บทที่ 310 : ยินยอม
หลังจากผงกศีรษะ จ้าวเฟิงก็เตะฉินหวางเฟย สาวงามแห่งเมืองลงไปอย่างไร้ความรู้สึก
การกระทำนี้ได้ทำให้บุรุษเรือนผมสีเลือดนิ่งอึ้ง
รูม่านตาของยอดผู้อาวุโสหดเล็ก
รวมทั้งเหล่าระดับสูงของราชวงศ์ที่สีหน้าตื่นตะลึงอย่างหนักไปตามๆกัน
จ้าวเฟิงผู้นี้ จิตใจแข็งทื่อราวหินผา นิสัยเยี่ยงนี้ไม่พูดไม่จาแถมยังเตะสาวงามอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรออกไปอย่างง่ายๆ
ไม่ว่าอย่างไรฉินหวางเฟยนั้นนับเป็นผู้อาวุโสกว่าเขา
ทว่า สถานการณ์ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น!
ในวินาทีที่จ้าวเฟิงเตะเท้าออกไป ดวงตาของฉินหวางเฟยพลันส่องประกายเย็นเยียบ บนแก้มปรากฏสีเลือดฝาดขึ้นมากแล้ว ปราณจิตวิญญาณภายในร่างพุ่งพล่าน แผ่ออกจากร่างราวม่านหมอก พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
ฉินหวางเฟยตอบโต้!
ยามใดไม่มีผู้ใดทราบ ปราณจิตวิญญาณของฉินหวางเฟยได้ฟื้นคืนมากว่าหนึ่งถึงสองส่วนในสิบส่วน
และนางได้คว้าจับโอกาสนี้ไว้อย่างแนบแน่น ออกมือโจมตีตอบโต้
ระวัง!
บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว ตวาดเสียงเบา เขากำลังอยู่ระหว่างทางไปหาจ้าวเฟิง ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยได้ทัน
“ฆ่าจ้าวเฟิง ทำลาย ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ ข้าย่อมสามารถฟื้นฟูพลังกลับสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างสมบูรณ์ เผชิญหน้ากับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด ข้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ในเวลาเดียวกัน เมื่อยอดผู้อาวุโสและคนอื่นๆ มาถึง ย่อมมีโอกาสมากในการล้อมฆ่ารองจ้าวลัทธิโลหะเลือด”
นัยน์ตาหงส์ของฉินหวางเฟยปรากฏจิตสังหารเย็นเยียบ ปราณจิตวิญญาณสั่นสะท้าน พุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว
นี่นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึง
เมื่อฉินหวางเฟยทำสำเร็จ ไม่เพียงที่จ้าวเฟิงจะตายตก สถานการณ์ทั่วทั้งอาณาจักรก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล
“ฉลาด!”
“ควรค่าแล้วที่เป็นถึงหวางเฟย!”
คนฝ่ายราชวงศ์ดวงตาส่องประกาย ตะโกนชื่นชมไม่หยุด
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน
ในเสี้ยวพริบตา เท้าของจ้าวเฟิงได้เตะตรงไปยังฉินหวางเฟยอย่างโหดเหี้ยม
การเคลื่อนไหวของเท้าของเขานั้น เมื่อเทียบกับฉินหวางเฟยแล้วยังเร็วกว่าครึ่งนาที
คนทั้งสองบนสามปทุม ระยะห่างไกลเพียงเอื้อมมือ เร็วกว่าแม้เพียงครึ่งนาทีก็ยากที่จะกลบเกลื่อนด้วยพลังฝึกตนได้
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีเพียงคนเดียว เขายังมีแมวขโมยตัวน้อยอยู่ด้วย
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยแยกเขี้ยว เรียก ‘แส้อสรพิษโลหิตลึกลับ’ กลับมา แม้ว่ามันจะสั่นสะท้านด้วยปราณจิตวิญญาณที่ทรงพลังของฉินหวางเฟย ทว่ามันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการปล่อยแส้อสรพิษโลหิตลึกลับและใช้กรงเล็บโจมตีอีกฝ่ายแทน
เปรี้ยง!
สิ่งที่เกิดขึ้นในยามนี้คือ เท้าของจ้าวเฟิงได้เตะออก ต่อกรกับฉินหวางเฟยซึ่งๆ หน้า
อึก!
จ้าวเฟิงส่งเสียงไม่พอใจ แทบกระอักโลหิต ทว่าแรงของฝ่าเท้าของเขานั้นมีแรงระเบิดจากอัสนี รวมทั้งแหล่งปราณจิตวิญญาณแท้ของจอมโจรฉุ่ยเยว่อยู่ ทำให้ร่างของฉินหวางเฟยแข็งทื่อไปเล็กน้อย ต้องล่าถอยออกไปอย่างลนลาน
จะอย่างไร ยามนี้ฉินหวางเฟยก็แสดงพลังออกมาได้เพียงหนึ่งถึงสองในสิบส่วน ทั้งยังถูกกดดันโดยจ้าวเฟิง ย่อมไม่อาจได้เปรียบ
กรงเล็บของแมวขโมยตัวน้อยสร้างวงแสงเย็นเยียบ ฉวยโอกาสตบเข้าที่ใบหน้างดงามของฉินหวางเฟย
ฉัวะ!
ปราณจิตวิญญาณของฉินหวางเฟยฉีกขาด เรือนร่างงดงามร่วงหล่นออกจากสามปทุม
บนรูปลักษณ์งดงามอ่อนหวานของนาง บัดนี้ได้ปรากฏรอยตบสีแดงร้อนฉ่าขึ้น
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยเลียเลือดที่หลงเหลืออยู่บนกรงเล็บของมัน แสดงสีหน้าเยาะเย้ยใส่ฉินหวางเฟย
“ไอ้แมวขโมยนี่…”
ร่างของฉินหวางเฟยสั่นสะท้าน หลังจากที่คิดว่าหวางเฟยที่สูงศักดิ์เช่นนางกลับถูกแมวตัวหนึ่งตบต่อหน้าผู้คน
การตอบโต้ของนางนั้น แม้จะไม่สำเร็จ ทว่าอย่างน้อยก็นับว่าเสมอกันกับจ้าวเฟิง
ทว่าฉินหวางเฟยได้ดูแคลนแมวข้างกายเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวมากเกินไป
“ดีมากเจ้าแมว”
เถี่ยหมัวตามมาทันจากด้านหลังพร้อมเอ่ยขึ้น
ในทางกลับกัน จ้าวเฟิงกำ ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ ในมือเล็กๆ
สีหน้าของฉินหวางเฟยเปลี่ยนแปลงไป ตัดสินใจล่าถอยไปอยู่ข้างกายยอดผู้อาวุโส
เมื่อการโจมตีตอบโต้ล้มเหลว นางก็ยอมรับว่าการพนันครานี้ตัวนางได้เสียเปรียบแล้ว
เหตุผลที่จ้าวเฟิงสามารถชนะได้นั้นไม่เพียงเพราะสติปัญญา แต่เป็นเพราะพลังและความกล้าด้วย
เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่ต่อสู้ เบื้องหลังยังมีแผนของจอมโจรฉุ่ยเยว่ที่ดำเนินมาเนิ่นนานกว่าร้อยปีอยู่
แม้ว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ฉินหวางเฟยก็ยังคงโจมตีตอบโต้ได้อย่างเยือกเย็น แทบจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ นับว่าน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
เถี่ยหมัวลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ
จ้าวเฟิงมีตราฉวนเถาจื่อ เท่ากับว่าสามารถควบคุมฉินหวางเฟยที่มีความแข็งแกร่งในขั้นนายเหนือแท้ได้
“รีบเข้าไปในเกี้ยวกับข้าก่อน”
เถี่ยหมัวดึงจ้าวเฟิงเข้าไปในเกี้ยว
ในยามนี้
ยอดผู้อาวุโสหลงมู่ รวมทั้งฉินหวางเฟยและผู้มีพลังในขั้นนายเหนือแท้สองคน ขั้นผู้วิเศษแท้ห้าคน เผชิญหน้ากับเกี้ยวทองมังกรโลหิตที่อยู่ห่างออกไป
“ผู้อาวุโสหลงมู่ เหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสนี้จัดการ ‘เถี่ยหมัว’ ให้เรียบร้อย ตราบเท่าที่สามารถฆ่าหรือทำให้มันบาดเจ็บสาหัสได้ ฐานอำนาจของอาณาจักรนภาย่อมเปลี่ยนแปลง”
“มันเป็นที่รู้กันว่าจ้าวลัทธิโลหะเลือดที่แท้จริงอยู่ในการจำศีล หากเราลงมืออย่างจริงจัง เถี่ยหมัวย่อมไม่อาจต้านทานการร่วมมือกันของข้าและคนอื่นๆ ได้”
ระดับสูงของราชวงศ์หลายคนแนะนำ
ทว่ามีเพียงผู้อาวุโสหลงมู่และฉินหวางเฟยที่ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น
“ฉินหวางเฟย ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
สายตาของผู้อาวุโสหลงมู่มุ่งตรงไปยังฉินหวางเฟย
“โอกาสสำเร็จนั้นมีเพียงกึ่งหนึ่ง อำนาจของลัทธิโลหะเลือดนั้นหยั่งรากลึกในเมืองหลวงมาหลายปี พลังของ ‘เถี่ยหมัว’ เองทุกท่านก็ทราบดี บัดนี้ได้ ‘วงแหวนทมิฬ’ มาครอบครอง ทั้งการป้องกันและโจมตีล้วนสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้นเกี้ยวทองมังกรโลหิตยังเป็นมรดกของจ้าวลัทธิโลหะเลือด ทำให้การโจมตีของขั้นมนุษย์แท้ไร้ผล ขั้นผู้วิเศษแท้พลังลดลงเจ็ดในสิบส่วน และขั้นนายเหนือแท้พลังโจมตีลดลงสามในสิบส่วน อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก”
ฉินหวางเฟยไม่ได้ถูกความเกลียดชังบดบังเหตุผล
แม้ว่าใบหน้าของนางจะปรากฏรอยตบ ทว่ามันกลับไม่ได้ลดทอนความงามของนางลง กลับทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารนางแทน
ความจริงแล้ว นางเองก็ต้องระมัดระวังตราฉวนเถาจื่อและสามปทุมของจ้าวเฟิงเช่นกัน
ตรายฉวนเถาจื่อลดทอนกำลังของนางลงโดยตรง
สามปทุมมีสามฉีเซียงที่สามารถส่งผลต่อผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ เมื่อรวมกับการป้องกันของเกี้ยวทองมังกรโลหิตทำให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นแล้ว โอกาสที่ฝั่งราชวงศ์จะทำสำเร็จจึงลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะฉินหวางเฟยที่เสียเปรียบอย่างมาก
ฝ่ายราชวงศ์เผชิญหน้ากับเกี้ยวทองมังกรโลหิตที่อยู่ห่างออกไป ทั้งสองฝ่ายไม่มีความต้องการจะก่อสงคราม
จ้าวเฟิงนั่งอยู่ภายในเกี้ยวทองมังกรโลหิต มีความรู้สึกมั่นใจเป็นพิเศษ
วัสดุที่ใช้สร้างเกี้ยวทองมังกรโลหิตนี้ กระทั่งเนตรจิตวิญญาณของเขายังยากที่จะมองทะลุผ่าน
“จ้าวเฟิง ส่ง ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ มา แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป”
ราชาแห่งอาณาจักรนภาเป็นตัวแทนพูดคุยข้อตกลง
“ฝ่ายราชวงศ์ยกเลิกประกาศจับข้า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับข้ารวมทั้งคนของข้า แล้ว ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ นี้ข้าจะทำลายในอีกสามปี”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก
ในมือมี ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ ไม่ว่าฉินหวางเฟยจะพยายามวางแผนสิ่งใดต่อเขา หรือกระทั่งกดดันไปทางสำนักจันทร์สลายที่อยู่ห่างออกไปก็ยังต้องกลับมาคิดใหม่เสียหลายครั้ง
เหตุผลที่บอกว่าสามปีให้หลังนั้นเป็นเพราะจ้าวเฟิงค้นพบว่า ‘ตราฉวนเถาจื่อ’ นี้ หลังจากที่เริ่มใช้ออก กำลังของมันจะลดลง สามปีให้หลังย่อมไม่อาจสร้างอันตรายใดให้แก่ฉินหวางเฟยได้
“ได้ ตกลงตามนี้”
ฉินหวางเฟยผงกศีรษะ อย่างมากนางก็แค่ต้องหลบซ่อนตัวไปสามปี แม้ยามนั้นจ้าวเฟิงจะกลับมา นางก็จะพยามยามคิดหาทุกวิถีทางทำลายแผนการของจอมโจรฉุ่ยเยว่ในอดีตให้ได้
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เกี้ยวทองมังกรโลหิตที่ถูกหามโดยผู้มีพลังในขั้นมนุษย์แท้ทั้งสี่ก็ลอยจากไป
ฝ่ายราชวงศ์มองตามเกี้ยวทองมังกรโลหิตที่แล่นห่างออกไป
“ยอดผู้อาวุโส องค์ราชา หวางเฟย เราจะปล่อยเขาไปแบบนี้จริงๆ หรือ?”
“หากทำเช่นนี้ เกียรติยศของราชวงศ์เราจะคงอยู่ต่อได้อย่างไร?”
ระดับสูงของราชวงศ์บางคนปรากฏความรู้สึกไม่ยินยอมขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพียงแค่เด็กหนุ่มในขอบเขตก่อกำเนิดปราณกระจอกๆ ผู้หนึ่ง ไม่เพียงจับหวางเฟยเป็นตัวประกัน กระทั่งทำให้พวกเขาต้องมองส่งอีกฝ่ายจากไปอย่างหมดสิ้นหนทาง สำหรับศักดิ์ศรีของราชวงศ์แล้ว มันนับว่าเป็นความเสียหายมากนัก
“หากไม่ระวัง อำนาจของลัทธิโลหะเลือดสามารถส่งผลต่อเราได้ ที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือจ้าวลัทธิของพวกเขาที่ไม่มีผู้ใดรู้ความเป็นไปในสถานการณ์ของเขา”
ยอดผู้อาวุโสส่ายศีรษะเล็กๆ
“จ้าวลัทธิโลหะเลือด พวกเรายอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง หลายร้อยปีก่อนเขาได้เข้าร่วมกับยอดฝีมือหลายคนต่อกรกับผู้นำลัทธิมารจันทราชาด ทว่าบัดนี้ผ่านไปแล้วหลายร้อยปี ชีวิตของผู้มีพลังในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไปมากเพียง 500-800 ปี ในยามนั้นจ้าวลัทธิโลหะเลือดบาดเจ็บหนัก เป็นที่รับรู้กันว่านับแต่นั้นมาเขาได้เข้าสู่การจำศีล ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะตายไปแล้ว และแม้จะมีชีวิตอยู่ พลังย่อมตกต่ำลงอย่างมาก หรือมิเช่นนั้นลัทธิโลหะเลือดย่อมมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นสำนักระดับ ‘หนึ่งดารา’ แล้ว”
ชายชราผมน้ำตาลในขั้นนายเหนือแท้ผู้หนึ่งเอ่ยอย่างไม่ยอมรับ
“ผู้อาวุโสหลักฉุ่ยชิง ท่านเอ่ยมีเหตุผล ทว่าในสถานการณ์ยามนี้มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนัก ไม่ว่าจะเป็นทวีปเหนือ ทวีปกลาง หรือสิบยอดสำนัก”
ยอดผู้อาวุโสหลงมู่เผยรอยยิ้มบาง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนั้นพลันจมลงสู่ห้วงความคิด
“ท่านหมายถึง… ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’! ”
คนทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นดวงตาส่องประกายขึ้นพร้อมกัน
“พวกเจ้าคงจะรู้ งานชุมนุมเซียนมังกรนั้นเป็นงานระดับทวีป จัดขึ้นทุกๆ สิบปี มีเพียง ‘อัจฉริยะเซียนมังกร’ มารวมตัวกันมากพอจึงจะสามารถเปิดสี่มหามรดกได้ ในหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมานี้ มรดกความลับสวรรค์ปรากฏขึ้นหนึ่งครั้ง มรดกเจ็ดดาบปรากฏขึ้นสองครั้ง และมรดกอื่นๆ ปรากฏขึ้นราวๆ หนึ่งร้อยครั้ง”
ยอดผู้อาวุโสถอนหายใจ
“งานชุมนุมเซียนมังกรมีโอกาสมากที่ ‘แดนบุปผาคราม’ จะเชื่อมต่อกับยู่ไว่ สิบยอดสำนัก รวมทั้งยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดล้วนมีตำแหน่งว่างอยู่ในมือ นี่คือใบผ่านสำหรับอนาคตของอาณาจักร หากสามารถเข้าไปยังมรดกของยู่ไว่ได้ย่อมสามารถนำอาวุธวิเศษที่ทรงพลังและเคล็ดวิชาลับกลับมาได้ ซึ่งเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของอาณาจักร”
ฉินหวางเฟยผงกศีรษะ ดวงตาปรากฏความคาดหวังขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เกี้ยวทองมังกรโลหิต
“ขอบคุณท่านรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดยิ่งนักสำหรับการช่วยเหลือ”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าซาบซึ้ง
ในยามนี้เขาได้ใช้ตราคำสั่งของจ้าวลัทธิโลหะเลือด เท่ากับเป็นการทำให้เถี่ยหมัวมีโอกาสการตอบแทนบุญคุณคืนแล้ว
บุรุษเรือนผมสีแดง เถี่ยหมัว แย้มยิ้มขึ้น “จ้าวเฟิง ข้ายังคงดูถูกความสามารถและความกล้าของเจ้าอยู่จริงๆ อาณาจักรในยามนี้ ราชวงศ์รวมทั้งตระกูลหลิว กระทั่งสำนักเจี่ยนจงยังเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าวางแผนจะไปที่ใดต่อ?”
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยถามเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน
หน้าที่ที่ผู้เป็นอาจารย์ฝากฝังมานั้นได้ ‘เสร็จสิ้น’ ลงแล้ว
ผลลัพธ์นั้น ไม่เพียงแค่เขาไม่ได้รับการตอบรับอย่างที่ท่านอาจารย์หวัง ทว่ายังเกิดสถานการณ์แทบเอาชีวิตไม่รอดขึ้นเสียอีก
“สร้างความขุ่นเคืองกับเจ้าเมืองหงหู สร้างความขุ่นเคืองกับราชวงศ์ บัดนี้ในอาณาจักร ข้าจะไปที่ใดได้อีกเล่า?”
จ้าวเฟิงไม่รู้จะไปที่ไหนจริงๆ
ไม่มีที่ใดให้อาศัย
กลับไปยังสิบสามแคว้น? เมื่อเทียบกับที่นี่แล้วคงไม่อาจนับได้ว่าดีไปกว่ากันเท่าใด
ในทางกลับกัน รั้งอยู่ในอาณาจักรนภาที่เต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายย่อมมีโอกาสมากกว่า
“หากต้องการ ข้าสามารถทำให้เจ้าเป็นหัวหน้าสาขาได้ พื้นที่ที่ครอบครองอยู่นั้นมีประชากรเทียบเท่าได้กับแคว้นเล็กๆ แคว้นหนึ่ง”
ชัดเจนว่าเถี่ยหมัวได้ยอมรับจ้าวเฟิงมากนัก
บัดนี้จ้าวเฟิงได้ติดหนี้ตนเอง ตอนนี้เขายังยื่นมงกุฎมะกอกให้ ยินยอมให้ตำแหน่งหัวหน้าสาขา
หรือพูดอีกนัยหนึ่ง หากจ้าวเฟิงต้องการ สำนักสาขาที่เขาควบคุมนั้นมีอำนาจเทียบเท่ากับแคว้นแคว้นหนึ่งในแคว้นเมฆา อาจกล่าวได้ว่ามีอำนาจมากนัก
ในลัทธิโลหะเลือดนั้น คนจำต้องเป็นยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้เสียก่อนจึงจะมีคุณสมบัติในการเป็นหัวหน้าสาขา
ดังนั้นแล้วจึงสามารถเห็นได้ว่าเถี่ยหมัวได้ให้ความสำคัญและยอมรับจ้าวเฟิงมากยิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้จ้าวเฟิงเพียงไร้ซึ่งที่อยู่ อยู่ในความสงสัยลังเล อีกทั้งสถานการณ์ก็อยู่ในช่วงวิกฤต
“ได้ ข้าจะเข้าร่วมกับลัทธิโลหะเลือด”
จ้าวเฟิงตอบรับ