บทที่ 311 : การตัดสินใจของเถี่ยหมัว
จ้าวเฟิงไม่ลังเล ตอบตกลงในทันที
ในอาณาจักรนภา เขานับได้ว่าไม่มีที่ยืนแล้ว สิบสามแคว้นเมฆาที่ห่างไกลเองก็ไร้ซึ่งที่หลบภัย
ตัวเขาในยามนี้ไร้ซึ่งที่พักพิง เต็มไปด้วยความลังเลสับสน
หลังจากที่การประลองพันธมิตรสิ้นสุดลง ชีวิตของจ้าวเฟิงก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก เข้ามาในอาณาจักรก็ถูกออกหมายจับ ถูกไล่ล่าโดยขั้วอำนาจทั้งหลาย อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด
ทว่าลัทธิโลหะเลือดยอมรับตัวเขา หยิบยื่นความช่วยเหลือเมตตาให้ แม้ว่ามันจะเป็นสำนักมาร จ้าวเฟิงก็ไม่ปฏิเสธ
หลังจากที่ผ่านความยากลำบากมากมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจของเด็กหนุ่มก็ไม่นับหนทางมารเป็นสิ่งเลวร้าย
นอกจากนั้น
ในใจของจ้าวเฟิงยังมีความต้องการที่แอบซ่อนอยู่ รอจนกระทั่งตัวเขามีพลังและอำนาจมากพอ เขาจะกลับไปยังสิบสามแคว้นแล้วเปลี่ยนแปลงสำนักและบ้านเกิดของเขา
“จ้าวเฟิง ที่ข้าให้ความสนใจเจ้าก่อนหน้าเป็นเพราะความสามารถพิเศษของสายเลือดดวงตาของเจ้าเสียเป็นส่วนมาก แต่หลังจากที่เจ้าหนีการแต่งงานมาจากเมืองหงหู ครอบครองสมบัติสายธารจันทราส่วนมาก ทั้งยังสามารถจับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันแล้วล่าถอยออกมาได้อย่างปลอดภัยต่อหน้าทุกคน พรสวรรค์ ความสามารถ และความกล้าของเจ้า นายเหนือผู้นี้ชื่นชมยิ่งนัก”
บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว แย้มยิ้มยินดี สีหน้าปรากฏความลึกล้ำบางประการ
จิตใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือกขึ้นเล็กๆ ไม่อาจคิดได้ว่าทุกการกระทำและตำแหน่งของตนเองจะไม่เล็ดรอดไปจากสายตาของลัทธิโลหะเลือดได้แม้แต่น้อย
การหลบหนีการแต่งงานและการจับหวางเฟยเป็นตัวประกันนับว่าเป็นเรื่องที่โด่งดัง
ทว่าสมบัติสายธารจันทราอยู่ในอ่าวที่แสนห่างไกล ระยะเวลาไม่ยาวนานนัก ทว่าลัทธิโลหะเลือดกลับสามารถตามรอยและค้นพบความจริงได้อย่างรวดเร็ว อำนาจอิทธิพลของมันนั้นไม่อาจดูแคลนได้
“การเชิญเจ้าเข้าร่วมลัทธิโลหะเลือดในครานี้ บางทีอาจเป็นโอกาสใหญ่ที่เจ้าสามารถฉวยคว้าไว้ได้อีกครั้ง”
บุรุษเรือนผมสีเลือดเอ่ย
โอกาสใหญ่?
คำสามคำนี้เป็นคำที่ส่งผลต่อจ้าวเฟิงอย่างมาก
สามารถมั่นใจได้ว่าสมบัติสายธารจันทรานั้น ในสายตาของเถี่ยหมัวแล้วไม่อาจนับเป็นโอกาสใหญ่ได้ บางทีแล้วในสี่สมบัติสายธารจันทรา การได้ครอบครองสามปทุมอาจไม่นับเป็นประโยชน์มากมาย
“งานประลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทวีปบุปผาคราม ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ไม่ว่าผู้ใดที่เข้าร่วมล้วนเป็นอัจฉริยะเซียนมังกรที่แท้จริง สามารถชี้ชะตาของทวีปได้ ในยามนั้น อัจฉริยะที่เข้าร่วมจะมาจากพื้นที่หลากหลาย ทุกคนล้วนเป็นบุตรหลานแห่งสรวงสวรรค์ สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทุกที่”
บุรุษเรือนผมสีเลือดอธิบาย
งานชุมนุมเซียนมังกร
ยามที่จ้าวเฟิงอยู่ในสิบสามแคว้นนั้น เขาได้เคยอ่านตำราโบราณเกี่ยวกับอัจฉริยะเซียนมังกร มันถูกเอ่ยไว้ด้วยคำที่ไม่ชัดเจนนัก มิคาดว่าจะมีต้นกำเนิดจากที่แห่งนี้
สิบสามแคว้นเมฆานั้นห่างไกลยิ่งนัก ข้อมูลยากที่จะส่งถึง เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ล่วงรู้
“งานชุมนุมเซียนมังกรนั้นเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่ของทั่วทั้งทวีป ในเวลานั้นสายตาของทั่วทั้งทวีปจะจับจ้องมายังงานนี้ สำหรับอัจฉริยะส่วนมากแล้ว แม้เพียงสามารถขึ้นไปยืนบนเวทีเผยพรสวรรค์ของตนออกมา ทั่วทั้งชีวิตมิมีสิ่งใดให้ต้องเสียใจอีกต่อไป ที่น่าเศร้าคือคุณสมบัติของอัจฉริยะส่วนมากนั้นไม่เพียงพอที่จะเข้าร่วมงานนี้”
บุรุษเรือนผมสีเลือดเอ่ยอย่างเสียดายอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวเฟิงตื่นตะลึงเล็กๆ ทั่วทั้งทวีปนี้มี อัจฉริยะมากมายเพียงใดกัน?
ตามคำกล่าวของฉินหวางเฟย แคว้นเมฆาของจ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงหมู่บ้านในหุบเขาที่ห่างไกล
มีหมู่บ้าน เมืองเล็ก เมืองใหญ่ และเมืองหลวง
หมู่บ้านนั้นได้มีจ้าวเฟิง ซินอู๋เหิน เป่ยม่อ ชางหยูเยว่ จ้าวหยูเฟย และหลินทง… นี่คือยอดอัจฉริยะ เช่นนั้นทั่วทั้งทวีปจะมีอัจฉริยะเช่นนี้มากมายเพียงใด มีอัจฉริยะที่เก่งกาจมากกว่านี้มากเพียงใด?
เมื่อคิดถึงยามนี้ จ้าวเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ โลหิตภายในร่างที่เงียบสงบมานานพลันเดือดพล่านขึ้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
เถี่ยหมัวเห็นการเปลี่ยนแปลงของจ้าวเฟิง มองไปพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การชุมนุมเซียนมังกรนั้นได้รวบรวมโชคชะตาของอัจฉริยะทั้งหลายเอาไว้ มีโอกาสที่จะเชื่อมต่อกับยู่ไว่ในระดับหนึ่ง เช่นมรดกความลับสวรรค์และมรดกเจ็ดดาบในสี่มหามรดก โดยปกติแล้วมหามรดกเหล่านี้หายากนัก โดยเฉพาะมรดกความลับสวรรค์ ในเวลาหนึ่งหมื่นปีกลับปรากฏขึ้นเพียงคราเดียว มีโอกาสเพียงหนึ่งในร้อยส่วน ด้วยงานชุมนุมเซียนมังกรจะทำให้โอกาสในการเชื่อมต่อกับยู่ไว่ที่มีเขตแดนมรดกลับๆ อยู่มากมายได้”
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ได้ดึงดูดความสนใจของทั่วทั้งทวีป สิบยอดสำนัก แต่ล่ะอาณาจักร แต่ล่ะสำนักอาจจะส่งอัจฉริยะเข้าร่วม
หากสามารถเข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรได้ นั่นหมายความว่าจะได้ประลองกับอัจฉริยะจากหลากหลายพื้นที่ของทวีป
“งานชุมนุมเซียนมังกรนี้ มีโอกาสหรือไม่ที่อัจฉริยะจากสิบสามแคว้นและแคว้นมังกรโลหะจะเผชิญหน้ากัน?”
จ้าวเฟิงเริ่มที่จะครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน
โดยปกติแล้วโอกาสนั้นมีไม่มากนัก สิบสามแคว้นนั้นห่างไกลจนเกินไป แคว้นมังกรโลหะเองก็มีโอกาสเพียงเล็กน้อย
แต่เมื่อคิดว่าสิบสามแคว้นอาจจะถูกรวมเข้ากับแคว้นมังกรโลหะแล้วในยามนี้ สถานการณ์ย่อมไม่แน่นอน
จ้าวเฟิงไม่รู้ว่ายามที่เกิดหายนะแก่สิบสามสำนัก ผู้อาวุโสหนึ่งได้วางแผนให้เขามาอยู่ที่แดนไกล ผู้อาวุโสยอดฝีมือจากสำนักอื่นๆ เองก็ล้วนมีสายสัมพันธ์ของตนเองเช่นกัน
“รองจ้าวลัทธิ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านจะให้ข้าเข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ”
จ้าวเฟิงพยายามกดความตื่นเต้นในใจเอาไว้
การประลองที่อัจฉริยะเซียนมังกรทั่วทั้งทวีปต่อสู้กัน ทั้งยังมีโอกาสที่จะได้เข้าไปในมรดกของยู่ไว่ นี่นับเป็นโอกาสใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ควรค่าแก่การคาดหวังและตื่นเต้น
“ฮี่ฮี่ จ้าวเฟิง เจ้ายังหวังสูงเกินไปเสียหน่อย มันเป็นความจริงที่สายเลือด ความสามารถ ความกล้า และด้านอื่นๆ ของเจ้านั้นไร้ซึ่งที่ติ ทว่าระดับของเจ้านั้น แม้ว่าจะเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร หากติดหนึ่งในพันก็นับว่าดีแล้ว แต่หากไม่ติดหนึ่งในร้อย สำหรับลัทธิโลหะเลือดแล้วมันไม่นับว่ามีคุณค่าอันใดมากนัก”
บุรุษผมสีเลือดมุมปากกดลง ท่าทีครุ่นคิด
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย มิใช่ว่าตัวมันมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรหรือ?
“เจ้าได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลมาก่อนและได้ดูแคลนเหล่ายอดอัจฉริยะพวกนั้น ในสิบยอดสำนัก ศิษย์หลักบางคนยามที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกับเจ้าก็สามารถบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้แล้ว มันไม่นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดมากนัก แต่สำหรับอัจฉริยะที่พิเศษบางคนอาจเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ อาจารย์ของพวกเขาบางคนนั้นมีพลังอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
คำพูดต่อมาของบุรุษเรือนผมสีเลือดได้ส่งผลต่อจ้าวเฟิง
บางทีแล้ว เหล่าอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีป พรสวรรค์ของร่างกายย่อมเหนือว่าระดับของสิบสามแคว้นเมฆาโดยสิ้นเชิง มีเพียงจ้าวหยูเฟยที่อาจเทียบเคียงได้
เมื่อเทียบด้านทรัพยากร กระทั่งอาณาจักรนภายังเหนือกว่าสิบสามแคว้นเมฆากว่าหนึ่งถึงสองขั้น
ทว่าสิบยอดสำนัก ระดับของพวกเขาแม้เทียบกับลัทธิโลหะเลือดและราชวงศ์ก็ยังนับว่าเหนือกว่า
ยามที่สิบยอดสำนักรุ่งโรจน์นั้นสามารถกำจัดลัทธิมารจันทราชาดลงได้
ที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือ เหล่าบุตรหลานแห่งสรวงสวรรค์ล้วนเป็นศิษย์ของยอดฝีมือขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
พรสวรรค์ ทรัพยากร อาจารย์ และการแข่งขัน… ไม่ว่าจะเป็นด้านใด พวกเขาก็ล้วนถือกำเนิดมาในสภาพแวดล้อมที่เหนือกว่าจ้าวเฟิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความมั่นใจที่ทรงพลังของจ้าวเฟิงก็ได้เริ่มสั่นไหวขึ้นในที่สุด
“แม้ว่าจะเอ่ยว่าเจ้าที่อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถท้าทายขั้นมนุษย์แท้ได้ กระทั่งสามารถเอาชนะได้ ทว่าในงานชุมนุมเซียนมังกรในอดีตนั้น การท้าประลองแบบข้ามขั้นนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน จอมดาบเย่อู๋เสีย มีพลังฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำ ได้เอาชนะผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดได้ ครอบครองอันดับหนึ่ง นับเป็นความสำเร็จที่งดงามยิ่งนัก”
มุมปากของเถี่ยหมัวเผยรอยยิ้มยินดีออกมา
ความจริงแล้ว ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงในยามนี้ แม้เข้าร่วมในงานชุมนุมเซียนมังกรก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ทว่าก็ไม่อาจที่จะครอบครองอันดับที่ดีได้
เขาจงใจโจมตีจ้าวเฟิง ทำให้อารมณ์สั่นไหว เพิ่มแรงกดดันให้อีกฝ่าย
“งานชุมนุมเซียนมังกรจะจัดขึ้นในอีกหกเดือน ลัทธิโลหะเลือดมีผู้เข้าร่วมอยู่แล้วจำนวนมาก หากในอีกครึ่งปีเจ้ามีโอกาสก้าวเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง หากต้องการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่”
เถี่ยหมัวเอ่ย
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กๆ
จากสถานการณ์ปกติ หากดูจากพลังฝึกตนในปัจจุบันของจ้าวเฟิง หากต้องการที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในอีกครึ่งเดือน ความหวังนับว่ามีไม่มากนัก
แต่อย่าได้ลืมไปว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นสูงนัก ทั้งภายในร่างยังมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่อยู่
เถี่ยหมัวสามารถรับรู้ได้ถึงขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง ทว่าเคล็ดวิชาลับจากมรดกความลับสวรรค์ที่จอมโจรฉุ่ยเยว่ใช้ปกปิดแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเอาไว้ ชายหนุ่มไม่สามารถรับรู้ได้
ในสายตาของเถี่ยหมัวแล้ว โอกาสที่จ้าวเฟิงจะบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงในหกเดือนนับว่ามีโอกาสเพียงสามถึงสี่ในสิบส่วนเท่านั้น
ความจริงแล้ว จ้าวเฟิงมั่นใจกว่าเก้าในสิบส่วน
เกี้ยวทองมังกรโลหิตควบผ่านเวหา บินไปหลายพันลี้ก่อนจะเริ่มร่อนลงในหุบเขาใหญ่แห่งหนึ่ง
เกี้ยวทองมังกรโลหิตมีความสามารถในการบิน คนหามเกี้ยวทั้งสี่นั้นเป็นลูกน้องที่คอยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่รองจ้าวลัทธิโลหะเลือด
หุบเขาแห่งนี้ได้ถูกป้องกันไว้โดยค่ายกลขนาดใหญ่ ขนาดของมันนั้นใหญ่กว่าของสำนักจันทร์สลายนับสิบเท่า
ลึกในหุบเขาได้ปรากฏตำหนักกว้างใหญ่ สร้างขึ้นท่ามกลางหุบเขาและโพรงถ้ำ
ที่นี่คือลัทธิโลหะเลือด แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่โตเทียบเท่ากับเมืองหลวง ทว่าการป้องกันนั้นแข็งแกร่งและมั่นคง ราวกับเป็นป้อมที่ไม่อาจทะลวงผ่านได้
“คารวะท่านรองจ้าวลัทธิ”
ยามที่เกี้ยวทองมังกรโลหิตมาถึง สมาชิกลัทธิโลหะเลือดที่ผ่านไปมาภายในหุบเขา ตั้งแต่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณจนถึงขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต่างค้อมคำนับอย่างพร้อมเพรียง
จ้าวเฟิงที่มาพร้อมกับบุรุษเรือนผมสีเลือดได้ทำให้คนของลัทธิโลหะเลือดให้ความสนใจมากนัก
“เด็กนี่คือผู้ใดกัน สามารถนั่งเกี้ยวทองมังกรโลหิตมากับรองจ้าวลัทธิได้”
สมาชิกลัทธิโลหะเลือดจำนวนมากตื่นตะลึงอยู่เงียบๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด
บุรุษเรือนผมสีเลือดและจ้าวเฟิงได้เข้าไปภายในตำหนักใหญ่โต
เถี่ยหมัวได้ทักทายผู้ดูแลและผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่นๆ อย่างง่ายๆ
หนึ่งในนั้นคือชายชราในชุดโบราณ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่จ้าวเฟิงพบยามที่เพิ่งเข้าเมืองหลวง เด็กหนุ่มพลันจดจำขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ดูแล
“เด็กผู้นี้คือคนที่จับตัวฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันที่เมืองหลวง ชื่อจ้าวเฟิง”
รองจ้าวลัทธิเรือนผมสีเลือดเอ่ยแนะนำอย่างง่ายๆ
เหล่าคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือด พลังฝึกตนอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ขึ้นไป กระทั่งอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
อาวุโสคุมกฎเป็นสตรีผมขาว พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ มีอำนาจเทียบเคียงได้กับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด
หลังจากแนะนำตัว จ้าวเฟิงก็ได้รู้จักคนระดับสูงบางคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น แน่นอนว่าอำนาจอิทธิพลของลัทธิโลหะเลือดนั้นกว้างไกลยิ่งนัก ที่ปรากฏตัวอยู่นี่ย่อมไม่ใช่คนระดับสูงทั้งหมด แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ได้ทำให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวตื่นตะลึงแล้ว
“แม้รวมทั้งสิบสามสำนักและสองแคว้นใหญ่เข้าด้วยกันก็อาจจะไม่สามารถนับเป็นคู่ต่อสู้ของลัทธิโลหะเลือดได้”
ในใจของจ้าวเฟิงลอบครุ่นคิด
“จ้าวลัทธิ ท่านมั่นใจหรือ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผู้เป็นหัวหน้าสาขาทั่วไปล้วนเป็นยอดฝีมือในขั้นผู้วิเศษแท้ หรือมิเช่นนั้นก็เป็นขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ทว่าเด็กนี่เยาว์วัยนัก ทั้งพลังฝึกตนยังไม่เพียงพอ หากให้เขาควบคุมสถานการณ์บางทีอาจสร้างความไม่พึงพอใจขึ้นได้”
สตรีผมขาว ผู้อาวุโสคุมกฎตั้งคำถามขึ้น
ตามที่จ้าวเฟิงรู้ แม้ในลัทธิโลหะเลือดเถี่ยหมัวจะเป็นเพียงรองจ้าวลัทธิ ทว่าก็ไม่ได้แตกต่างไปจากจ้าวลัทธิมากนัก
จ้าวลัทธิเป็นตายมิมีผู้ใดล่วงรู้ มีคำเล่าลือว่าตกสู่ห้วงการหลับลึก หรืออาจเรียกได้ว่าจ้าวลัทธิที่แท้จริงไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้
ผู้อาวุโสคุมกฎ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ ในมือมีอำนาจในการใช้กฎเกณฑ์ เป็นคนเพียงผู้เดียวที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแล้วกล้าตั้งคำถามต่อการตัดสินใจของรองจ้าวลัทธิ
คนหลายคนส่งเสียงเห็นด้วย
หัวหน้าสาขาในลัทธิโลหะเลือด มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากเทียบกับราชวงศ์แล้วก็เทียบเท่าได้กับขุนนางผู้หนึ่งได้
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
รองจ้าวลัทธิเรือนผมสีเลือดสีหน้ามั่นคง กระทั่งไม่เอ่ยอธิบายสิ่งอื่นใด และจบบทสนทนาลงเพียงเท่านั้น