บทที่ 352 : เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า
หลังจากในเมืองหลวงอาณาจักรนภา จ้าวเฟิงได้ใช้วิชาสายเลือดนี้ออกมาอีกครั้ง วิธีการใช้ของมันได้ประณีตงดงามและลึกล้ำกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ครืนน
เบื้องหลังจ้าวเฟิงได้ปรากฏเงาเย็นเยียบสง่างามลึกลับขึ้นอีกครั้ง สูงกว่าหนึ่งหลา กลิ่นอายเย็นเยียบที่มันแพร่กระจายออกมาเมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วนับว่าพัฒนาขึ้น รูปลักษณ์ดูชัดเจนขึ้น
สิ่งที่แตกต่างจากเดิมมากที่สุดนั้นคือภายใต้เงาเย็นเยียบนั้นยังปรากฏ ‘บัลลังก์น้ำแข็ง’ ที่แตกแยกอยู่จำนวนมาก สิ่งกลิ่นอายยิ่งใหญ่เก่าแก่ออกมา
“นั่นมัน”
‘ราชินีฉวนปิง’ ที่อยู่ที่ที่นั่งผู้ชมจ้องมองไปยังเงายิ่งใหญ่บนบัลลังก์เบื้องหลังจ้าวเฟิงด้วยท่าทีที่ค่อนข้างประหลาดใจ
เงาเย็นเยียบนั่นชัดเจนว่าเป็นรูปลักษณ์ของบรรพบุรุษแห่งสายเลือดที่ปรากฏขึ้น
กลิ่นอายสายเลือดที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์เช่นนี้ กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่าง ‘ราชินีฉวนปิง’ ยังไม่อาจเข้าใจถึงต้นกำเนิดและพลังของมันได้อย่างชัดเจน
ผัวะ
จ้าวเฟิงตวาดเสียงดัง มือข้างหนึ่งวาดออก พลังฝ่ามือสายฟ้าผลิบานออกราวกับดอกบัว เสียงสายฟ้าครืนครางดังลั่น
ผลจากฝ่ามือที่วาดออกอย่างง่ายๆ นั้นคือแก่นแท้ของ ‘มรดกอัสนี’ และ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ที่หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ความสมบูรณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้โดยง่าย
แน่นอนว่าหลายวันมานี้ การทำความเข้าใจและสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ของจ้าวเฟิงได้มีความพัฒนาไปอย่างมาก
เปรี้ยง
พลังของฝ่ามือนั้นระเบิดออก รอบกลุ่มพลังนั้นยังปรากฏเงาเย็นเยียบอยู่ส่วนหนึ่ง ความเย็นเยียบกัดกร่อนในอากาศทำให้ร่างกายเชื่องช้าแข็งค้าง
ในเสี้ยววินาที ฝ่ามือที่จ้าวเฟิงที่ใช้ได้ขยายออกจนมีขนาดราวสิบหลา ‘บุปผาเหมันต์อัสนี’ ผลิบานอย่างดงาม ท่าทียิ่งใหญ่โอหัง
ตูม เปรี้ยง แคร่ก
ฟินิกซ์สีฟ้าเย็นเยียบปะทะเข้ากับบุปผาเหมันต์อัสนี ส่งเสียงแตกหักออกมาอย่างน่ากลัว
ครึก
บุปผาเหมันต์อัสนีได้ระเบิดออกที่กลางอากาศ น้ำแข็งและสายฟ้ากระจัดกระจายไปทั่ว
ฮูว์
‘ฟินิกซ์สายลมเหมันต์คำราม’ ของปิงฉุ่ยเยว่ยังคงเหนือกว่า พาร่างที่ยับเยินของมันไปโจมตียังจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงไม่ประหลาดใจ จะอย่างไรเขากับปิงฉุ่ยเยว่ก็ยังมีกำแพงของระดับพลังฝึกตนที่แตกต่างกันขวางกั้น
เปรี้ยง ตูม
พลังที่เหลือของ ‘ฟินิกซ์สายลมเหมันต์คำราม’ พุ่งตรงไปยังสามปทุม แสงของกลีบบัวสามสีสั่นสะท้านเล็กๆ
เอี๊ยด
เงาร่างเย็นเยียบบนบัลลังก์เบื้องหลังจ้าวเฟิงส่งเสียงคำรามต่ำออกมา เสริมการป้องกันขึ้นอย่างลึกลับ
เมื่อคลื่นความเย็นเหล่านั้นเพียงเข้ามาใกล้ก็จางหายไปโดยไร้ร่องรอย
“เป็นไปได้อย่างไร… วิชาของเจ้าเป็นการลอกเลียนมาจากวิชาสายเลือดของข้า”
ปิงฉุ่ยเยว่จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตา รู้สึกเกินความคาดหมายที่อีกฝ่ายจะครอบครองมรดกสายเลือดที่ทรงพลังเพียงนั้น
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ
คุณสมบัติของสายเลือดของจ้าวเฟิงนั้นเหมือนกับนาง
ก่อนหน้าในอาณาจักรนภา วิชาสายเลือดของจินไท่จื่อและหวังเสี่ยวก้วยนั้นมีคุณสมบัติแตกต่างออกไป จ้าวเฟิงยังสามารถใช้เป็นสิ่งอ้างอิงได้
ในยามนี้เจอวิชาสายเลือดที่มีคุณสมบัติเดียวกัน เด็กหนุ่มจึงลอกมันได้ในเวลาไม่นาน
“จะเรียกว่าลอกเลียนได้อย่างไร สายเลือดธาตุน้ำแข็งไม่ใช่สมบัติเฉพาะแห่งวังฉวนปิงของเจ้าเสียหน่อย”
จ้าวเฟิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“รนหาที่ตาย แม้มรดกสายเลือดของเจ้าจะแข็งแกร่ง ทว่าความต่างของพลังฝึกตนและขอบเขตนั้นไม่อาจทดแทนได้”
ใบหน้างดงามของปิงฉุ่ยเยว่เย็นชา ตวาดเสียงดัง ลงมือโจมตีอีกครั้ง
ฟินิกซ์สายลมเหมันต์คำราม
พายุน้ำแข็งได้ถือกำเนิดฟินิกซ์น้ำแข็งที่ตัวใหญ่กว่าเดิม เต็มไปด้วยแรงกดดันอันทรงพลังจากสิ่งมีชีวิตโบราณ พุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง
บุปผาเหมันต์อัสนี
จ้าวเฟิงใช้วิชาสายเลือด เพียงหนึ่งฝ่ามือที่ฟันลง พลังเหมันต์อัสนีที่แข็งแกร่งกลายเป็นราวกับดอกบัวหิมะที่งดงาม เสียงครืนครางของสายฟ้าดังขึ้น ปะทะเข้ากับความเย็นจากฟินิกซ์น้ำแข็ง
เปรี้ยง เปรี้ยง
จ้าวเฟิงคุ้นชินกับกระบวนท่านี้มากขึ้นกว่าเดิม ใช้ออกหลายฝ่ามือในครั้งเดียว ปะทะกับปิงฉุ่ยเยว่ตรงๆ
หากพูดถึงในด้านของพลังโจมตีเพียงอย่างเดียว พลังเหมันต์อัสนีของจ้าวเฟิงเมื่อเทียบกับพลังความเย็นของน้ำแข็งย่อมเหนือกว่า
ทว่าปิงฉุ่ยเยว่มีพลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ คุณภาพของปราณจิตวิญญาณสูงกว่า เสวียนอ้าวของหน่อแห่งสำนึกรู้เชื่อมต่อกับสวรรค์ ทำให้ปริมาณและคุณสมบัติของมันเหนือกว่า
ดังนั้นแล้ว จ้าวเฟิงจึงรับมืออีกฝ่ายตรงๆ ได้อย่างยากลำบาก ตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ ทว่าเมื่อเทียบกับความรู้สึกก่อนหน้าก็นับว่าดีกว่า
คิ้วงดงามของปิงฉุ่ยเยว่มุ่นเข้าหากัน รับรู้ได้ถึงแรกคุกคาม รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
จ้าวเฟิงมีสามปทุมป้องกัน ทว่าหลังจากที่ได้รับการเสริมพลังอย่างลึกลับของบัลลังก์น้ำแข็งก็กลายเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การโจมตีที่สามารถฝ่าการป้องกันไปได้และพลังความเย็นที่รุกรานเข้าไปใกล้จ้าวเฟิงได้หายไปอย่างลึกลับ
ยิ่งเวลาผ่านไป เงายิ่งใหญ่และบัลลังก์น้ำแข็งเบื้องหลังจ้าวเฟิงกลับส่องแสงสว่างมากขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
“เจ้าเด็กผมฟ้านี่ค่อนข้างเก่งกาจ สามารถปะทะกับปิงฉุ่ยเยว่ตรงๆ ได้แล้ว”
“ตำแหน่งของม้ามืดอันดับหนึ่งแห่งลานประลองเหนือยังคงไม่แน่นอน”
ผู้คนที่ด้านล่างลานประลองชะงักชันทอดถอนใจอย่างคาดไม่ถึง
ฉินคุนอู๋และเนตรวิญญาณหนานจื่อ สองยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง
ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ นัยน์ตาหงส์ของ ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ ส่องประกายตื่นตะลึงวูบ “เงาร่างบรรพบุรุษสายเลือดของเขาสามารถดูดกลืนพลังความเย็นได้”
มรดกสายเลือดของจ้าวเฟิงอาจกล่าวได้ว่าสามารถทำได้ทั้งโจมตีและป้องกัน
รวมทั้งสามปทุมยังสร้างป้อมปราการที่ไม่อาจทำลายขึ้นได้ในยามนี้
ฟุ่บ ฟุ่บ
สามปทุมที่คุ้มครองร่างของจ้าวเฟิงอยู่ได้ส่งคลื่นพลังสีฟ้าออกมาทันที
เขากระทั่งโจมตีตอบโต้ออกมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้อยู่ในสภาวะป้องกันรับมือแล้ว
เปรี้ยง เปรี้ยง
จ้าวเฟิงและปิงฉุ่ยเยว่ได้ส่งการโจมตีที่รุนแรงเหนือธรรมดาออกมาบนลานประลองเหนือโดยที่ไม่มีผู้ใดยอมกัน
พลังของปิงฉุ่ยเยว่แข็งแกร่งกว่าจ้าวเฟิง ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นคล่องแคล่ว บุปผาเหมันต์อัสนีผลิบานที่กลางอากาศอย่างงดงามครั้งแล้วครั้งเล่า
“สองม้ามืดแห่งลานประลองเหนือ พลังแข็งแกร่งดีนัก”
“พลังของสองม้ามืดนี้อย่างน้อยก็เทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำทั่วไป”
การต่อสู้บนลานประลองเหนือได้ดึงดูดความสนใจของอัจฉริยะและผู้ชมทุกคนในลานประลองชางกู่ไป
“น้องสาวชนะ”
หลังจากเงียบไปนาน ปิงเว่ยเซียนจื่อจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราวกระซิบ
ในยามนี้ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างนางได้สรุปออกมาแล้ว
ผู้ใดชนะ ผู้ใดพ่ายแพ้?
ฉินคุนอู๋ เซี่ยเซียนชาง และเนตรวิญญาณหนานจื่อต่างครุ่นคิดวิเคราะห์
“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าเป็นม้ามืดโดยแท้ ข้าพลาดไป ทว่าน่าเสียดายที่การประลองนี้เขาจะต้องพ่ายแพ้”
สีหน้าของฉินคุนอู๋ระบายไปด้วยความมั่นใจ
“เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนั้น?”
ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมเอ่ยขึ้นอย่างแปลกประหลาด เขาชื่นชมจ้าวเฟิงอย่างมาก การที่เด็กหนุ่มประลองกับปิงฉุ่ยเย่วได้เพียงนี้อาจกล่าวได้ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว
“ไม่ว่าจะเป็นมรดกสายเลือดใดก็ไม่อาจคงอยู่ไปได้ตลอดการต่อสู้”
ฉินคุนอู๋แย้มยิ้ม
เมื่อชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กๆ
สุดท้ายแล้วเขาจึงถอนหายใจ ราวกับยอมรับความคิดของฉินคุนอู๋
“เมื่อสูญเสียการสนับสนุนจากพลังสายเลือดไป เจ้าจะรับมือกับยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ได้อย่างไร?”
นัยน์ตาหงส์ของปิงฉุ่ยเยว่กวาดมองไปยังคู่ต่อสู้ด้วยความเย็นชาและเยาะเย้ย
จากมุมมองในยามนี้ แม้นางอาจไม่เหนือกว่าจ้าวเฟิง ทว่าพลังกระบวนท่าของนางแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย
คนทั้งสองปะทะกัน พลังสายเลือดย่อมถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง
พลังสายเลือดนั้นเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ เมื่อใช้ไปจนหมดนับว่ายากที่จะเติมเต็ม
ในด้านของการฟื้นฟู ความเร็วการฟื้นฟูของพลังสายเลือดนับว่าเลวร้ายกว่าปราณจิตวิญญาณอย่างมาก
รวมทั้ง
ปิงฉุ่ยเยว่มั่นใจ มรดกสายเลือดของนางถูกค้นพบมานานหลายปี กฎเกณฑ์แห่งสายเลือดเพียบพร้อม สามารถยืนหยัดได้นานกว่าจ้าวเฟิงอย่างแน่นอน
“จะแพ้หรือ?”
ดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มอ่านขาดสถานการณ์ทั้งหมด มีหรือจะมองไม่ออก?
การต่อสู้ยืดเยื้อได้ทำพลังสายเลือดของเขาได้ถูกใช้ออกและลดน้อยลงเรื่อยๆ
ทว่าความพ่ายแพ้นี้ จ้าวเฟิงไม่ต้องการ
“ก่อนหน้าที่จะสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้น ข้าไม่อาจนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้จริงๆ ดูเหมือนว่าคงต้องลองวิชาพลังจิต”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ในใจอย่างรวดเร็ว
เหมือนกับการโจมตีของหมัด กระบี่ และดาบ รวมทั้งปราณจิตวิญญาณ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของกายเนื้อ เป็นสิ่งที่ตาเปล่าสามารถมองเห็นได้ใน ‘ความเป็นจริง’
“คุกลวงตา? หน่อสำนึกรู้ของสตรีผู้นี้ทรงพลังยิ่งนัก ขอบเขตจิตวิญญาณก็ไม่เลว โอกาสที่จะสำเร็จกล่าวได้ยาก เนตรจิตวิญญาณเหมันต์? สิ่งที่สตรีผู้นี้ฝึกฝนคือวิชาธาตุความเย็น ควรจะมีพลังต่อต้านจิตวิญญาณเหมันต์อย่างมาก เช่นนั้นก็เป็นเนตรหัวใจวิญญาณ? คนจากวังฉวนปิงมีท่าทีเฉยชา ไม่อาจหาช่องว่างได้โดยง่าย”
สามวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงถูกวิเคราะห์
ในที่สุดก็พบว่าวิชาที่เหมาะสมที่สุดคือ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ที่เพิ่งทำความเข้าใจ
เปลวเพลิงและน้ำแข็งมีความสัมพันธ์เป็นขั้วตรงข้ามกัน
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าคือการหลอมรวมกันของสายฟ้าและเปลวเพลิง สามารถโจมตีไปยังกายเนื้อและวิญญาณได้พร้อมกัน
แน่นอนว่า
จ้าวเฟิงยังมีไม้ตายอื่นอยู่อีก นั่นคือพัดฉุ่ยเยว่เซียนเถาที่สามารถโจมตีไปยังจิตใจของที่มีจิตใจแข็งแกร่งกว่าได้
“เช่นนั้นลอง ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’…”
จ้าวเฟิงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
ครืนน
ในจุดตันเถียน เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีพลันเต้นตุบอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกัน โลหิตที่ส่องแสงสีฟ้าอ่อนเจือจางก็ได้กลับกลายเป็นราวกับเส้นไหม เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีขยายออก หลอมรวมเข้ากับมิติในดวงตาซ้าย
ในมิติในดวงตาซ้าย
รูปลักษณ์โปร่งใสของเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีได้หลอมรวมเข้ากับพลังของดวงตาในบ่อน้ำเหมันต์
ตึก ตึก ตึก ตึก
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเต้นเป็นจังหวะแปลกประหลาด
ในดวงตาซ้ายได้ปรากฏบ่อน้ำเหมันต์อันไร้ก้นบึ้งขึ้น รอบด้านพลันปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนโปร่งใสขึ้น ราวกับมีชีวิต
หลังจากที่พลังของดวงตาซ้ายและเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนหลอมรวมกัน ราวกับเป็น “ดวงตา”ของจ้าวเฟิง
ในยามนี้
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงที่ปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนก็เต้นตุบรัวเร็วขึ้น
“นั่นมัน”
ร่างกายและจิตใจของปิงฉุ่ยเยว่สั่นสะท้าน รับรู้ถึงความกระวนกระวายที่ไม่อาจอธิบาย
“นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร”
เนตรวิญญาณหนานจื่อที่อยู่ด้านล่างลานประลองตะโกนเสียงดัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่คือกระบวนท่าวิชาของตระกูลอู๋ของข้า เนตรวิญญาณผลาญจิต”
“เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า… เปิด”
แสงสว่างจ้าของเพลิงอัสนีในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงส่องประกายวูบก่อนจะจางหายไปในเสี้ยวพริบตา
ฟู่วว
กลุ่มเพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนราวกับเผาไหม้ร่างบอบบางของปิงฉุ่ยเยว่จากความว่างเปล่า ส่งเสียง ‘เปรี้ยง’ ออกมาเหมือนเช่นไม่ใช่เปลวไฟฟกติ
ในเสี้ยววินาที
เพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนที่ส่งเสียงครืนครางนั้นก็ได้ระเบิดออกเป็นสายฟ้า แพร่กระจายไปทั่วขอบเขตจิตวิญญาณ
“กรี้ดดดด”
ปิงฉุ่ยเยว่กรีดร้องออกมา สีหน้าขาวซีด หน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
นางโคจรปราณจิตวิญญาณในร่าง แสงเย็นเยียบจ้าขึ้น บนผิวขาวใสงดงามปรากฏลวดลายเย็นเยือกขึ้น ราวกับสัญลักษณ์ ลวดลายของขนนก
หึหึ
เพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนที่อาละวาดอยู่ในร่างของนางถูกทำลายไปเสียส่วนมาก
ทว่าความเร็วในการโจมตีของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ นั้นรวดเร็วเกินไป แทบจะถึงเป้าหมายในเสี้ยววินาที มันได้โจมตีโดนเป้าหมายของมันแล้ว
ยามที่เพลิงอัสนีถูกกำจัด บนผิวงดงามของปิงฉุ่ยเยว่ก็ได้เต็มไปด้วยรอยไหม้หลายแห่ง
ทว่าส่วนที่ยับเยินมากที่สุดคือจิตใจ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้านั้นเป็นเพราะมาจากการหลอมรวมระหว่างเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีและพลังของดวงตาเทพเจ้า ทำให้สามารถอาละวาดทำลายจิตวิญญาณได้
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีด้านจิตวิญญาณ ความสามารถในการป้องกันของปิงฉุ่ยเยว่นับว่าด้อยกว่า
“กรี้ดดดด”
ปิงฉุ่ยเยว่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ล้มลงที่พื้น
เพลิงอัสนีที่มองไม่เห็นได้อาละวาดอยู่ในจิตวิญญาณของนาง ทำให้นางได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างที่ไม่อาจคาดคิด
“น้องสาว”
สีหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
“เจ้าเด็กผมฟ้า… เจ้ากล้าลอกเลียนวิชาเนตรวิญญาณผลาญจิตของตระกูลอู๋ของข้า”
เนตรวิญญาณหนานจื่อคำรามอย่างประหลาดใจ
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าที่จ้าวเฟิงใช้ออกนั้นชัดเจนว่าเป็นกระบวนท่าที่ลอกเลียนแบบเขามา สิ่งที่น่าขุ่นเคืองยิ่งกว่าคือพลังโจมตีและการทำลายของมันนั้น เมื่อเทียบกับสายเลือดดวงตาของตัวเขาแล้วยังเหนือกว่า
ทันใดนั้น เนตรวิญญาณหนานจื่อก็กัดฟันกรอด เต็มไปด้วยความริษยาโกรธแค้น
“ไม่ถูกต้อง ความสามารถที่น่าหวาดกลัวที่สุดของสายเลือดดวงตาของเด็กนี่คือการทำความเข้าใจวิชาของคู่ต่อสู้ ลอกเลียนแบบวิชาของผู้อื่น”
เนตรวิญญาณหนานจื่อพลันคิดบางอย่างออก สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ในฐานะของทายาทของหนึ่งในสามตระกูลสายเลือดดวงตา เขาเพิ่งเคยได้ยินถึงความสามารถนี้ของสายเลือดดวงตาประเภทนี้