บทที่ 360 : สูญเสียการควบคุม
กฎของงานชุมนุมเซียนมังกรนั้นมีมาอย่างช้านาน มีความเคร่งครัดชัดเจนและเถรตรงอย่างมาก
การเรียกชื่อท้าประลองคือการไม่ทำตามกฎ เป็นสิ่งที่ขัดกับลิขิตสวรรค์ เมื่อพ่ายแพ้ย่อมต้องจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนในมูลค่าที่เท่าเทียม
การประลองของปิงเว่ยเซียนจื่อและจ้าวเฟิงจบลงที่เสมอ ฝ่ายแรกจำต้องมอบวาสนามังกรให้ในปริมาณที่เท่ากับการพ่ายแพ้ในยามปกติ
ครืน!
ปริมาณวาสนามังกรของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นนับสิบเท่าในเสี้ยววินาที ติดหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่แน่ว่าอาจเทียบกับโม่เทียนอี้ ฉินคุนอู๋ และคนอื่นๆ ได้
“วาสนามังกรของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นับว่าแข็งแกร่งโดยแท้ แม้สูญเสียไปเพียงเล็กน้อย กลับทำให้ข้าเพิ่มระดับขึ้นได้มากเพียงนี้”
จ้าวเฟิงประหลาดใจและยินดีขึ้นเล็กๆ
จะอย่างไร ตำแหน่งสุดท้ายของงานชุมนุมเซียนมังกรก็ไม่ได้นับจากจำนวนชัยชนะหรือการพ่ายแพ้ ทว่าเป็นปริมาณของวาสนามังกร
อาจกล่าวได้ว่าจ้าวเฟิงได้กระโจนข้ามระดับไปสู่ระดับที่แม้จะกวาดมองไปทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกรก็นับว่าเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่เทียบเคียงกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้
กลางอากาศ แท่นสูง
“เด็กนี่ได้กลายเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งแล้ว”
“ฮี่ฮี่ ยังไม่ทันเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ทุกอย่างยังยากที่จะสรุป ตัวอย่างเช่นซินอู๋เหินผู้นั้นที่ปิดกั้นระดับพลังและขอบเขตของตนเองเอาไว้”
“มู่หรงฝานและชางหยูเยว่ที่ลานประลองตะวันตก จ้าวหยูเฟ่ยและผู้สืบทอดตระกูลถัวป๋าที่ลานประลองตะวันออก พวกเขาล้วนมีความสามารถมากมาย”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร่าร้อน มองไปยังลานประลองด้านล่าง
อัจฉริยะคนใดที่หลบซ่อนพลังความสามารถมากมายเท่าใดพวกเขาล้วนล่วงรู้เพียงกวาดตามอง
จ้าวเฟิงในยามนี้นับเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งของงานชุมนุมเซียนมังกรโดยไม่ต้องสงสัย ทว่าพลังฝึกตนและขอบเขตของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเหมือนกับการบีบเค้นความสามารถออกมา
เมื่อดูอัจฉริยะผู้อื่นอย่างซินอู๋เหิง มู่หรงฝาน ชางหยูเยว่ จ้าวหยูเฟย ผู้สืบทอดตระกูลถัวป๋าและคนอื่นๆ ต่างก็มีความสามารถมากมาย
ในยามนี้
ชั้นเมฆเหนือลานประลองชางกู่ได้ปรากฏเงาภาพพร่าเลือนแปลกประหลาดบางประการลอยอยู่
“มีมรดกปรากฏออกมาสองมรดก!”
คนจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงเหนือศีรษะของตน
ในยามนี้ได้ปรากฏภาพมรดกขึ้นทั้งหมดสี่มรดก ไม่นับมรดกจันทราชาดที่หายไปก่อนหน้า
จ้าวเฟิงเดินลงจากลานประลอง ดวงตามองไปยังภาพเงามรดกที่อยู่บนชั้นเมฆอย่างไม่ละสายตา
“นี่คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าที่ผ่านมา เป็นไปได้หรือไม่ที่มรดกที่เก่าแก่ที่สุดและลึกลับที่สุดอย่าง ‘มรดกความลับสวรรค์’ จะปรากฏขึ้น?”
ยอดฝีมือและอัจฉริยะจำนวนมากรู้สึกหลงใหลขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในตำนาน การปรากฏขึ้นแต่ล่ะครั้งของ ‘มรดกความลับสวรรค์’ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับฟ้าดินอย่างมาก ส่งผลต่อทั้งทวีป
เพียงแต่ มรดกความลับสวรรค์นั้นไม่ได้ปรากฏขึ้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว
ไม่นานหลังจากที่ภาพมรดกจันทราชาด ‘ถูกดูด’ หายไปโดยคนของลัทธิมารจันทราชาด มีหรือที่สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จะสามารถ ‘กล้ำกลืนความอับอาย’ โดยที่ไม่หวังให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมได้?
กลับไปยังลานประลองเบื้องล่าง
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ จิตใจสมาธิเพ่งไปยังการสร้างความมั่นคงให้กับ ‘หน่อสำนึกรู้’ ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการถ่ายทอด ‘แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ’ ของจอมโจรฉุ่ยเยว่
แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่นั้นบริสุทธิ์และมากมายกว่าของจ้าวเฟิง
หากหลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้ จ้าวเฟิงจะถูกบีบบังคับให้กลับไปฝึกฝนวิชามาร ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ มันเป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
ดังนั้น
เขาจึงฟื้นฟูและเสริมพลังให้กับแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของตนเองก่อน ถ่ายเทแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่ให้ช้าลง
การถ่ายทอดแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณแต่ล่ะครั้ง จ้าวเฟิงจะใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีของตนเองในการเผาผลาญสร้างตรา ‘มรดกอัสนี’ ขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้
เด็กหนุ่มจึงไม่เพียงแค่ถ่ายเทมัน แต่ว่ากำลังดัดแปลงมันด้วย
เป็นเรื่องดีที่เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีของจ้าวเฟิงทรงพลัง ทั้งยังมีพลังรุนแรงเหนือกว่าเพลิงวิญญาณทั่วไป
‘รอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ ใกล้จะสิ้นสุดลง จ้าวเฟิงดัดแปลงและถ่ายเทแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของจอมโจรฉุ่ยเยว่อย่างต่อเนื่อง สร้างความสมดุลและพัฒนาแข่งกับเวลา
ในที่สุด
ก่อนที่รอบห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่จะสิ้นสุดลง พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็อยู่ที่ขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอด ยามนี้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า ปรากฏคอขวดที่มองไม่เห็นขึ้น
“แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของขอมโจรฉุ่ยเยว่ถ่ายเทและดัดแปลงไปแล้วหนึ่งในสาม ทว่ายังเหลืออีกสองในสาม”
สายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก เริ่มครุ่นคิด
แม้ว่าเขาจะใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีในการดัดแปลงดูดกลืนแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ ทว่ามันก็ได้เพียงระดับหนึ่งก่อนที่มันจะกลืนกินแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของเขา
จะอย่างไร แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณทั้งสองก็มีลักษณะขอบเขตเจตจำนงและระดับพลังฝึกตนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณอีกสองส่วนที่เหลือ อย่างมากก็ดูดกลืนได้เพียงครึ่ง โอกาสที่จะบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ได้หรือไม่อยู่ที่ห้าในสิบส่วน หากมากกว่านั้นแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของข้าจะถูกกลืนกิน สูญเสียแก่นแท้ของ ‘มรดกอัสนี’ ไป”
สมองของจ้าวเฟิงทำงานไม่หยุด
อีกนัยหนึ่ง แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณอีกสองส่วนที่เหลือของจอมโจรฉุ่ยเยว่นั้น เขาจำเป็นต้องหาวิธีออกให้ได้
ผลาญออก?
ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกาย ปรากฏแผนการบ้าบิ่นขึ้นแผนหนึ่ง
มันเป็นที่รู้กันว่าแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณคือพื้นฐานแหล่งกำเนิดของปราณจิตวิญญาณ หากถูกทำลายก็เหมือนกับสูญเสียพลังฝึกตนไป
ดังนั้นแล้ว แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง นับได้เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต
“ในช่วงเวลาสำคัญสามารถเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ กระทั่งการเผาไหม้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่เหลือหนึ่งส่วนนั้น มันจะให้พลังมากมายเพียงใดกัน?”
เมื่อคิดเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็หัวเราะอยู่ในใจ
ในสถานการณ์ปกติ การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณจะทำให้พลังต่อสู้เพิ่มขึ้น ทว่าอาจสร้างความเสียหายให้กับพื้นฐานพลังได้
แต่จ้าวเฟิงต้องละทิ้งแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณส่วนหนึ่งไปอยู่แล้วตั้งแต่ต้น
เรียกได้ว่า
จ้าวเฟิงได้ไพ่ตายเพิ่มอีกหนึ่งใบ!
ในยามนี้เอง
“รอบแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร ‘การประลองห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ สิ้นสุดลง ห้าร้อยอันดับแรกจะเข้าไปยังรอบที่สอง ‘ร้อยเซียนมังกร’ ”
น้ำเสียงกระฉับกระเฉงดังขึ้นอย่างชัดเจน ก้องไปทั่วทั้งลานประลองชางกู่
รอบที่สอง ร้อยเซียนมังกร
ในอีกด้านหนึ่ง มันก็คือการเลือกอัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อยคน
ร้อยเซียนมังกรคือต้นกำเนิดของอัจฉริยะเซียนมังกรของทวีป!
ผู้ที่ติดหนึ่งในร้อยของงานชุมนุมเซียนมังกรจะได้รับการเรียกขานว่า ‘อัจฉริยะเซียนมังกร’
“ร้อยอันดับแรก…”
เป่ยม่อแย้มยิ้มขมขื่น
รอบแรกเขาได้ประลองหลายครั้ง ครั้งที่ชนะนั้นไม่มากกว่าครึ่ง
สถานการณ์เช่นนี้นับว่าไม่มีวาสนากับงานชุมนุมเซียนมังกรรอบต่อไป
“แพ้แล้ว”
นัยน์ตาของตงเซว่เปียกชื้น
ครืน!
จ้าวเฟิงพบว่าตราคำสั่งเซียนมังกรของตนเองส่องสว่าง วาสนามังกรบนร่างสั่นสะท้าน เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
ในเวลาเดียวกัน
ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของเหล่าผู้แพ้พลันหม่นแสงลง วาสนามังกรไหลออกอย่างต่อเนื่อง
เปรี้ยะ เปรี้ยะ
ตราคำสั่งเซียนมังกรของผู้แพ้ระเบิดออกในที่สุด วาสนามังกรที่ไหลออกถูกผู้ชนะช่วงชิงไป
อัจฉริยะที่เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรมีมากกว่า 3,000 คน ทว่าคนที่ผ่านรอบแรก สามารถเข้าร่วมรอบต่อไปได้มีเพียงแค่ 500 คน
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าวาสนามังกรบนร่างได้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ บนตราคำสั่งเซียนมังกรปรากฏแสงสีทองจางๆ
วาสนามังกรของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ควบรวมกันทะยานสูงนับหลา ส่องแสงสีทองสว่าง
เปรี้ยง
ลานประลองชางกู่สั่นสะท้านรุนแรง ภูเขารูปปั้นศิลารอบๆ ที่เป็นรูปปั้นของตัวตนในตำนานต่างส่งพลังแปลกประหลาดประการหนึ่งออกมาให้ความรู้สึกราวกับสั่นสะท้านฟ้าดิน
อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกหวาดกลัวทรมานอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าแหงนมองขึ้นไปด้านบน
ลานประลองชางกู่เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ กลไกการเปลี่ยนแปลงราวกับรับรู้ถึงพลังบางอย่าง ขยายออกไปนับสิบเท่า
“รอบที่สอง ร้อยเซียนมังกร!”
จ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังการเปลี่ยนแปลงของลานประลองชางกู่
ลานประลองทั้งห้าลดต่ำลงทีละน้อย สุดท้ายหลอมรวมเข้ากับพื้นลานประลองหายไป ราวกับเป็นกลไกที่ประณีตละเอียดอ่อนเหนือความสามารถของมนุษย์
จากที่เด็กหนุ่มรู้ ลานประลองชางกู่นี้และมรดกความลับสวรรค์ มีแหล่งกำเนิดเกี่ยวข้องกัน
“บางครั้ง ลานประลองชางกู่จะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบแปลกๆ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของวาสนามังกร”
ร่างยักษ์ผิวทองแดง ‘รองหัวหน้าสหพันธ์’ แหงนมองไปยังภูเขารูปปั้นศิลารอบลานประลอง
ภูเขารูปปั้นศิลาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของผู้ใดก็ล้วนมีตำนานที่สั่นคลอนสวรรค์อยู่ทั้งสิ้น
บางรูปปั้นเป็นบุคคลในยุคบรรพกาล
โดยเฉพาะรูปปั้นที่สิบที่สูงที่สุด ‘รูปปั้นศิลาครองสวรรค์’ ราวกับยืนเทียบเคียงสวรรค์ ตั้งตระหง่านสง่างาม สูงอย่างน้อยหลายร้อยหลา กระทั่งเป็นพันหลา
ยามที่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นรองหัวหน้าสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จ้องไปยังรูปปั้นศิลาเหล่านั้น นัยน์ตาของเขาก็ปรากฏความเคารพนอบน้อมอย่างลึกล้ำ
จ้าวเฟิงมองไปยังลานประลองชางกู่ รู้สึกราวกับตาฝาดไปอีกครั้งว่ารูปปั้นศิลาที่ภูเขารูปปั้นศิลานั้นราวกับมีกลิ่นอายของชีวิต กำลังจับจ้องมายังทุกการกระทำการเคลื่อนไหวของเขาและคนอื่นๆ
เปรี้ยง
ใจกลางลานประลองชางกู่พลันปรากฏเยื่อแสงโปร่งใสขึ้น
เยื่อแสงโปร่งใสนั้นขยายออกเล็กๆ จากที่ครอบคลุมระยะหนึ่งลี้ก็กลายเป็นระยะนับสิบลี้
ในเยื่อแสงโปร่งใสนั้นสามารถเห็นภาพภูมิประเทศได้อย่างชัดเจน เป็นทั้งภาพภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ป่าลึก และอื่นๆ
จากมุมหนึ่งมันเป็นราวกับภาพแผนที่ ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกราวกับเป็นภาพจริง
“นี่มัน… ค่ายกลมิติโบราณ! ใช้พลังฟ้าดินในการเปิดมิติขึ้น”
“มิติจากค่ายกล เมื่อเทียบกับมิติในความเป็นจริงแล้วยังใหญ่กว่าหลายเท่า กระทั่งหลายสิบเท่า”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าล้วนมีประสบการณ์มากมาย กระทั่งเคยไปยังยู่ไว่มาแล้ว
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ ใช้ดวงตาเทพเจ้าสำรวจในค่ายกลมิติโบราณที่แยกออกเป็นอีกมิติหนึ่ง
ค่ายกลมิติโบราณนี้ มองจากภายนอกสามารถเห็นสภาพภายในได้อย่างชัดเจนทั่วถึง
ความรู้สึกนี้เหมือนกับการเฝ้ามอง ‘อีกโลกหนึ่ง’
“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก มันจะกว้างใหญ่มากเพียงใด แล้วจะมีสิ่งในตำนานมากมายเท่าใดกัน?”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตั้งแต่ยามที่ย่างเท้าเข้ามายังงานชุมนุมเซียนมังกร ก็ราวกับได้สัมผัสถึงโลกที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ฟุ่บ!
เยื่อแสงโปร่งใสขยายออกอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมไปทั่วทั้งลานประลองชางกู่
เยื่อแสงโปร่งใสนั้นราวกับส่งคลื่นบางอย่างออกมากวาดผ่านร่างของอัจฉริยะทั้งหมดไป
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
เหล่าอัจฉริยะที่ตราคำสั่งเซียนมังกรยังไม่ถูกทำลายไปได้ถูกย้ายออกจากลานประลอง
“ที่นี่คือ?”
จ้าวเฟิงพบว่าที่ที่ตนเองยืนอยู่บนพื้นที่ราบ อัจฉริยะที่อยู่ห่างออกไปเองก็มีสีหน้านิ่งอึ้งว่างเปล่าเช่นกัน
“เป็นรอบร้อยเซียนมังกรเช่นกัน เหตุใดจึงต่างจากอดีตนัก”
โม่เทียนอี้ จินไท่จื่อ และคนอื่นๆ ที่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรครั้งก่อนๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
ผู้ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของผู้ชม รวมทั้งแท่นสูง สามารถเห็นภาพในเยื่อแสงโปร่งใสนั้นได้อย่างชัดเจน
อัจฉริยะทั้งห้าร้อยคนได้ถูกส่งกระจัดกระจายไปในมิติ
อัจฉริยะบางคนอยู่ในพื้นที่ภูเขาห่างไกล บ้างก็อยู่ในป่า บ้างก็อยู่บนชั้นเมฆ บ้างก็อยู่ในแม่น้ำ
“เป็นภูมิประเทศที่ซับซ้อนนัก สามารถปรับให้เหมาะสมกับการต่อสู้ได้ ไม่ใช่การประลองแบบเถรตรงอีกต่อไป”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าที่อยู่บนแท่นสูงเฝ้ามองสถานการณ์ในเยื่อแสงโปร่งใส
“กฎของครั้งนี้คืออันใดกัน?”
อัจฉริยะกว่าห้าร้อยคนถูกแยกกระจัดกระจายไปในมิติ บางส่วนก็รู้สึกนิ่งอึ้งจนใจ
เกิดความผิดปรกติอันใดกัน?
ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้ามองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า รู้สึกได้ว่าบางอย่างผิดปกติ
“รองหัวหน้าสหพันธ์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! รอบที่สองได้ถูก ‘ลานประลองชางกู่’ จัดขึ้นต่างจากในอดีต พวกเราสูญเสียการควบคุมงานชุมนุมเซียนมังกรไปแล้ว…”
ผู้สูงศักดิ์เคราขาวผู้หนึ่งพลิ้วกายมา ใบหน้าตื่นตระหนก