บทที่ 317 : คำสั่งหลักของหัวหน้า
“จ้าวเฟิง ตายซะ!”
เสียงคำรามเย็นเยียบมืดหม่นของโจรเถาชานเฟ่ยดังขึ้น ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมเกลียดชัง เข้าปะทะกับจ้าวเฟิงในที่สุด
จ้าวเฟิงได้ศึกษาสำนึกรู้แห่งมรดกอัสนี เมื่อรวมกับ ‘ผ้าคลุมเงาหยิน’ ความเร็วก็ได้หยามเหยียดผู้คนโดยสิ้นเชิง
ความเร็วของมันนั้นเทียบเคียงได้กับผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนและโจรเถาชานเฟ่ย
ในฐานะของศิษย์หลักของจอมโจรฉุ่ยเยว่ โจรเถาชานเฟ่ยได้แสดงความเร็วจากกระบวนท่าเคลื่อนไหวออกมาจนถึงขีดสุด
“ท่านหัวหน้าสาขา ระวังด้วย กระบวนท่านี้จะสร้างภาพติดตาขึ้นจำนวนมาก…”
เตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านข้างโจนตีจนศัตรูในขั้นมนุษย์แท้ผู้หนึ่งบาดเจ็บสาหัส ต้องการที่จะกลับมาช่วยเหลือจ้าวเฟิง
ภารกิจที่สำคัญที่สุดในการมายังสาขาพันธาราครานี้ นอกจากช่วยเหลือจ้าวเฟิงแล้วก็คือการปกป้องอีกฝ่าย
“เตี๋ยเย่ เจ้าไปช่วยรองหัวหน้าสาขาเฉินเมิ่งเจิ่นก่อน คนผู้นี้ข้าจะรับมือเอง”
เสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นในสมองของเตี๋ยเย่โดยตรง
ตอนแรกนั้นเตี๋ยเย่ยังมีความลังเลอยู่บ้าง ทว่าน้ำเสียงของหัวหน้าสาขาคนใหม่นั้นได้ดังขึ้นซ้ำในสมองของตนราวกับท่องจำ ในน้ำเสียงนั้นยังมีศักดิ์ศรีที่ยอมหักไม่ยอมงออยู่
ได้!
เตี๋ยเย่ตอบรับ มุ่งหน้าตรงไปยังฝั่งสำนักร้อยบุปผา มีเป้าหมายในการช่วยเหลือ ‘เฉินเมิ่งเจิ่น’
หากสามารถช่วยเหลือได้สำเร็จ ฝ่ายลัทธิโลหะเลือดสาขาย่อมมียอดฝีมือระดับรองหัวหน้าสาขาเพิ่ม ยามนั้นสถานการณ์ย่อมมีโอกาส ‘เปลี่ยนแปลง’
ฝั่งสำนักร้อยบุปผา ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้หนึ่งคนและขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกสองคนได้เฝ้าตัวเฉินเมิ่งเจิ่นเอาไว้
ในระหว่างที่เตี๋ยเย่มุ่งหน้าไปนั้นก็ได้ถูกขัดขวางโดยผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้อีกคนด้วย
โดยภาพรวมแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการประลองระหว่างจ้าวเฟิงและโจรเถาชานเฟ่ย
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนยืนหยัดต่อพวกอวิ๋นช่าทั้งสองอย่างทระนง
เตี๋ยเย่และยอดฝีมืออีกคนต่อกรกับสำนักร้อยบุปผาและยอดฝีมือคนอื่นๆ รับผิดชอบในการช่วยเหลือเฉินเมิ่งเจิ่น มุ่งหน้าเข้าปะทะ
ทั้งสองฝั่งนั้นได้เข้าสู่สภาวะสมดุลชั่วคราว
ทว่าฝั่งศัตรูนั้นมีโจรเถาชานเฟ่ย ยอดฝีมือผู้นี้ ทั้งวิธีการกลยุทธ์ล้วนน่าหวาดกลัว หากจ้าวเฟิงไม่อาจต้านทานเขาเอาไว้ สถานการณ์ย่อมมีความเอนเอียง
ความอันตรายของโจรเถาชานเฟ่ยสำหรับผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปนั้นมีมากเกินไป กระทั่งสามารถจับเป็นรองหัวหน้าสาขาได้
ในยามนี้
จ้าวเฟิงและโจรเถาชานเฟ่ยยืนเผชิญหน้ากันห่างออกไป ปราณจิตวิญญาณบนร่างของทั้งสองสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันอันแข็งแกร่งที่แพร่กระจายออกมาได้ทำให้ผู้คนไม่อาจเข้าใกล้
ยอดฝีมือหลายฝ่ายที่อยู่ในที่แห่งนั้นได้ลอบให้ความสนใจในการต่อสู้ครั้งสำคัญนี้
“โจรเถาชานเฟ่ย คราที่แล้วพ่ายแพ้ในมือข้า เสียแขนไปข้างหนึ่ง ทว่าเจ้าก็ยังปฏิเสธที่จะปรับปรุงตัวแม้ข้าจะตักเตือนไปหลายครั้ง ครานี้ ข้าจะตัดแขนเจ้าอีกข้างและทำลายพลังฝึกตนของเจ้าทิ้ง”
จ้าวเฟิงสองมือไพล่หลัง นัยน์ตาราบเรียบมั่นคง
โอหัง!
สำนักร้อยบุปผา ตระกูลหยุนรอง และลัทธิโลหะเลือดสาขา เหล่าระดับสูงของทั้งสามฝ่ายต่างเผยสีหน้าตื่นตกใจออกมา
ในความคิดของพวกเขา จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับโจรเถาชานเฟ่ย ฝ่ายแรกเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า
ทว่าจากคำพูดของจ้าวเฟิง โจรเถาชานเฟ่ยเคยพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มไปแล้วคราหนึ่ง
“เป็นความจริงหรือ? หัวหน้าสาขาคนใหม่ไม่เพียงเคยเอาชนะโจรเถาชานเฟ่ยได้ครั้งหนึ่ง ทว่ากระทั่งตัดแขนของโจรผู้นี้ด้วย?”
“จ้าวเฟิงผู้นี้เพียงเพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ก่อนหน้ายังอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ…”
ทั้งสามฝ่ายต่างเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
เมื่อได้ยินคำตอกย้ำของจ้าวเฟิง โจรเถาชานเฟ่ยก็คำรามลั่นอย่างกราดเกรี้ยวขึ้นในทันที ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอาฆาตอำมหิต จิตใจเต็มไปด้วยความอับอาย
ในวันนั้นที่ป้อมเหิงฉุ่ยตัวมันได้ถูกเล่ห์กลและพ่ายแพ้ให้แก่จ้าวเฟิง นับเป็นความอับอายที่สุดในชีวิตของมัน
ทว่าจ้าวเฟิงยังเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน
สีหน้ากราดเกรี้ยวของโจรเถาชานเฟ่ยได้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ อย่าได้บอกเชียวว่ามันเป็นความจริง?
“ตายซะ!”
จิตสังหารของโจรเถาชานเฟ่ยพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด สั่นสะท้านกระทั่งจิตวิญญาณของผู้คน
ฟุ่บ!
พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาในมือของชายหนุ่มวาดออก คลื่นสีฟ้าเย็นเยียบรูปพัดน่าพรั่นพรึงปรากฏขึ้น เป็นราวกับหิมะถล่มที่ถาโถมน้ำหนักกว่าหนึ่งล้านจินลงมา
พัดฉุ่ยเยว่เซียนเถานั้น จะอย่างไรก็คือ ‘หนึ่งในสี่สมบัติสายธารจันทรา’ ที่เป็นอาวุธโจมตี ความสามารถของมันนับได้ว่าไร้ที่ติ
แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้มาเผชิญหน้ากับการโจมตีระดับนี้ สีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปหลายส่วน
ฟุ่บ!
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวูบ กลายเป็นประกายสายฟ้า พลันกระตุ้นพลังของผ้าคลุมเงาหยิน
วูบ ฟุ่บ!
ร่างของจ้าวเฟิงแบ่งออกเป็นสามร่าง
ทั้งสามร่างนั้นคือจ้าวเฟิงทั้งหมด กลับกลายเป็น ‘เงาร่างอัสนี’ พุ่งตรงไปยังโจรเถาชานเฟ่ยจากสามทิศทาง
นี่คือความสามารถลับของผ้าคลุมเงาหยิน ‘ร่างเงา’
บัดนี้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงสูงเพียงพอ สามารถใช้ทักษะลับของผ้าคลุมเงาหยินได้
ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจำนวนมากในบริเวณนั้น ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจแยกแยะตัวจริงของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวออกได้
“ตายไปซะ!”
พัดในมือของโจรเถาชานเฟ่ยวาดออก พลังเพิ่มสูงขึ้น ครอบคลุมร่างของจ้าวเฟิงทั้งสามพร้อมกัน
กระทั่งสามผู้ฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้มาเผชิญหน้ากับการโจมตีอันทรงพลังของโจรเถาชานเฟ่ยก็ยากที่จะเอาชีวิตรอดได้
พรึ่บ พรึ่บ
‘ร่างเงา’ ทั้งสอง เมื่อเข้าใกล้โจรเถาชานเฟ่ยก็พลันสลายไปในเสี้ยววินาที
ทว่าจ้าวเฟิงที่สามได้หลบหนีออกจากระยะโจมตีไป
“จะหนีไปไหน!”
โจรเถาชานเฟ่ยเลียริมฝีปาก รีบไล่ล่าตามไป
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงที่สามได้สลายหายไปจากการโจมตีจากพัดเพียงครั้งเดียว
หืม?
โจรเถาชานเฟ่ยรู้สึกประหลาดใจ ด้วยพลังของร่างจริงของจ้าวเฟิงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความแข็งแกร่งและเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายนั้น กระทั่งเขาก็ยังต้องขอคำชี้แนะ
บัลลังก์ดอกบัวสามสีปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าลอยคว้าง ด้านบนมีเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้า
อย่าได้ลืมไปว่าผ้าคลุมเงาหยินของจ้าวเฟิงนั้นมีความสามารถในการปกปิดตัวตนที่แข็งแกร่ง
ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ระดับสูงบางส่วนของกองกำลังทั้งสามฝ่ายอุทานออกมาอย่างไร้เสียง
จ้าวเฟิงจะสามารถต่อกรกับโจรเถาชานเฟ่ยได้หรือ? แน่นอนว่าไม่!
การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ สลัดโจรเถาชานเฟ่ยจนหลุด พุ่งตรงไปยังสำนักร้อยบุปผา
เป้าหมาย: ช่วยเหลือเฉินเมิ่งเจิ่น!
ก่อนหน้าที่จ้าวเฟิงเอ่ยว่าเคยเอาชนะโจรเถาชานเฟ่ยได้ ท่าทีราวกับชัยชนะได้อยู่ในกำมือ ความจริงแล้วทำไปเพื่อสร้างสถานการณ์โน้มน้าวให้คิดว่าจะต่อสู้
ภายใต้บรรยากาศเช่นนั้น ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเขาจะไม่สู้?
สุดท้ายแล้ว การสลัด ‘โจรเถาชานเฟ่ย’ ทิ้งก็ได้ถูกเตรียมการเรียบร้อย
ต้องการให้จ้าวเฟิงกับโจรเถาชานเฟ่ยสู้กันซึ่งๆ หน้า? เขาไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น! นี่นับเป็นงานที่ไร้ประโยชน์ ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ปัจจุบันมากนัก มีเพียงการที่เขาสามารถเอาชนะโจรเถาชานเฟ่ยได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นจึงจะส่งผล
ทว่าปัญหาคือ โจรเถาชานเฟ่ยเคยพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิงมาแล้วครั้งหนึ่ง บัดนี้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ย่อมไม่ดูแคลนคู่ต่อสู้ วิธีการเช่นเดิมย่อมยากที่จะประสบความสำเร็จ
ในยามนี้
จ้าวเฟิงสลัดโจรเถาชานเฟ่ยหลุดได้สำเร็จ มุ่งหน้าตรงไปยังแนวป้องกันของสำนักร้อยบุปผา
คลื่นวงแหวนอัสนี!
ฟุ่บ ครืนนนน
บนร่างของจ้าวเฟิงปรากฏคลื่นกระแสไฟฟ้าสีฟ้าแผ่ขยายออก กลายเป็นโซ่ไฟฟ้าเชื่อมต่อกัน แผ่วงกว้างออกไปทั่วทุกทิศ
ผู้ที่ด้อยฝีมือกว่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงล้วนตายตกในเสี้ยววินาที
ด้วยความช่วยเหลือของจ้าวเฟิง เตี๋ยเย่จึงสามารถฆ่าคนที่เฝ้าเฉินเมิ่งเจิ่นอยู่ได้สำเร็จ
แผนการช่วยเหลือได้เข้าใกล้ความสำเร็จเข้าไปอีกก้าว
ฝั่งลัทธิโลหะเลือดสาขา ทั้งระดับสูงต่ำต่างขวัญกำลังใจเพิ่มสูง มองไปยังมีความหวัง
“หึ! หากเข้ามาอีกก้าว ข้าจะฆ่านางซะ”
ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ของสำนักร้อยบุปผายื่นมือหนึ่งไปคว้าลำคอของเฉินเมิ่งเจิ่นไว้อย่างข่มขู่
เตี๋ยเย่ชะงักฝีเท้า ล่าถอยไปสองก้าวอย่างลนลาน
“จ้าวเฟิง อย่าคิดว่าจะสำเร็จ!”
โจรเถาชานเฟ่ยโถมร่างตามมาจากทางด้านหลัง
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ถึงระยะทางและเวลาก่อนจะเอ่ยสั่งเตี๋ยเย่ “ฆ่า ช่วยชีวิต”
“นี่…”
เตี๋ยเย่ลังเลอยู่บ้าง ทว่าก็ทำตามคำสั่งของจ้าวเฟิง พุ่งตรงไปยังเฉินเมิ่งเจิ่น
เหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดสาขาสีหน้าเปลี่ยนไป “อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านหัวหน้าสาขาไม่สนใจความปลอดภัยของรองหัวหน้าสาขาแล้ว?”
ยอดฝีมือในขั้นมนุษย์แท้ผู้เป็นศัตรูที่ควบคุมความเป็นตายของรองหัวหน้าสาขาเฉินเมิ่งเจิ่นอยู่ชะงัก หากผลีผลามฆ่าสตรีในมือไป อีกฝ่ายย่อมลงมืออย่างเต็มที่
“อย่าได้บอกเชียวว่าข้าต้องตายที่นี่? หัวหน้าสาขาคนใหม่นี้ไร้ใจยิ่งนัก”
เฉินเมิ่งเจิ่นในปากปรากฏรสขมปร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่
คำสั่งเลือดเย็นของจ้าวเฟิงได้ให้ทำให้จิตใจของสมาชิกแห่งลัทธิโลหะเลือดสาขาหนาวเยือก
มีเพียงโจรเถาชานเฟ่ยที่ราวกับคิดบางสิ่งออก สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “… ฆ่าผู้หญิงนั่น!”
เขาปะทะกับจ้าวเฟิงมาหลายครั้ง เข้าใจถึงความน่าพรั่นพรึงของเด็กหนุ่มผู้นี้ดี
ทว่าคำเตือนของเขานั้นช้าเกินไป
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนสามปทุม ครองตำแหน่งควบคุม ดวงตาซ้ายสีฟ้าใสลึกล้ำนั้นราวกับบ่อน้ำเย็นเยียบอันไร้ที่สิ้นสุด
ความเย็นที่ไม่อาจมองเห็นได้แช่แข็งบรรยากาศ แทรกซึมไปตามความว่างเปล่า ทะลวงเข้าสู่จิตใจ
ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ที่จับเฉินเมิ่งเจิ่นเป็นตัวประกันสบตากับจ้าวเฟิง ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกราวกับว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นนรกเยือกแข็งอันไร้ที่สิ้นสุด สติจมลึกลงในนั้น
หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ความสามารถของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ติ๋ง!
ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ที่จับเฉินเมิ่งเจิ่นเป็นตัวประกันผู้นั้นทั่วทั้งร่างเปียกโชกเหนื่อยล้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงหวาดกลัว จิตใจไร้ซึ่งกำลัง ไม่อาจควบคุมร่างกายได้
นี่ทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ต้องตื่นตะลึง
พวกเขาเพียงเห็นดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกวาดมองครั้งหนึ่ง ยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ผู้นั้นก็ทรุดลงพ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที
ในเวลาเพียงครึ่งลมหายใจ ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั้งสองที่จับตัวเฉินเมิ่งเจิ่นอยู่ก็ล้มลงกับพื้น สิ้นสติไป
“เป็นพลังสายเลือดดวงตาที่น่าพรั่นพรึงนัก!”
ผู้นำเฒ่าตระกูลหยุนที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้สูดลมหายใจเย็นเยียบ
อวิ๋นช่า ผู้อาวุโสใหญ่ และเหล่าระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดสาขาแทบจะเคลื่อนไหวช้าไปจังหวะหนึ่ง
เป็นเฉินเมิ่งเจิ่นที่อยู่ตรงข้ามที่ตื่นตะลึงเสียจนใบหน้าว่างโล่ง ดวงตางดงามเบิกกว้างจับจ้องอีกฝ่าย
“นี่คือสายเลือดดวงตาของท่านหัวหน้าสาขาหรือ?”
ดวงตาของเตี๋ยเย่ส่องประกาย เมื่อรู้ตัวก็ไม่เชื่องช้า ช่วยเหลือเฉินเมิ่งเจิ่นได้สำเร็จ
ฟุ่บ!
เมื่อเหล่าสมาชิกลัทธิโลหะเลือดสาขารู้สึกตัวก็พลันส่งเสียงอุทานออกมา
เมื่อรองหัวหน้าสาขาเฉินเมิ่งเจิ่นถูกช่วยเหลือ การต่อสู้นี้ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อจ้าวเฟิงเข้าร่วมการต่อสู้ก็ได้จัดการผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ สลัดโจรเถาชานเฟ่ยช่วยเหลือเฉินเมิ่งเจิ่น กระบวนการทั้งหมดนั้นใช้เวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น
หรือพูดอีกอย่าง
ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ จ้าวเฟิงก็ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมด
“จ้าวเฟิง แม้ว่าเจ้าจะช่วยเหลือนางก็ไร้ประโยชน์ ผู้หญิงนั่นถูก ‘กำยานเทียน’ ของข้าเข้าไป ไม่เพียงแค่ในเวลาสามวันจะไม่มีพลังต่อสู้ กระดูกทั่วทั้งร่างยังอ่อนนุ่มราวโคลน”
คำพูดเค้นเสียงราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของโจรเถาชานเฟ่ยได้สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน
เขาได้จับตัวเฉินเมิ่งเจิ่นไป มีหรือจะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถูกช่วยเหลือในที่สุด
“เป็นกำยานเทียน?”
ในสมองของจ้าวเฟิงพลันปรากฏข้อมูลที่เกี่ยวข้องจาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’
‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นบันทึกฉบับสมบูรณ์ของเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับหนทางมาร มีพื้นฐานมาจากแก่นแท้ของวิชาทั้งสำนักร้อยบุปผา
“ใครก็ได้! ไปเอาพิษแมงมุม ฉู่จง ฉี่ม้าหนึ่งถัง ยาเหมันต์ และยาที่มีธาตุเย็นใกล้เคียงกันมาให้ข้าอีกสิบอย่าง…”
จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง
“ขอรับ หัวหน้าสาขา!”
คนลัทธิโลหะเลือดสาขา แม้จะสงสัยทว่าก็ยังคงทำตามคำสั่งของหัวหน้าสาขา
ผู้ใดเล่าจะคาดคิด
จ้าวเฟิงเพียงเอ่ยสั่งคราหนึ่ง สีหน้าของโจรเถาชานเฟ่ยพลันขาวซีดลง “เป็นไปได้อย่างไร! เจ้ากระทั่งรู้ถึงยาแก้พิษของ ‘กำยานเทียน’ นี่เป็นความลับที่ส่งผ่านกันในสำนักร้อยบุปผา…”
ศิษย์ของลัทธิโลหะเลือดนั้นมีมากนัก วัตถุดิบที่จ้าวเฟิงถามหานั้นนับว่าธรรมดา กำลังคนมีมาก ในเวลาน้อยกว่าสิบลมหายใจวัตถุดิบทั้งหมดก็ถูกรวบรวมมาจนครบ
ของเหลวเหียวข้น ยาเหมันต์ ฉู่จงและพืชอื่นๆ ต่างหลอมละลายในฉี่ม้าโดยสมบูรณ์ก่อนที่จะถูกสาดไปที่ร่างของเฉินเมิ่งเจิ่น
เฉินเมิ่งเจิ่นเพียงรู้สึกว่ากระดูกในร่างที่อ่อนนุ่มได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าปรากฏความประหลาดใจขึ้น
ทว่าในยามนี้ จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับการตอบโต้อย่างบ้าคลั่งของโจรเถาชานเฟ่ยที่กราดเกรี้ยวอย่างหนัก