บทที่ 315 : หัวหน้าออกโรง
ในสมบัติสายธารจันทรา ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ที่จ้าวเฟิงทำลายไปนั้นกลับอยู่ภายในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ถูกผนึกของจอมโจรฉุ่ยเยว่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
“จอมโจรฉุ่ยเยว่ สุดท้ายแล้วท่านก็ไม่อาจทนให้สิ่งที่ท่านทุ่มเทมาอย่างยาวนานต้องหายไปได้ จำต้องทิ้งมันไว้ให้ผู้อื่น”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังตำราที่อยู่ในสายธารปราณจิตวิญญาณ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในยามนี้เขาสัมผัสได้อย่างจริงจังว่าแผนการกว่าร้อยปีของอีกฝ่ายล้วนเป็นไปอย่างราบรื่นจริงๆ
ในสมัยนั้น จอมโจรฉุ่ยเยว่ยังไม่ได้ครอบครองพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ทว่ากลับสามารถท่องทะยานไปทั่วทั้งอาณาจักร เป็นอิสระและไร้ข้อผูกมัด มันไม่ได้เป็นไปได้เพียงเพราะพลังและสมบัติที่ครอบครอง ทว่าเป็นเพราะสติปัญญาของเขาด้วย
ฟึบ
จ้าวเฟิงกระตุ้นพลังของดวงตาเทพเจ้า กวาดมอง ‘ตำรา’ ที่ถูกสร้างขึ้นจากปราณจิตวิญญาณนั้น
รายละเอียดของตำราเล่มนั้นถูกคัดลอกโดยเด็กหนุ่ม
หลังจากที่เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าผ่านการวิวัฒนาการมาหลายครั้ง พลังของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แม้จะเป็น ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ที่มีระดับแทบจะเทียบเท่ากับวิชาชั้นจิตวิญญาณระดับสูง ภายใต้การกวาดมองของเด็กหนุ่มก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด
ไม่ช้า
ในสมองของเขาก็ได้ปรากฏตำราที่เกี่ยวข้องกับ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ จำนวนมาก
จ้าวเฟิงกวาดมองรายละเอียดของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ อย่างผ่านๆ ด้วยความเร่งรีบ
ระดับของเคล็ดวิชา ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นั้นใกล้เคียงกับวิชาชั้นจิตวิญญาณระดับสูง ทว่าแนวทางส่วนมากมาจากสำนักร้อยบุปผา รวมทั้งวิชามารจำนวนมากรวมกัน
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ นี่คือตำราสรุปเคล็ดวิชามาร เคล็ดวิชาลับทั้งหลายต่างเป็นพื้นฐานของมัน
ดังนั้นแล้ว คุณค่าที่แท้จริงของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ กับมรดกอัสนีของจ้าวเฟิงนั้นสามารถนับว่าอยู่ในระดับเดียวกันได้
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวนั้นคือ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นั้นยากที่จะฝึกฝนได้จนบรรลุขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ทว่ามรดกอัสนีมีโอกาสที่จะสามารถทำได้
“ รูปแบบของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นี้ประหลาดนัก วิธีการเปลี่ยนแปลงที่มากมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านความเร็วและกระบวนท่าเคลื่อนไหว สามารถเติมเต็ม ‘มรดกอัสนี’ บางส่วนที่บกพร่องหรือขาดหายได้”
การกวาดตาอ่าน ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ครั้งแรกของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ในทางกลับกัน มรดกอัสนีนั้นค่อนข้างเป็นนามธรรม แสวงหาขอบเขตเจตจำนง
ทว่า ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นั้นมีประโยชน์ยิ่งนัก เหมาะสมในสถานการณ์สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งวิธีการต่างๆ มากมายก็สามารถปรับใช้ได้
“ละทิ้งส่วนไร้สาระ ค้นหาแก่นแท้ของมัน”
จ้าวเฟิงตัดสินใจ เมื่อมี ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เขาก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาเคล็ดวิชาอื่นใดเพิ่มเติมอีก
ในเวลา 1-2 วันต่อมา จ้าวเฟิงได้ปิดด่านฝึกตนอย่างตั้งใจ
ท้องฟ้าเหนือตำหนักหัวหน้าสาขาเต็มไปด้วยไอสวรรค์อัสนีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว กระทั่งก่อตัวขึ้นเป็นเมฆอัสนีขึ้นในบางครั้ง พลังน่าหวาดหวั่นนัก
“เพียงกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พลังอำนาจเมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วนับว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่านัก”
ผู้ดูแล เตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านนอกโถงหลักจิตใจสั่นไหว
ในยามนี้ เหนือโถงหลักได้เต็มไปด้วยเมฆอัสนี พลังของมันนั้นได้เหนือเกินกว่าพลังของขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำทั่วไปไปแล้ว
แต่โดยทั่วไปนั้น ผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นมนุษย์แท้จะมีพลังได้เพียงขั้นมนุษย์แท้ระดับแรกเริ่ม ต้องผ่านการฝึกฝนอีกระยะหนึ่งจึงสามารถบรรลุสู่ขั้นมนุษย์แท้ระดับต่ำได้
พลังที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมาในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้น เหตุผลที่มันแข็งแกร่งอย่างมากเป็นเพราะสามปัจจัย
หนึ่ง พลังจากมรดกอัสนี มรดกชิ้นนี้สามารถเพิ่มพลังของอัสนีจากสภาพแวดล้อม เสริมกำลังให้ตนเองได้ มีคุณสมบัติเหนือกว่าพลังส่วนมากมากนัก
สอง ขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงสูง แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าก็แข็งแกร่ง สามารถดึงดูดไอสวรรค์ที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้
สาม แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์กว่าของจอมโจรฉุ่ยเยว่ได้สร้างสะพานเชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง
นอกจากนั้นเด็กหนุ่มยังได้รับการช่วยเหลือจากสมบัติชั้นยอด สามปทุม
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงจะเพิ่งก่อตัว ระดับของมันก็ไม่ใช่เล็กๆ ทั้งยังอยู่ในระยะการกลั่นให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ครืนนน
ท้องนภาเหนือโถงหลักเต็มไปด้วยเมฆอัสนีที่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ราวกับสายน้ำที่เชี่ยวกราก หลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงอย่างไม่หยุดยั้ง
ในบางครา สายฟ้าที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าก็กระพริบวูบวาบ
ในเวลาเดียวกัน พลังของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนใหม่ก็ได้ส่งกลิ่นอายเร่าร้อนออกมารอบกายไกลหลายลี้
ในยามนั้น คนทั่วทั้งลัทธิโลหะเลือดสาขาก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวกับกลิ่นอายนั้น
“เขาทำสำเร็จ”
เตี๋ยเย่รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก ดวงตางดงามปรากฏความประหลาดใจ
การทะลวงเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงมีพลังและส่งผลต่อสภาพแวดล้อมมากจริงๆ เพียงเพิ่งบรรลุก็ส่งกลิ่นอายน่าหวาดหวั่นออกมา
ในทวีปแห่งนี้ โดยปกติแล้วมีเพียงยอดฝีมือที่ยากจะหาใครเทียม กอปรกับพลังฝึกตนที่สูงส่งถึงมีพลังเหนือกว่าคนธรรมทั่วไปได้
ตัวอย่างเช่นยามที่จอมดาบเย่อู๋เสียบรรลุเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ปราณดาบได้ท่องทะยานสู่ฟากฟ้า ทำให้ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมากที่ไล่ล่าเขาต้องล่าถอยไป
ตามบันทึกนั้น ผู้นำลัทธิมารจันทราชาด ยามที่บรรลุเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทั่วทั้งพื้นที่ในระยะสิบลี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสีโลหิต สายลมพัดพาเมฆาสีเลือด แสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง
ยามที่จ้าวเฟิงบรรลุเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทั่วทั้งบริเวณในระยะสิบลี้สามารถได้ยินเสียงครืนครางของสายฟ้า ร่างกายปรากฏความหนึบชา
“รายงานหัวหน้าสาขา รองหัวหน้าสาขาเฉินถูกโจรเถาช่านเฟยจับเป็นตัวประกัน ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนและโจรเถาช่านเฟยขู่ว่าหากหัวหน้าสาขาไม่ออกไปในสามวัน พวกมันจะทำลายลัทธิโลหะเลือดสาขาจนราบ”
ด้านนอกโถงหลัก ร่างร่างหนึ่งนั่งคุกเข่าตัวสั่นสะท้านอยู่บนพื้น
ยามนี้ ในวินาทีที่จ้าวเฟิงบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง กลิ่นอายของอัสนีนั้นแข็งแกร่งเกินผู้ใด กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้บางคนมาถึง จิตใจยังสั่นสะท้าน
“ไปซะ”
น้ำเสียงราวฟ้าคำรามดังขึ้นจากความว่างเปล่า ราวกับเสียงของเทพเจ้าแห่งอัสนี
“ขอรับ”
ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงคนนั้นหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
หัวหน้าสาขาคนใหม่นี้เพียงเอ่ยคำก็แทบทำให้จิตใจของเขาแหลกสลาย ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปเองก็อาจจะไม่มีพลังมากเพียงนี้
“เขายังต้องใช้เวลาในการสร้างความเสถียรให้กับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ ยังไม่อาจออกมือได้”
เตี๋ยเย่ลอบคิด
ในโถงหลัก
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ เรือนผมสีฟ้าพลิ้วไหว ทั่วทั้งร่างโอบล้อมไปด้วยกระแสไฟฟ้าสีเขียว มีความละเอียดยิ่งกว่าใยแมงมุมเสียอีก
ในเวลาเดียวกัน
บนหน้าผากของเขาได้ปรากฏตราผนึกอัสนีขึ้นจางๆ คล้ายคลึงกับผนึกสายฟ้ายอดนภาที่จ้าวเฟิงเคยครอบครองในตำหนักยอดนภา
เตี๋ยเย่คิดถูกเพียงครึ่งเดียว จ้าวเฟิงไม่เพียงแค่ต้องทำให้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณมั่นคง ทว่าต้องขยายมันออกไปอีก
ไม่เพียงแค่ขยาย เขาต้องรวบรวมมรดกอัสนีชั้นที่สองอีกด้วย
ก่อนหน้า เขาได้ฝึกฝน ‘มรดกอัสนี’ ทว่าด้วยพลังฝึกตนที่มีจำกัดจึงปรากฏคอขวดบางประการ แต่ด้วยการบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ประสาทสัมผัสในการรับรู้ถึงไอสวรรค์ก็ได้เข้าสู่ระดับใหม่ เทียบกับผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปยังแข็งแกร่งกว่า
เปรี้ยง
ท้องฟ้าเหนือโถงหลักปรากฏสายฟ้าฟาด พลังแข็งแกร่งขึ้นแต่เก่าก่อน
“นี่… นี่มันอันใดกัน ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหรือ เหตุใดกลิ่นอายจึงได้เพิ่มขึ้นสูงอีกครั้งเล่า?”
ใบหน้าของเตี๋ยเย่เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ความจริงแล้ว แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณในยามนี้ของจ้าวเฟิงได้หลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์กว่าของจอมโจรฉุ่ยเยว่ ทำให้ระดับนั้นใกล้เคียงกับผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์ระดับต่ำมากนัก
ควรรู้ว่าพลังฝึกตนก่อนตายของจอมโจรฉุ่ยเยว่นั้นมากถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด กระทั่งขาดอีกครึ่งขั้นก็จะเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่เขาทิ้งไว้ย่อมทรงพลัง
จ้าวเฟิงใช้ช่วงเวลาที่เพิ่งทะลวงขั้น ใช้ความช่วยเหลือจากแรงส่งและประสาทสัมผัสในการใช้ ‘มรดกอัสนี’ ชั้นสองขั้นสูงขึ้นในการดึงดูดไอสวรรค์อัสนีที่แข็งแกร่งกว่าเดิม
ในขณะเดียวกัน แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแท้ของจอมโจรฉุ่ยเยว่ก็ได้เป็นแรงเสริม ช่วยดูดกลืนไอสวรรค์อัสนีเหล่านั้น ขยายแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ไอสวรรค์อัสนีเหนือโถงหลักของหัวหน้าสาขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลังอำนาจของมันนั้นแทบจะเทียบเคียงได้กับการทะลวงขั้นสู่ขั้นผู้วิเศษแท้
เมฆอัสนีได้เคลื่อนคล้อยมารวมตัวอยู่เหนือศีรษะของจ้าวเฟิงในระยะร้อยหลา
ในยามนี้ ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จ้าวเฟิงแล้ว
หากเมฆอัสนีน่ากลัวนั่นระเบิดขึ้นมา ไม่เพียงแค่จ้าวเฟิงที่จะตาย ผู้มีพลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยากจะมีชีวิตรอดเช่นกัน
ครืนนน
สามปทุมที่จ้าวเฟิงนั่งอยู่บานออกเป็นสีใสอย่างแปลกประหลาด ดึงดูดไอสวรรค์อัสนีรอบด้านด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
สามปทุมนี้นับเป็นสมบัติชั้นยอดที่ช่วยเหลือในการฝึกตนของจ้าวเฟิงอย่างมาก
“ชิชิ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวัน หากจ้าวเฟิงไม่ออกมา รองหัวหน้าสาขาแสนสวยคนนี้ก็จะกลายเป็นของเล่นของพี่น้องข้า”
โจรเถาช่านเฟยในชุดสีทองแสยะยิ้มโหดเหี้ยม
กองกำลังของตระกูลหยุนรองและสำนักร้อยบุปผาได้โอบล้อมสาขาพันธาราไว้โดยสมบูรณ์
รองหัวหน้าสาขาเฉินเมิ่งเจิ่นได้ถูกมัดมือโดยสำนักร้อยบุปผา ใบหน้างดงามอ่อนหวานเต็มไปด้วยความอับอายโกรธแค้น
เหตุผลที่นางพ่ายแพ้และถูกจับนั้นเป็นเพราะหลงกล ‘โจรเถาช่านเฟย’ อีกฝ่ายใช้ฉีเซียงที่ได้มาจากสมบัติสายธารจันทรา อดีตสมบัติของจอมโจรฉุ่ยเยว่วางกับดักนาง
ในยามนี้ รองหัวหน้าสาขาอวิ๋นช่าที่นำคนระดับสูงจากสาขาจำนวนมากไม่อาจทำสิ่งใดได้
ตระกูลหยุนรองและสำนักร้อยบุปผาย่อมไม่กล้าที่จะลงมือหนักหน่วงอย่างนี้ อำนาจของลัทธิโลหะเลือดในอาณาจักรนั้นมากมาย กระทั่งมีพลังเพียงพอที่จะกดดันราชวงศ์ได้
โจรเถาช่านเฟยเพียงหาข้ออ้าง ทวงคืนสมบัติของตน
ผู้น้ำเฒ่าตระกูลหยุนแบกรับความแค้นที่หลานชายพิกลพิการ ทั้งเบื้องหลังตระกูลหยุนรองยังมีผู้นำตระกูลหยุน
“จ้าวเฟิงนั่น แม้ว่าจะบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้วแต่กลับไม่ออกมา”
อวิ๋นช่าลอบขบฟัน ในใจปรากฏความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก
ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ จ้าวเฟิง ไอ้ตัวต้นเหตุนี่และหัวหน้าสาขาพันธาราที่แท้จริงกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น
ในยามนี้ อวิ๋นช่าจะมีเวลาว่างพอวางแผนอะไรต่อจ้าวเฟิงอีก?
สาขาพันธารากำลังตกอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสิบปี น่านฟ้าและพื้นดินที่เคยครอบครองล้วนสูญเสีย ต้องแบกรับแรงกดดันจากกองกำลังทั้งสองฝ่าย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
อวิ๋นช่ารู้สึกราวกับว่าหนึ่งวันนั้นเหมือนหนึ่งปี ส่วนเฉินเมิ่งเจิ่นที่ถูกจับเป็นตัวประกันนั้นได้เผชิญความทรมานสารพัดรูปแบบ
คนทั้งสองในปากปรากฏความขมปร่าขึ้น
พวกเขาวางแผนจะทำร้ายจ้าวเฟิง ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ว่ากำลังเล่นกับไฟ
พวกเขาไม่เพียงไม่ได้สร้างอันตรายแก่จ้าวเฟิง อีกฝ่ายนั้นกระทั่งนำหายนะมาแก่พวกเขา
อวิ๋นช่ากระทั่งรู้สึกเคลือบแคลงว่าจ้าวเฟิงผู้นี้อาจจะเป็นดาวมฤตยู ไปยังเมืองหงหูก็สร้างเรื่องหลบหนีงานแต่ง ไปยังป้อมเหิงฉุ่ยก็ขโมยสมบัติสายธารจันทรา ไปยังเมืองหลวงก็จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน
บัดนี้มาถึงยังสาขาพันธารา ตัวมันและคนอื่นๆ ไม่ทันวางแผนหาเรื่องให้ก็ได้รับหายนะมากเพียงนี้
ตระกูลหยุนรอง และกระทั่งสำนักร้อยบุปผา ทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของจ้าวเฟิง
ที่น่าเศร้าที่สุดคือ แรงกดดันที่จ้าวเฟิงควรจะได้รับกลับมาตกอยู่ที่สองรองหัวหน้าสาขาแทน
“หากถึงยามบ่ายแล้วจ้าวเฟิงยังไม่ออกมา เราจะฆ่ารองหัวหน้าสาขาแสนสวยนี่ก่อน แล้วค่อยบุกสาขาพันธารา”
โจรเถาช่านเฟยเอ่ยข่มขู่
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนเค้นเสียงเย็น ยกมือขึ้นเล็กน้อย ท่าทีเตรียมบุกสาขาพันธาราอย่างเต็มที่
ผู้นำตระกูลหยุนนั้นเป็นหนึ่งในแปดขั้วอำนาจ การแข่งขันระหว่างตระกูลรองและตระกูลสาขานั้น สำนักและฐานใหญ่ยากที่จะให้กำลังสนับสนุนเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นจะทำให้เสียสมดุล
ดังนั้นแล้ว แม้ผู้น้ำเฒ่าตระกูลหยุนจะหวั่นเกรงอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวลัทธิโลหะเลือด
เปรี้ยง
ท้องฟ้าเหนือสาขาพันธาราพลันเต็มไปเสียงฟ้าคำราม รอบด้านในระยะหนึ่งร้อยลี้สามารถเห็นฟ้าแลบได้
หัวใจของคนหลายคนบีบรัดแน่น ในใจปรากฏความกระวนกระวายอันไม่อาจอธิบาย
ในเวลาเดียวกัน
เมฆอัสนีเหนือโถงหลักของหัวหน้าสาขาก็ได้สลายตัวออก
บนหน้าผากของจ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ได้ปรากฏผนึกอัสนีสีเขียวจางขึ้นอีกครั้ง
ฟิ้ว
ร่างของเด็กหนุ่มเลือนหายจากจุดเดิม หลงเหลือเพียงประกายสายฟ้าที่ตัดผ่านขอบฟ้า สร้างรอยอัสนีงดงาม
“หัวหน้าสาขาออกมาแล้ว”
เตี๋ยเย่เผยรอยยิ้มบาง ส่งเสียงผ่านจิตไปยังหลายที่
“หัวหน้าสาขาออกมาแล้ว”
คนของสาขาพันธารา ทั้งระดับต่ำระดับสูงต่างมองไปยังประกายอัสนีที่ตัดผ่านเมฆดำทะมึน พุ่งออกมาจากความว่างเปล่า