บทที่ 353 : คำท้าประลองของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
ณ ลานประลองเหนือ
เหล่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้และสามยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสาม รวมทั้งเหล่าบุตรหลานที่สวรรค์รักใคร่ต่างตื่นตะลึงจนใบหน้าซีดขาว
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า!
ดวงตาซ้ายส่องประกายวูบ เพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนพุ่งวาบไปยังร่างของปิงฉุ่ยเยว่
ชัยชนะและพ่ายแพ้ ถูกตัดสินในการมองครั้งเดียว
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการต่อสู้นี้จะเกิดความเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพียงนี้
เมื่อครู่ ปิงฉุ่ยเยว่ยังได้เปรียบ มั่นใจว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ ทว่าวินาทีต่อมากลับพ่ายแพ้ให้แก่วิชาดวงตาอันน่าหวาดผวา
“กรี้ดดดด”
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวชวนหดหู่ดังลั่น ร่างล้มลงกับพื้นกลิ้งเกลือกไปมา แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างจากตายไปแล้ว
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ พลังของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้าเหนือกว่าที่เขาคาดไว้ ภายใต้การกวาดมองครั้งหนึ่งทำให้คู่ต่อสู้ตกอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัสสิ้นหวัง
ในยามนี้ เพลิงอัสนีสีเขียวอ่อนได้บดขยี้ทำลายจิตวิญญาณของปิงฉุ่ยเยว่ ความเจ็บปวดที่ราวกับถูกเผาไหม้ทั้งเป็นนั้นมากกว่าปกตินับสิบเท่าร้อยเท่า
“น้องฉุ่ยเยว่… ยอมแพ้เร็วเข้า!”
ปิงเว่ยเซียนจื่อและราชินีฉวนปิงที่อยู่ที่ที่นั่งผู้ชมอุทานออกมา ใบหน้าขาวซีด
ตุบ!
เสียงกรีดร้องของปิงฉุ่ยเยว่หยุดลง สิ้นสติไป
ฟุ่บ!
กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์จับธงคำสั่งเซียนมังกรวาดออก มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง
ครืนน!
ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของจ้าวเฟิงสว่างจ้าขึ้น เปลี่ยนจากสีทองแดงเข้มกลายเป็นสีเงินสว่าง สัญลักษณ์มังกรปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
วาสนามังกรของเด็กหนุ่มเพิ่มสูงขึ้นหนึ่งส่วนอย่างรวดเร็ว
ยามจ้าวเฟิงเดินลงจากลานประลองก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบจากนัยน์ตาของปิงเว่ยเซียนจื่อ รวมทั้งเปลวเพลิงริษยาของเนตรวิญญาณหนานจื่อ
การประลองนี้ แม้เขาจะมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับต้องแลกด้วยการสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ รวมทั้งความโกรธเคืองริษยาจากเนตรวิญญาณหนานจื่อ
“สิ่งสำคัญคือต้องสร้างหน่อสำนึกรู้ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ในจิตใจปรากฏสำนึกรู้แห่งขอบเขตเจตจำนงขึ้นเข้าหลอมรวมกันไม่หยุดยั้ง รวมเข้ากับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ และรวบรวมไอสวรรค์อีกรอบด้าน
ในยามนี้
รอบ ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ ของงานชุมนุมเซียนมังกรได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
สี่ม้ามืดแห่งลานประลองเหนือ มีเพียงจ้าวเฟิงที่ชนะติดต่อกัน 45 ครั้ง
การประลองเมื่อครู่ได้ทำให้จ้าวเฟิงกลายเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งของลานประลองเหนือ
ในเวลาเดียวกัน
ลานประลองตะวันออก ตะวันตก ใต้ และกลางต่างปรากฏม้ามืดที่แข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว
โดยเฉพาะลานประลองใต้ที่มีม้ามืดสี่คน รวมทั้งซินอู๋เหินและหลิวฉินซิน
ซินอู๋เหินตั้งแต่ต้นจนจบใช้มือเดียวในการประลอง เอาชนะคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่า กระทั่งยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ยังพ่ายแพ้ในมือเขา
กลางอากาศ แท่นรูปวงรี
เก้าผู้สูงศักดิ์แห่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์มองลงไปด้านล่างด้วยมุมมองของปักษา เอ่ยพูดคุยกันด้วยสีหน้าประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า
“ซินอู๋เหินผู้นี้ แม้ยังเยาว์ทว่าขอบเขตเจตจำนงราวกับปรมาจารย์ เขาไม่มีพลังสายเลือด ไม่มีพรสวรรค์ที่สูงส่ง แต่กลับมาถึงขั้นนี้ได้ นับว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก”
ร่างยักษ์ผิวทองแดง ‘รองหัวหน้าสหพันธ์’ มีสีหน้าเคลือบแคลง ครุ่นคิดถึงปัญหาที่ยากเย็นข้อนี้
“นับว่าเป็นปาฏิหาริย์โดยแท้ นอกจากนั้นเขายังปิดกั้นพลังฝึกตนที่แท้จริงเอาไว้ด้วย”
“เด็กผมฟ้าที่ลานประลองเหนือนั่น พลังสายเลือดแข็งแกร่งยิ่งนัก อย่างน้อยก็เทียบเคียงกับสามสายเลือดดวงตาแห่งทวีปได้ บางทีอาจมีความเกี่ยวข้อง ‘แปดดวงตาเทพเจ้า’ ในตำนาน”
เหล่าผู้สูงศักดิ์บนแท่นต่างจับจ้องไป
งานชุมนุมเซียนมังกรในครานี้ วาสนามังกรนับว่ามีพลังมากมายนัก ทั้งความสามารถของเหล่าม้ามืดยังเหนือกว่ากาลก่อน
ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เองก็แข็งแกร่งกว่าผู้อื่นหลายเท่าตัว
บนชั้นเมฆ
รูปภาพได้ปรากฏขึ้นมากมายราวกับภาพลวงตา ปรากฏขึ้นและจางหายไปครั้งแล้วครั้งเล่า
บางครั้ง
ภาพเหล่านั้นได้ปรากฏแสงสีเขียวมรกต เผยภาพงดงามขึ้น บ้างก็ปรากฏภาพของเผ่าพันธุ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่นมนุษย์ที่มีร่างเป็นงู หรือคนที่มีปีก
“เยี่ยม! ภาพมรดกปรากฏขึ้นรวดเร็วนัก”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนแทบจะเงยศีรษะขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“นี่คือ ‘มรดกทะเลเขียว’ ด้านในมีเผ่าพันธุ์ที่จางหายไปจากทวีปอยู่จำนวนมาก เคยปรากฏขึ้นที่ทวีปบุปผาครามเพียงครั้งเดียวเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน”
“มูลค่าของ ‘มรดกทะเลเขียว’ นับว่ายอดเยี่ยมโดยแท้ กระทั่งใกล้เคียงกับสี่มหามรดก”
เหล่าผู้สูงศักดิ์บนแท่นใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดีมีความสุข
รอบแรกของงานชุมนุมเซียนมังกรยังไม่ทันสิ้นสุด ทว่ากลับปรากฏภาพมรดกที่สองขึ้นแล้ว
แม้ว่าจะเป็นในยุคของจอมดาบเย่อู๋เสี่ยหรือผู้นำลัทธิมารจันทราชาดก็ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ที่น่าเศร้านั้นคือ สี่มหามรดกในยามนี้กลับยังไม่มีกระทั่งวี่แวว
ในเวลาที่สุดยอดเช่นนี้ ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ปรากฏตัว กลุ่มอัจฉริยะดาราส่องประกายเจิดจ้า หากไม่ปรากฏหนึ่งในสี่มหามรดกขึ้นสักหนึ่งมรดกก็นับว่าไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
“อย่าได้ รีบร้อน! การปรากฏขึ้นของสี่มหามรดกแต่ล่ะครั้งมักจะปรากฏขึ้นในระยะเวลาสำคัญ มันยังมีโอกาสที่จะปรากฏขึ้นอยู่”
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดง ‘หัวหน้าสหพันธ์’ เผยรอยยิ้มบาง
ในยามนี้ งานชุมนุมเซียนมังกรยังไม่ไปถึงรอบสุดท้าย วาสนามังกรเองก็ยังไม่ได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด
ลานประลองเหนือ
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ทุกความตั้งใจใช้ในการสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’
ในจุดตันเถียน แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มสั่นกระเพื่อม แก่นแท้การฝึกตนทั้งชีวิตของจ้าวเฟิงอยู่ในที่แห่งนี้
เสวียนอ้าวแห่งขอบเขตเจตจำนงถือกำเนิดขึ้นจากสิ่งนี้
เสวียนอ้าวแห่งขอบเขตเจตจำนงไหลออกจากแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ ทำให้สมองของเด็กหนุ่มปลอดโปร่งมากขึ้น
ภายในสมองของจ้าวเฟิงปรากฏเส้นใยแสงสีเขียวอ่อนราวใยไหมที่ทั้งเล็กและละเอียดไขว้ซ้อนทับกันไปมา
เส้นใยสีเขียวอ่อนส่องประกายราวกับกระแสไฟฟ้า สั่นสะท้านอย่างแปลกประหลาด เข้าหลอมรวมกับฟ้าดิน
ในยามนี้
หน่อสำนึกรู้ในจิตใจของจ้าวเฟิงได้ปรากฏชัดเจนมากขึ้น นับว่าถือกำเนิดขึ้นมาแล้วโดยพื้นฐาน
“หากหลอมรวมเพียงเสวียนอ้าวแห่งขอบเขตเจตจำนงของ ‘มรดกอัสนี’ ความเร็วในการสร้างหน่อสำนึกรู้จะรวดเร็วขึ้นหลายเท่าตัว บางทียามนี้อาจจะ…”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจ
เขาตระหนักได้ว่าการที่เขายังไม่บรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ แต่สามารถสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้นได้ก็นับว่าเกินธรรมดาแล้ว
ทว่าจ้าวเฟิงยังคง ‘โลภมาก’ ต้องการหลอมรวมแก่นแท้ของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เข้าไปด้วย
ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ จ้าวเฟิงนับว่าไม่มีทางถอย ทั้งตัวเด็กหนุ่มเองก็ไม่เสียใจแม้แต่น้อย “ความอ่อนแอและแข็งแกร่งของหน่อสำนึกรู้ในยามแรกจะส่งผลต่อพลังของมันในภายหลัง ตัวอย่างเช่นปิงฉุ่ยเยว่นั่น ด้วยความช่วยเหลือจากแก่นแท้ ‘มรดกฉวนปิง’ ทำให้หลังจากบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ไม่นานสามารถสร้างหน่อสำนึกรู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นได้จนสามารถข้ามขั้นเอาชนะหม่าเทียนซานได้”
จ้าวเฟิงไม่ยอมแพ้ กัดฟันดิ้นรนเดินหน้าต่อไป
ภายใต้แรงกดดันนี้ ความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนของดวงตาเทพเจ้าของเขาได้เข้าสู่จุดสูงสุด ค้นพบความสามารถที่ไม่ธรรมดา
บางทีในแต่ล่ะวินาที ความเข้าใจในสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงอาจจะหลอมรวมกันหลายร้อยหลายพันครั้ง
ครืนนน!
กระทั่งตราคำสั่งเซียนมังกรของจ้าวเฟิงสั่นเตือน จ้าวเฟิงจึงจะออกไปประลอง
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้”
บนลานประลองเหนือ เด็กหนุ่มพลังฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสูงใบหน้าหดหู่ เอ่ยยอมแพ้โดยไม่หยุดคิด
หลังจากที่เอาชนะปิงฉุ่ยเยว่ จ้าวเฟิงในลานประลองเหนือก็เหมือนม้ามืดอันดับหนึ่ง พลังเทียบเคียงได้กับยอดฝีมือชั้นแนวหน้า ชื่อเสียงโด่งดัง
เมื่อลงมาจากลานประลอง
จ้าวเฟิงเพียงรับรู้ได้ถึงบรรยากาศเย็นเยียบที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ ร่างกายแข็งเกร็ง
เมื่อมองไปด้วยความสงสัย
นัยน์ตาหงส์ของปิงเว่ยเซียนจื่อเย็นเยียบ เต็มไปด้วยจิตสังหาร ทำให้จิตใจสั่นสะท้าน
ข้างกายนางปรากฏร่างของปิงฉุ่ยเยว่ที่ใบหน้าซีดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น
มือทั้งสองข้างของ ‘ราชินีฉวนปิง’ ไขว้กัน กำลังรักษาอาการบาดเจ็บให้กับผู้เป็นศิษย์ของนาง
“ท่านอาจารย์ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าท่านก็ไร้ซึ่งหนทาง?”
ปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยถาม
จากการพ่ายแพ้เมื่อครู่ ปิงฉุ่ยเยว่ได้ตกอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัส ครึ่งเป็นครึ่งตาย
โชคดีที่มีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอยู่พร้อมด้วยยาจิตวิญญาณ ทำให้สามารถรักษาชีวิตของเด็กสาวเอาไว้ได้
“ฉุ่ยเยว่พ้นอันตรายแล้ว ทว่าอาการบาดเจ็บที่จิตวิญญาณจากการถูกเผาไหม้นั้นไม่อาจฟื้นคืนได้ในระยะเวลาสั้นๆ อาจารย์กลัวว่าอาการบาดเจ็บนี้จะทำลายหน่อสำนึกรู้ของฉุ่ยเยว่ หากมันรุนแรงอาจทำให้นางไม่อาจพัฒนาไปได้ตลอดชีวิต”
ราชินีฉวนปิงถอนหายใจ
“นั่นก็เท่ากับว่า…”
ฟันสีเงินของปิงเว่ยเซียนจื่อขบกันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
“ใช่ นางไม่อาจเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรต่อได้”
ราชินีฉวนปิงเอ่ยคำตัดสินออกมา
นางมองไปยังแผ่นหลังของจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำคราหนึ่งก่อนจะเงียบลง
ในอาณาเขตงานชุมนุมเซียนมังกร แม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ไม่อาจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขันได้
ในงานชุมนุมเซียนมังกร อัจฉริยะทุกคนจะถูกปกป้องโดยสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะผู้ที่ติดหนึ่งในร้อยอันดับแรก
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่านางยังจดจำได้ว่าจ้าวเฟิงมาจากลัทธิโลหะเลือด
คนรุ่นหลังต่อสู้ตัดสินกันอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา หากยังไม่เอาชีวิตคนหรือทำให้คู่ต่อสู้พิการ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีที่นางจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
น่าชังนัก!
นัยน์ตาหงส์เย็นเยียบของปิงเว่ยเซียนจื่อเต็มไปด้วยจิตสังหารเข้มข้น ทั่วทั้งร่างล้อมรอบไปด้วยม่านหมอกเย็นยะเยือกน่าพรั่นพรึง ไอสวรรค์ราวกับจะรวมตัวกัน
“ท่านผู้สูงศักดิ์ ข้าต้องการท้าประลองจ้าวเฟิง”
ปิงเว่ยเซียนจื่อนำตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองออกมา วาสนามังกรของมันนั้นสร้างแรงกดดันไปทั่วทั้งลานประลองเหนือ
ตามกฎของงานชุมนุมเซียนมังกร ทุกคนมีโอกาสที่จะ ‘เรียกชื่อท้าประลอง’ สามครั้ง
ก่อนหน้า ปิงฉุ่ยเยว่ใช้วิธีการนี้ในการท้าประลองจ้าวเฟิง
ทว่ายามนี้
ปิงเว่ยเซียนจื่อได้ใช้วิธีการเดียวกันในการล้างแค้นให้ผู้เป็นน้อง
“ในงานชุมนุมเซียนมังกร แม้ไม่อาจฆ่าคนได้ เพราะจะทำให้เสียวาสนามังกร ทว่าแม้ข้าจะต้องเสียวาสนามังกรบางส่วนไปก็ต้องไล่ต้อนเจ้าให้ฆ่าตัวตายให้ได้ อย่างน้อย! ต้องบดขยี้เจ้าให้ยับเยิน ทำลายพลังฝึกตนของเจ้า”
ใบหน้าของปิงเว่ยเซียนจื่อเย็นเยียบเต็มไปด้วยจิตสังหาร ใบหน้าขาวงดงามบิดเบี้ยวอย่างหนัก
ตราคำสั่งเซียนมังกรของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ส่องแสงสีทองสว่างจ้า เสียงคำรามของมังกรดังก้องขึ้น วาสนามังกรสีทองล้อมรอบร่างของปิงเว่ยเซียนจื่ออย่างเห็นได้ชัด
“สวรรค์! ปิงเว่ยเซียนจื่อจะทำอันใดกัน?”
“ด้วยฐานะของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ กลับท้าประลองม้ามืดหน้าใหม่ผู้หนึ่ง?”
นี่กระทั่งสร้างความตื่นตัวให้กับทั่วทั้งลานประลองชางกู่
‘หยูเทียนฮ่าว’ ที่ลานประลองกลาง ‘ตันไถ่หลันเยว่’ ที่ลานประลองตะวันออก ‘แฝดไท่หยุน’ ที่ลานประลองใต้ และ ‘ชื่อเฉิงเทียน’ ที่ลานประลองตะวันตก ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้อีกสี่คนต่างรับรู้โดยพร้อมเพรียงกัน สายตาเบนมองไปยังลานประลองเหนือ
ในเสี้ยวพริบตา
วาสนามังกรสีทองทั้งห้าจากห้าลานประลองได้พุ่งทะยานขึ้นอีกครั้ง
ในยามนี้
งานชุมนุมเซียนมังกรรอบแรก ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ ได้เข้าสู่จุดสำคัญที่สุด
บรรยากาศและจิตต่อสู้ของเหล่าผู้คนได้ถูกกระตุ้น โลหิตของอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนเดือดพล่าน
ครืนน เปรี้ยง!
ภูเขารูปปั้นศิลาที่ยิ่งใหญ่รอบลานประลองชางกู่ดูราวกับมีชีวิตมากยิ่งขึ้น
กลิ่นอายพลังอำนาจที่ไม่อาจมองเห็นจากภูเขารูปปั้นศิลาได้เพิ่มขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ในเสี้ยววินาทีครอบคลุมไปทั่วทั้งลานประลองชางกู่ กระทั่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังไม่อาจปฏิเสธกลิ่นอายพลังอำนาจเหล่านั้นได้
กลิ่นอายนั้นให้ความรู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตอันเป็นที่สุดในอดีตกาลที่น่าเคารพนอบน้อม ราวกับมาจากยุคสมัยที่เก่าแก่
“ลานประลองชางกู่ได้กระตุ้นพลังของอดีตกาลขึ้น นี่นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
นัยน์ตาของร่างยักษ์ผิวสีทองแดง ‘รองหัวหน้าสหพันธ์’ ส่องประกายตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในเวลาเดียวกัน
ชั้นเมฆได้ปรากฏเงาขึ้นซ้อนทับจากยู่ไว่
ในยามนี้
เงานั้นได้ส่องประกายสีโลหิตเจือจาง ในเงาที่ล่องลอยอยู่นั้นปรากฏโลหิตที่ไร้ที่สิ้นสุดจากกองศพ กลิ่นอายกระหายเลือดทำให้เหล่าอัจฉริยะรับรู้ได้อยู่หนึ่งหรือสองส่วน
“สวรรค์! นี่คือภาพ ‘มรดกจันทราชาด’!”
“มรดกจันทราชาด! รวดเร็วอันใดเช่นนี้!”
เหล่าผู้สูงศักดิ์แห่งขอบเขตแก่นก่อกำเนิดร่างสั่นสะท้าน
มรดกจันทราชาดนั้นควรค่าแล้วที่นับเป็นหนึ่งในสี่มหามรดก เพียงแค่ปรากฏขึ้นก็ผลักดันเงามรดกอีกสองมรดกที่ลอยอยู่ใกล้ๆ ออกไป