรากฏรอยแดงจากแรงรัดขึ้น
“หยุดเดี๋ยวนี้”
เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป
ฉินหวางเฟยแต่งตัวล่อแหลม เนื้อตัวแดงก่ำราวผลท้อ สาวใช้ของนาง ปี้เอ๋อร์ ทั่วทั้งร่างท่วมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ อ่อนแรงยากที่จะเคลื่อนไหว
สถานการณ์เช่นนี้ผู้คนอดที่จะคิดไปไกลไม่ได้
ทุกคนต่างไม่กล้าเข้าใกล้จ้าวเฟิงมากนัก ทำได้เพียงรักษาระยะห่างเอาไว้
สามปทุมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าจ้าวเฟิงมีความเร็วเกินบรรยาย เมื่อถูกควบคุมอย่างเต็มที่สามารถเทียบเท่าได้กับความเร็วของขั้นมนุษย์แท้ ทั้งยังอาจนับได้ว่าเร็วกว่าหนึ่งถึงสองขั้น
“รีบไปแจ้งข่าวให้ราชวงศ์”
“กราบทูลฝ่าบาท มีคนลักพาตัวฉินหวางเฟยไป คาดว่าเป็นผู้สืบทอดที่มาล้างแค้นของจอมโจรฉุ่ยเยว่”
ข่าวได้ส่งผ่านอากาศ
ในเวลาเพียงครึ่งชั่วน้ำชาเดือด ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย
เนื่องจากการประมูลของโรงประมูลเชิงหลง ทำให้ในเมืองหลวงยามนี้มียอดฝีมืออยู่จำนวนมากกว่าปกตินัก
“สวรรค์ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ มีคนจับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน”
“สามปทุมนั่น เกรงว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดของจอมโจรฉุ่ยเยว่ อย่าเข้าไปใกล้ ระวังฉีเซียงพิษของมัน”
เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่ลอยอยู่กลางอากาศตื่นตะลึง
ชื่อเสียงอันเลื่องลือของจอมโจรฉุ่ยเยว่เมื่อร้อยปีก่อนยังคงอยู่ เครื่องหอมพิษของเขาสามารถปลิดชีวิตของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบางคนได้ ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ยากที่จะต่อกร
จ้าวเฟิงนำตัวฉินหวางเฟยบินข้ามผ่านกำแพงเมืองหลวงออกไป
ในยามนี้
กลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอันทรงพลังและมหาศาลได้ครอบคลุมท้องนภา
เหนือศีรษะราวกับปรากฏประกายสายฟ้าขึ้น ไอสวรรค์ขยับไหวอย่างกระวนกระวาย
“ไอ้เด็กเหลือขอ ยังไม่ยอมแพ้อีก”
น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นเช่นสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เป็นราวกับลิขิตแห่งสวรรค์
ขั้นนายเหนือแท้
ในยามนี้ ใกล้กำแพงเมืองได้ปรากฏยอดฝีมือจำนวนมากที่ปิดปากเงียบ เต็มไปด้วยความเกรงกลัวหวาดหวั่น
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับการเคลื่อนไหวของไอสวรรค์จำนวนมากได้
“ขั้นนายเหนือแท้ ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก สายตากวาดตามองไปทั่วทุกทิศทว่ากลับไม่พบแม้แต่ร่องรอยใด
ในวินาทีสำคัญ ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มพลันเต้นถี่รัว
ดวงตาซ้ายของเขามองผ่านอากาศไปหลายร้อยลี้ ยังพอที่จะคาดคำนวณได้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของเสียงนั้นยังคงอยู่ห่างจากตนเอง
“ผู้ใดกล้าเข้าใกล้ข้าในระยะห้าสิบลี้อีก ข้าจะฆ่านางทันที หรือไม่ก็ทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าผู้คนจำนวนมากนี่…”
จ้าวเฟิงสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยิ่งใหญ่มากจากที่ใด
“ทุกคนถอยไป”
ฉินหวางเฟยใบหน้าซีดเผือดในที่สุด
นางคือผู้สืบทอดหนทางแห่งความเสน่หา หากพ่ายแพ้ในยามนี้ ชื่อเสียงที่สั่งสมมากว่าร้อยปีในราชวงศ์ย่อมไม่หลงเหลือ
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าคนบางส่วนในราชวงศ์กำลังเฝ้ารอนางฆ่าตัวตายอยู่
ในเสี้ยวพริบตา ระยะห้าสิบลี้รอบกายของจ้าวเฟิงก็ถูกยึดไปด้วยคนของราชวงศ์
เหล่าระดับสูงของราชวงศ์ องค์ราชา ผู้อาวุโส แม่ทัพ นายกอง… ต่างก็เร่งรีบตรงมา
ในยามนี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงอาณาจักรนภาล้วนสั่นสะเทือน
“อย่าทำอะไรฉินซิน”
ราชาแห่งแคว้นนภาคือชายวัยกลางคนเรือนผมสีน้ำตาล รูปร่างกำยำ เมื่อเห็นจ้าวเฟิงจับฉินหวางเฟยที่รักยิ่งเป็นตัวประกัน พลันออกคำสั่งให้ฆ่าคนใกล้ชิดของจ้าวเฟิงในทันที
ดวงตาเทพเจ้าของจ้างเฟิงกวาดมองไปโดยรอบในระยะห้าลี้อย่างรวดเร็ว สีหน้าของเด็กหนุ่มพลันมืดทะมึนลง “ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บนต้นไม้มีคนอยู่หนึ่งคน บนชั้นเมฆมีสองคน ในแม่น้ำมีสี่คน…”
เป้าหมายของเขาล้วนเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อย
เมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ย เหล่าราชวงศ์พลันชะงักงัน
พวกเขาได้ลดกองกำลังที่ไล่ตามอย่างเปิดเผยลง ทว่าย่อมส่งคนออกไปอย่างลับๆ เพื่อช่วยเหลือ
ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ในระยะห้าสิบลี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนเลย กระทั่งยุงเขายังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“สายเลือดดวงตาของเด็กนี่น่ากลัวโดยแท้ สามารถมองเห็นคนที่หลบซ่อนอยู่ทั้งหมดได้”
ราชาแห่งอาณาจักรนภามีท่าทีหดหู่
ผู้อาวุโสและเหล่าแม่ทัพนายกองที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดหลงเหลือ
ฉินหวางเฟยผู้มีฐานันดรที่สูงศักดิ์ ราชาแห่งอาณาจักรนภายังหลงใหลนางยิ่งนัก
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง จ้าวเฟิง ที่มีพลังไม่ถึงขั้นมนุษย์แท้จะสามารถจับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันได้
ควรรู้ว่าพลังฝึกตนที่แท้จริงของฉินหวางเฟยนั้นสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ ทว่าฝึกตนในหนทางแห่งความเสน่หา ทำให้ไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็เพียงพอที่จะเอาชนะผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ ในอดีต กระทั่งจอมโจรฉุ่ยเยว่ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือนาง
ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือสายเลือดดวงตาของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว มันสามารถมองทะลวงผ่านทุกสิ่ง ไม่อาจหลบซ่อนจากสายตาของเขาได้
ในยามนี้ ไอสวรรค์ได้เริ่มรวมตัวกันอย่างกราดเกรี้ยว เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นสุดยอดของกลิ่นอายจิตวิญญาณที่แท้จริง แทบจะถึงระดับที่สามารถสั่นคลอนโลกาได้
“ยอดผู้อาวุโส”
คนของราชวงศ์ รวมทั้งราชาแห่งแคว้นนภา ต่างค้อมตัวคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน เผยท่าทีนอบน้อม