Skip to content

King of Gods 312

King Of Gods

บทที่ 312 : ทะลวงสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง (1)

“ข้าตัดสินใจแล้ว”

ลัทธิโลหะเลือดให้ความสำคัญกับการทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน

ผู้อาวุโสคุมกฎผมขาวและคนอื่นๆ ไม่ค่อยพึงพอใจ และประหลาดใจกับการคัดค้านของรองจ้าวลัทธิอยู่เช่นกัน

ส่วนมากแล้ว รองจ้าวลัทธิมักจะเชื่อฟังคำแนะนำของผู้อาวุโสและผู้ดูแล อย่างน้อยก็เก็บนำไปคิด

นอกจากนั้น เหล่าคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดยังให้ความเคารพต่อรองจ้าวลัทธิผมสีเลือดผู้นี้มากนัก

บางครั้ง การกระทำของรองจ้าวลัทธิผู้นี้ก็เอาแต่ใจไปบ้าง ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายส่วนมากกลับแสดงให้เห็นว่าเขาทำถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกใช้คนที่นับเป็นความพิเศษเฉพาะตัว

สายตารองจ้าวลัทธิผมสีเลือดในการเลือกใช้ผู้คนนั้นแม่นยำนัก นับว่ามีสายตาที่เฉียบแหลมยิ่ง

แต่ครานี้ ผู้คนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า

“ลัทธิโลหะเลือดไม่เคยมีหัวหน้าสาขาคนใดเยาว์วัยเช่นนี้ จ้าวเฟิงผู้นี้อายุเพียง 16-17 ขวบปี ตามประเพณีทั่วไปแล้วยังไม่นับว่าเป็นผู้ใหญ่”

ผู้ดูแลในชุดโบราณ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นลอบคิดในใจ

ก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวงแห่งอาณาจักรนภา เขาคือผู้นำข้อความส่งให้แก่จ้าวเฟิง ประวัติและข้อมูลของเด็กหนุ่มผู้นี้เขามีความเข้าใจเป็นอย่างดี

แต่แม้ว่าจะเป็นผู้ดูแลในชุดโบราณ การจัดการเช่นนี้ของรองจ้าวลัทธิก็ยังก่อให้เกิดคำถามแก่เขาอยู่

ทว่าในเมื่อรองจ้าวลัทธิตัดสินใจไปแล้ว คนอื่นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง

จากนั้น จ้าวเฟิงจึงกลายเป็นหัวหน้าสาขาที่เยาว์วัยที่สุดของลัทธิโลหะเลือด

เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือด ณ ที่นั้นล้วนเต็มไปด้วยคำถาม

“ข้าขอถามท่านรองจ้าวลัทธิได้หรือไม่ว่าท่านจะให้จ้าวเฟิงรับผิดชอบสาขาใด”

ผู้อาวุโสคุมกฎผมขาวไม่คัดค้านต่อและต่อบทสนทนาต่อไปอีกขั้น

“สาขาใดบ้างที่ยามนี้ไม่มีผู้นำ”

เถี่ยหมัวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“สาขาพันธาราและสาขานภาไกลยังไม่มีหัวหน้าสาขา สาขาพันธาราค่อนข้างใกล้กับกองบัญชาการมากกว่า สองรองหัวหน้าสาขามีพลังฝึกตนและพลังต่อสู้แข็งแกร่ง ตำแหน่งหัวหน้าสาขาจึงยังไม่แน่นอน สาขานภาไกลอยู่เขตชายแดน หัวหน้าสาขาคนเก่าเขาเพิ่งจะตายจากความชราในระหว่างนอนหลับ…”

สตรีผมขาวเอ่ย

“อืม ส่งจ้าวเฟิงไปที่ ‘สาขาพันธารา’ ”

เถี่ยหมัวไม่เสียเวลาคิด

เหล่าระดับสูงหลายคนที่อยู่ในสถานการณ์สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป

สาขาพันธารานั้นใกล้กับเมืองหลวงรวมทั้งกองบัญชาการของลัทธิโลหะเลือด การที่รองจ้าวลัทธิจัดการแบบนี้ชัดเจนว่าเพื่อที่จะสามารถดูแลจ้าวเฟิงได้

“แต่ว่า…. รองหัวหน้า ‘สาขาพันธารา’ ทั้งสอง อวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่นไม่อาจนับว่าอ่อนแอได้ มีพลังต่อสู้แข็งแกร่ง ล้วนหมายตาตำแหน่งหัวหน้าสาขาไว้ โดยเฉพาะอวิ๋นช่าที่กระทั่งข้าก็ยากจะควบคุม”

สตรีผมขาวเมื่อคิดถึงยามนี้ มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มยกโค้งยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

อาณาเขตของสาขาพันธารานั้นห่างจากเมืองหลวงไม่ห่างไกล มีความเจริญนักเมื่อเทียบกับสาขาที่อยู่ห่างไกล จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจ

รวมทั้ง สาขาพันธารายังมีการแข่งขันสูง มียอดฝีมือจำนวนมาก ทั้งอิทธิพลอำนาจเองก็ซับซ้อนเช่นกัน

เถี่ยหมัวราวกับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ ส่งจ้าวเฟิงไปเป็นหัวหน้าสาขาพันธารานี้ตรงๆ

“เจ้าอยู่ในกองบัญชาการฟื้นฟูกำลังไปก่อนครึ่งเดือน เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งผู้ช่วยไปคนหนึ่งกับเจ้า”

เถี่ยหมัวลอบส่งเสียงผ่านจิตมายังจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ รับตราหัวหน้าสาขาและตราซิ่น (信物 หมายถึง สิ่งของที่มอบให้เป็นเครื่องยึดถือหรือหลักฐาน) ไปก่อนจะอาศัยอยู่ในกองบัญชาการชั่วคราว

“ด้วยพลังและคุณสมบัติของเด็กนี้ การเป็นหัวหน้าสาขาอาจยากจะควบคุมคนได้”

“การคงอยู่ของอวิ๋นช่าและเฉินเมิ่งเจิ่นย่อมไม่มีทางยอมรับผู้ที่เยาว์วัย ทั้งพลังฝึกตนยังด้อยกว่ามาเป็นหัวหน้าสาขาอย่างแน่นอน”

ในโถงหลัก เหล่าระดับสูงหลายคนของลัทธิโลหะเลือดมองตามร่างที่เลือนหายไปของจ้าวเฟิง มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเยาะเย้ยนึกสนุก

พวกเขามั่นใจว่าจ้าวเฟิงจะสามารถเป็น ‘หัวหน้าสาขาพันธารา’ ได้ไม่นานนัก

“เช่นนั้นเราก็คุยกันเรื่องความคืบหน้าของ ‘งานชุมนุมเซียนมังกร’ ต่อ…”

เถี่ยหมัวเปลี่ยนเรื่อง

ลัทธิโลหะเลือด ตำหนักจิ้งหยา บนกำแพงและเพดานประดับประดาไปด้วยอัญมณีล้ำค่าที่ส่องประกายงดงามสะอาดตา

ในฐานะของหัวหน้าสาขา จ้าวเฟิงนับเป็นคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดคนหนึ่ง ย่อมได้รับการดูแลที่พิเศษกว่าผู้อื่น

เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิ หลอมรวมสติเข้าไปยัง ‘มรดกอัสนี’ ชั้นสอง

ในเมืองหงหู จ้าวเฟิงสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสยังชั้นที่สองของมรดกอัสนีได้เล็กน้อยแล้ว

ตามข้อกำหนดนั้น มรดกอัสนีชั้นที่สองจำต้องให้ผู้ครอบครองมีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นมนุษย์แท้

ทว่าขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นสูง เมื่อรวมเข้ากับความสามารถในการเรียนรู้อันแข็งแกร่งของดวงตาเทพเจ้า เด็กหนุ่มจึงสามารถเรียนรู้บางอย่างได้ในยามนั้น เพียงแค่ว่าค่อนข้างลำบากและเสียพลังมาก

ในยามนี้

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้เปลี่ยนแปลงไปหลังจากผ่านการจำศีล พลังฝึกตนเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง การทำความเข้าใจชั้นต่อไปจึงง่ายดายยิ่งขึ้น

ภายในสมอง

มรดกอัสนีได้สงบนิ่งและเล็กลง เผยให้เห็นรายละเอียดที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เด็กหนุ่มสามารถวิเคราะห์แก่นแท้ได้เล็กน้อย

ทว่าเรื่องนี้นับเป็นจุดแข็งของจ้าวเฟิง

มิติในดวงตาซ้ายของเขาสามารถแสดงเคล็ดวิชาขึ้นได้

ประกายสายฟ้าที่ปรากฏขึ้นในมิติในดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มส่องประกายขึ้นก่อนจะมอดดับลง

ในจิตใจของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มได้เผชิญหน้ากับปัญหาที่ยากลำบาก

หนึ่งในนั้นคือการเชื่อมต่อของพลังสายฟ้าและไอสวรรค์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ จะเป็นไปได้ดีก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพายุฝนเท่านั้น

การโจมตีบางอย่างของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถก่อกำเนิดขึ้นได้จากความว่างเปล่า ไม่เพียงแต่ไม่อ่อนแอ ทว่ายังสามารถเพิ่มพลังขึ้นได้เล็กน้อย ทั้งพลังโจมตียังส่งผลยาวนานยิ่งขึ้น

นี่คือผลจากการตอบสนองของไอสวรรค์

โดยปกติแล้ว มีเพียงขั้นนายเหนือแท้เท่านั้นที่จะสามารถบรรลุขั้นไอสวรรค์ตอบสนองอย่างแท้จริง ความสามารถสั่นคลอนพื้นพิภพได้

ขั้นมนุษย์แท้นั้นสามารถบรรลุได้ถึงขั้นที่สามารถนำไอสวรรค์หลอมรวมเข้าภายในร่างได้ส่วนหนึ่ง หากต้องการให้มันตอบสนองอย่างสมบูรณ์ ขอบเขตจิตวิญญาณยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ

“หากเป็นเช่นนี้ การที่ข้าติดอยู่กับคอขวดของมรดกอัสนีชั้นที่สองมาจากข้อจำกัดในพลังฝึกตน”

จ้าวเฟิงเข้าใจว่าปัญหาอยู่ที่ใด

ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างเปลี่ยนแปลงไปเป็นปราณจิตวิญญาณจนหมดสิ้น ด้วยธาตุอัสนีที่เป็นส่วนหนึ่งของปราณจิตวิญญาณย่อมสามารถควบคุมเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ด้านนอกได้ดี

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ปัญหามีเพียงอย่างเดียว คือการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ตราบเท่าที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ มรดกอัสนีชั้นที่สองที่เป็นปัญหาย่อมสามารถทำความเข้าใจได้สำเร็จ

เมื่อตัดสินใจแล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มจัดระเบียบสิ่งของที่ได้มาจากสมบัติสายธารจันทราและโรงประมูลเชิงหลง

เวิง—-

ปราณครึ่งจิตวิญญาณในร่างของจ้าวเฟิงนั้น ระหว่างการเปลี่ยนแปลงมักส่งเสียงครืนครางของสายฟ้าออกมา ทั่วทั้งร่างของเขาพลันถูกล้อมรอบด้วยกระแสไฟฟ้า กลิ่นอายแหลมคม แม้เข้าใกล้เพียงเล็กน้อยก็อาจถูกไฟฟ้าช็อต รู้สึกหนึบชาทั่วทั้งร่างได้

“ปราณครึ่งจิตวิญญาณ เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่าหกในสิบส่วนก็เชื่องช้ากว่าเดิม”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากันเล็กๆ

เมื่อสิ่งใดเข้าใกล้ขีดจำกัด มันก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่า

หลังจากที่ปราณครึ่งจิตวิญญาณทั่วไปเปลี่ยนแปลงไปกว่าหกในสิบส่วนสามารถพยายามทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ เพียงแต่โอกาสมีไม่มากเท่าใดนัก

จ้าวเฟิงปลดปล่อยประสาทสัมผัสของตน ปราณครึ่งจิตวิญญาณสร้างน้ำ วนขึ้นเหนือศีรษะ ดึงดูดไอสวรรค์เข้าไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ไอสวรรค์โดยปกติมีหลากหลายธาตุ ทั้งอัสนี สายลม และเปลวเพลิง…

ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงสามารถเทียบเคียงกับขั้นมนุษย์แท้ได้ เมื่อรวมกับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า การสัมผัสไอสวรรค์นั้นสามารถเทียบเคียงได้กับผู้ที่ทะลวงขั้นแล้วโดยทั่วไป กระทั่งเหนือกว่า

ไม่นาน เด็กหนุ่มก็สามารถสัมผัสพลังธาตุอัสนีได้อย่างเจือจาง

ขั้นแรก

ปราณครึ่งจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ธาตุอัสนี หลอมรวมเข้ากับปราณแท้ของตนเอง

ในจุดนี้ ขอบเขตก่อกำเนิดปราณเองก็สามารถกระทำได้ นับเป็นเรื่องทั่วไปที่กระทั่งผู้ที่อยู่ในระดับต้นของขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็สามารถทำได้

ขั้นที่สอง

พลังสายฟ้าที่เชื่อมต่อกับไอสวรรค์หลอมรวมกันมากพอ

ขั้นนี้เป็นขั้นที่เหนือกว่าขอบเขตก่อกำเนิดปราณ เป็นสิ่งที่ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจึงจะสามารถทำได้

เคล็ดวิชาบางอย่างให้ความใส่ใจเกี่ยวกับขอบเขตเจตจำนงมาก ความจริงแล้ว หากสามารถทำตามข้อกำหนดบางอย่างได้ จะมีความเข้ากันได้กับไอสวรรค์สูงและสามารถใช้คุณสมบัติพิเศษของมันได้

ยิ่งเคล็ดวิชานั้นมีระดับสูงเท่าใด ความสามารถในการเชื่อมต่อก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

“ยิ่งทำให้ยอมรับได้มากเท่าใด ยิ่งทำให้ความสามารถในการดูดกลืนปราณจิตวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น”

จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ

เมื่อผ่านการรับรู้จากกายเนื้อ ความเข้าใจในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขาก็ยิ่งลึกล้ำยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน สำนึกรู้จาก ‘ซากแก่นก่อกำเนิด’ ที่ยังไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดบางส่วนก็พลันเข้าใจขึ้นในทันที

เมื่อเวลาผ่านไป ธาตุอัสนีของไอสวรรค์ก็เริ่มให้การยอมรับจ้าวเฟิงมากขึ้น

หลังจากผ่านไปสามวัน

เด็กหนุ่มดูดกลืนไอสวรรค์ด้านนอกบางส่วนเข้ามาในร่างกาย

เพราะว่าขอบเขตจิตวิญญาณของเขาสูง รวมทั้งความสามารถในการควบคุมของดวงเตาเทพเจ้า การเชื่อมต่อของจ้าวเฟิงกับไอสวรรค์ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเข้าสู่วันที่ห้า

จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศภายในตำหนัก ร่างปรากฏเสียงคำรามของสายฟ้าขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ที่มีพลังฝึกตนสูงสามารถรับรู้ได้ว่าที่สถานที่แห่งนี้มีไอสวรรค์อัสนีเยอะกว่าบริเวณอื่น

ไอสวรรค์นับเป็นรากฐานของจักรวาลอันกว้างใหญ่

มนุษย์เองก็เป็นเพียงอนุภาคหนึ่ง หากสามารถดูดกลืนไอสวรรค์ที่มีคุณภาพและปริมาณที่มากพอ อายุขัยรวมทั้งพลังย่อมแข็งแกร่งขึ้น

เมื่อระดับพลังสูงมากพอ แม้จะเป็นเพียงอนุภาคก็สามารถกลายเป็นยอดฝีมือ ควบคุมสิ่งมีชีวิตทั้งมวลได้

ในเวลาเพียงเล็กน้อย สำนึกรู้ของจ้าวเฟิงก็ได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น

การที่สำนึกรู้ของเขาล้ำลึกขึ้นได้ช่วยเพิ่มขอบเขตเจตจำนงของเขาขึ้นด้วย

เมื่อถึงวันที่สิบ

จ้าวเฟิงสามารถนำไอสวรรค์อัสนีหลอมรวมเข้ากับร่างกายและปราณแท้ของตนเองได้

ในยามนี้

ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสำหรับเขานับว่าไร้ซึ่งอุปสรรคแล้ว เพียงต้องใช้เวลาในการสะสมพลังไปเรื่อยๆ

“ปราณครึ่งจิตวิญญาณแปรเปลี่ยนไปกว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือปริมาณปราณแท้ในร่างเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม เปิดเปลือกตาขึ้น

บัดนี้เขาขาดเพียงขั้นสุดท้าย สร้าง ‘แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ’ ของตนเองในจุดตันเถียน

หากทำสำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนใหม่

รวมทั้ง เมื่อเทียบเขากับยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปนับว่าไม่มีความแตกต่างมากนัก

หลังจากที่สร้างการเชื่อมต่อนี้ได้ จ้าวเฟิงก็ได้เริ่มฝึกฝน ‘มรดกอัสนี’ ชั้นที่สองต่อด้วยความรู้สึกที่ราวกับมัจฉากำลังแหวกว่ายในธารา

เพราะประสาทสัมผัสต่อไอสวรรค์อัสนีของเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง กระทั่งสามารถดูดกลืนเข้าร่างได้

ครืนน

จ้าวเฟิงยกมือหนึ่งขึ้น โซ่กระแสไฟฟ้าปรากฏขึ้น ก่อร่างขึ้นไปงูอัสนียาวครึ่งหลา แม้ผ่านไปหลายลมหายใจก็ไม่จางหายไป พลังของมันไม่ลดน้อยลง กระทั่งเพิ่มขึ้น

งูอัสนีที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่านั้น ขณะที่ยังไม่มีปราณแท้สนับสนุน มันก็ได้วนไปรอบกายของเด็กหนุ่มสามรอบ

ในระหว่างที่ใช้ปราณครึ่งจิตวิญญาณโจมตี จ้าวเฟิงก็สามารถใช้ไอสวรรค์อัสนีนอกกายในการคว้าจับไอสวรรค์ภายนอกได้

นับแต่ยามนี้

จ้าวเฟิงได้ก้าวเข้าไปในมรดกอัสนีชั้นที่สองโดยสมบูรณ์ กระทั่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงใช้สำนึกรู้มากมายจากมรดกอัสนีมาหลอมรวมเข้ากับการเคลื่อนไหว การโจมตี และการป้องกัน รวมทั้งหลอมรวมเข้ากับเคล็ดวิชาลับทรงพลังบางส่วนด้วย

“ดาบอัสนี”

จ้าวเฟิงยกมือขึ้น ในมือปรากฏเสียงคำรามของสายฟ้าพร้อมกับที่กระแสไฟฟ้าส่องสว่างรวมตัวกัน สร้างดาบสายฟ้ายาวครึ่งหลาที่ส่องประกายระริกขึ้น ดูราวกับมีชีวิต

ก่อนหน้า จ้าวเฟิงสามารถสร้างดาบอัสนีขึ้นได้อย่างฝืนๆ ยาวไม่เกินสามฟุต ทั้งยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของสายฟ้า ทั้งหยาบกระด้างและกินปราณแท้อย่างมาก

ทว่าบัดนี้ ดาบอัสนีนี้ได้สร้างขึ้นจากเศษเสี้ยวของธาตุอัสนี มีความแหลมคมยิ่งนัก

เปรี้ยะ

ภายใต้ดาบอัสนีที่ขยับวูบ อาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงที่เด็กหนุ่มถืออยู่ในมือพลันถูกตัดขาดเป็นสองท่อน รอยตัดดำไหม้เกรียม กระทั่งมีควันลอยออกมา

“เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถตัดผ่านการป้องกันของปราณจิตวิญญาณขั้นมนุษย์แท้ได้แน่”

จ้าวเฟิงรู้สึกยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!