บทที่ 361 : ไร้กฎ
“เราเสียการควบคุมงานชุมนุมเซียนมังกรไปแล้ว…”
ข่าวที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้ทำให้ใบหน้าของผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้าแห่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ซีดเซียวลงเล็กๆ
รอบแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร ‘ห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่’ ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์
ทว่ารอบที่สอง ลานประลองชางกู่ได้ทำงานขึ้นด้วยตนเอง เกิดพลังเก่าแก่จากฟ้าดิน สร้างสถานที่แข่งขันใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนขึ้น
มิติในเยื่อแสงโปร่งใสนั้นมีทั้งภูเขา แม่น้ำ และป่า กลายเป็นอีกมิติหนึ่งจริงๆ
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปทั้ง 500 คนได้ถูกส่งกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของมิติเล็กๆ นี้ รู้สึกอับจนหนทางไปชั่วขณะ
“ลานประลองชางกู่โบราณลึกลับ แม้จะเทียบกับสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์และสิบยอดสำนึกก็ยังนับว่าเก่าแก่กว่า ตัวของมันได้ดูดกลืนพลังฟ้าดินมาไม่รู้เท่าใด”
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงมองไปยังภูเขารูปปั้นศิลารอบๆ ด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม
“แต่การเสียการควบคุมงานชุมนุมเซียนมังกรนี้ไป เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันอาจจะจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดา?”
“หากมันก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงเล่า? อัจฉริยะเหล่านี้อาจเป็นอนาคตของทวีป เป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้คนในรุ่นเดียวกัน”
ผู้สูงศักดิ์หลายคนมีท่าทีกระวนกระวาย
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงเอ่ยอย่างลังเลขึ้น “เรื่องเร่งด่วนกว่านั้นที่ต้องรู้คือ รอบสองแบบใหม่นี้มีกฎเช่นไรกัน?”
สายตาของผู้สูงศักดิ์จับจ้องไปยังผู้สูงศักดิ์เคราขาวที่มาแจ้งข่าว
“กฎ? บางทีอาจไม่มีกฎ”
ผู้สูงศักดิ์เคราขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มข่มขื่นจนใจ
ไร้กฎ
เหล่าผู้สูงศักดิ์ใบหน้าซีดขาวอย่างพร้อมเพรียงกัน
รอบที่สอง ลานประลองชางกู่ได้เคลื่อนย้ายเหล่าอัจฉริยะไปยังอีกมิติหนึ่ง ผู้อื่นไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ รวมทั้งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์
สำหรับนั้นก็คือไม่มีกฎ
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าอัจฉริยะเหล่านี้ยามที่อยู่ในค่ายกลมิตินั่นจะสามารถทำอันใดก็ได้? จะฆ่าคน ก่อกวน รวมมือกันรุมคน หรือทำลายล้างตามใจชอบ… ก็ได้หรือ?”
ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยนสูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
“มันคงเป็นเช่นนั้น จากการวิเคราะห์ค่ายกลมิตินี้ คนภายนอกทำได้เพียงเฝ้ามอง คนด้านในไม่อาจมองเห็นภายนอก เราไม่อาจกระทำการอันใดได้แม้แต่น้อย”
ผู้สูงศักดิ์เคราขาวส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
ผู้สูงศักดิ์แห่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี ได้รับชมงานชุมนุมเซียนมังกรมาหลายครั้งครา
ทว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ ลานประลองชางกู่ได้ฉกชิง ‘อำนาจการควบคุม’ ไป นับเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มองการเปลี่ยนแปลงอยู่เงียบๆ เถอะ”
รองหัวหน้าสหพันธ์เอ่ยขึ้นเสียงเบา
ในมิติเยื่อแสงโปร่งใส
อัจฉริยะทั้ง 500 คนถูกแบ่งกระจัดกระจายไปหลายที่ ยามแรกล้วนนิ่งอึ้ง ทว่าจากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหวอย่างกระวนกระวาย วิ่งวุ่นไปมา
พวกเขาอยู่ในมิติเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่อาจมองเห็นโลกภายนอกได้
ทว่าผู้คนที่นั่งอยู่ที่ที่นั่งผู้ชมกลับสามารถเฝ้ามองทุกรายละเอียดได้
“ไม่สามารถติดต่อกับด้านนอกได้ งานชุมนุมเซียนมังกรยามนี้มันเกิดอันใดกัน? มีข้อผิดพลาดหรือ?”
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนพื้นที่ราบ ขมวดคิ้วมุ่น
เขาแตกต่างไปจากอัจฉริยะส่วนมาก มีท่าทีสงบเยือกเย็น
ฟุบ
เด็กหนุ่มเปิดดวงตาเทพเจ้าออก มองผ่านเยื่อแสงโปร่งใสออกไปเห็นผู้คนที่ที่นั่งผู้ชมในลานประลองชางกู่ รวมทั้งผู้ที่อยู่บนแท่นสูงเหนือศีรษะ
ในเวลาเดียวกัน
ทายาทของสามตระกูลดวงตาแห่งทวีปเองก็ได้กระตุ้นการทำงานของดวงตา สำรวจสถานการณ์ภายนอกเยื่อแสง
ท้ายที่สุด
เนตรวิญญาณหนานจื่อทำไม่สำเร็จ สายเลือดดวงตาของเขาไม่ได้โดดเด่นในด้านการมองทะลุอยู่แล้ว
ทายาทตระกูลถัวป๋าหลังจากพยายามอยู่พักหนึ่งก็จบลงที่ความล้มเหลว
ทั่วทั้งมิติในเยื่อแสง มีเพียงดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่สามารถมองผ่านเยื่อแสง เห็นสถานการณ์ภายนอกได้
แน่นอนว่ามันไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องนำสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงไปเทียบกับสายเลือดของสามตระกูลชนชั้นสูง
ดวงตาเทพเจ้าของเขาโดดเด่นในการสำรวจ เฝ้ามอง สามารถมองเห็นได้แม้แต่เศษฝุ่น นี่คือพื้นฐานของความสามารถในการเรียนรู้และลอกเลียนแบบ
“หืม? สายตาของเด็กนี่ราวกับมองเห็นพวกเรา”
ผู้อาวุโส ‘หยูซิงเฉิน’ มองไปยังจ้าวเฟิงในเยื่อแสง
ทว่าในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้รั้งสายตาของเขากลับไป ให้ความรู้สึกเหมือนกับเข้าใจผิด
จากนั้น จ้าวเฟิงจึงหาภูเขาที่สูงที่สุดในมิติเพื่อสำรวจสภาพภูมิติประเทศของทั่วทั้งพื้นที่
ฟุบ
ดวงตาเทพเจ้ากวาดมอง ‘แผนที่เสมือนจริง’ ของมิติในเยื่อแสงก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง
นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกที่ถูกเวลาและถูกคน
จ้าวเฟิงควบคุม ‘ข้อได้เปรียบด้านภูมิประเทศ’ ก่อนเป็นอย่างแรก เข้าใจสภาพภูมิประเทศทั้งหมดของทั้งมิติอย่างชัดเจนอยู่ในใจ
หลังจากที่ทำเรื่องนี้เสร็จ จ้าวเฟิงยังไม่เปลี่ยนสถานที่ ทว่าใช้โอกาสนี้ในการเฝ้ามองสถานการณ์ในมิติเยื่อแสงนี้
ใกล้เขตแม่น้ำได้ปรากฏการต่อสู้เล็กๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว
แฝดไท่หยุนปะทะกับอัจฉริยะขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดผู้หนึ่ง
ด้วยพลังของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ใช้เพียงหนึ่งหรือสองกระบวนท่าโจมตีจนอัจฉริยะผู้นั้นกระอักเลือด ล้มลงที่พื้น
ฉัวะ
แฝดไท่หยุนเหวี่ยงดาบตัดแขนข้างหนึ่งของอีกฝ่าย
“อ๊ากกกก”
อัจฉริยะคนนั้นกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด คุกเข่าขอความเมตตา “ข้ายอมแพ้ โปรดหยุดมือเถอะ”
สิ่งที่แปลกประหลาดคือแม้เขาจะเอ่ยยอมแพ้ วาสนามังกรบนร่างกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ด่านนี้ไม่มีคนคอยควบคุม
“นี่มันอันใดกัน เราชนะคู่ต่อสู้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่ได้วาสนามังกร”
“งานชุมนุมเซียนมังกรบ้าบอ สรุปมันเกิดข้อผิดพลาดอันใดกัน?”
แฝดไท่หยุนคำรามอย่างกราดเกรี้ยวไม่พอใจ ลงมือระบายอารมณ์กับอัจฉริยะผู้นั้นทั้งต่อยทั้งเตะ
เมื่อเห็นว่าอัจฉยะผู้นั้นบาดเจ็บจนใกล้ความตาย
“ขอร้องเถอะ … หากไว้ชีวิตข้า ข้าจะมอบตราคำสั่งเซียนมังกรให้พวกเจ้า”
ใบหน้าของอัจฉริยะผู้นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก มอบตราคำสั่งเซียนมังกรให้กับแฝดไท่หยุน
ครืนนน
ในวินาทีที่ได้รับตราคำสั่งเซียนมังกร ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของแฝดไท่หยุนก็ส่องแสงสว่างจ้า พุ่งทะยานขึ้นสูงกว่าหนึ่งหลา
เปรี้ยะ
ตราคำสั่งเซียนมังกรนั้นพลันหม่นแสงและแตกสลายไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า ง่ายดายนัก เพียงแค่แย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรมาก็จะสามารถดูดกลืนวาสนามังกรทั้งหมดของคู่ต่อสู้มาได้”
แฝดไท่หยุนกลืนกินวาสนามังกรไปจำนวนมาก อดที่จะแหงนหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังไม่ได้
รอบแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร แม้จะทำอย่างเต็มที่ในการเอาชนะคนผู้หนึ่งก็สามารถแย่งชิงวาสนามังกรของอีกฝ่ายมาได้เพียงหนึ่งในห้า
ทว่าบัดนี้ เพียงแค่ได้ครอบครองตราคำสั่งเซียนมังกรก็สามารถแย่งชิงวาสนามังกรของอีกฝ่ายมาได้ทั้งหมด
แน่นอนว่าเรื่องนี้ตกอยู่ในสายตาของคนภายนอก
“ข้าเข้าใจแล้ว รอบนี้คือการแย่งชิง ใช้ทุกวิธีการในการแย่งชิงโดยไม่มีกฎมากะเกณฑ์ว่าต้องต่อสู้ นี่สามารถรีดเค้นความสามารถที่แท้จริงของผู้คนออกมาได้”
นัยน์ตาของผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉินส่องประกายสว่างจ้า
“ใช่แล้ว ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งนั้นมีมากเกินไปจริงๆ รวมทั้งวิธีการกลยุทธ์ ขวัญกำลังใจ ความสามารถ และอื่นๆ การประลองนั้นมีขีดจำกัด ไม่อาจทำให้คนแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้”
“ดีก็จริง แต่หากเป็นเช่นนี้มิใช่ว่ามันจะโหดร้ายไปหน่อยหรือ จะอย่างไรทั้งหมดนี้ก็คือยอดฝีมืออัจฉริยะชั้นแนวหน้าของทวีป”
ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ทว่าส่วนมากเห็นด้วย
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็ได้เห็นภาพเมื่อครู่ มีท่าทีเหม่อลอยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ด่านนี้นับว่าใกล้เคียงกับคำว่าไร้ข้อจำกัด สามารถใช้วิธีการใดก็ได้ตราบเท่าที่สามารถแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรมาได้เช่นนั้นหรือ”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์ ในใจปรากฏความยินดีตื่นเต้นขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
การต่อสู้เอาเป็นเอาตายนั้นเขาชื่นชอบนัก
สภาพแวดล้อมเช่นนี้เหมาะสมกับจ้าวเฟิงยิ่งกว่าโดยไม่ต้องสงสัย
ดวงตาเทพของจ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังสถานการณ์ของ ‘แฝดไท่หยุน’
หลังจากที่จัดการอัจฉริยะคนนั้นจนใกล้ตาย แย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรมาแล้ว ทว่ายังไม่ถูกตัดสิทธิ์
นี่หมายความว่าอันใดกัน?
“ยังไม่ถูกตัดสิทธิ์? ตราคำสั่งเซียนมังกรของข้าถูกแย่งชิงไปโดยแฝดไท่หยุนแล้ว ทว่าข้ายังสามารถแย่งตราคำสั่งเซียนมังกรของผู้อื่นมาได้… ข้ายังมีโอกาสอยู่”
นัยน์ตาของอัจฉริยะขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดผู้นั้นสั่นระริก ในใจปรากฏความหวังขึ้น
จากนั้นเขาจะทุบหม้อจมเรือ ทุ่มสุดตัวในการแย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรมาจากผู้อื่น
เมื่อคิดเช่นนี้ นัยน์ตาของเขาก็ส่องประกาย หลบหนีไปท่ามกลางเสียงก่นด่าของแฝดไท่หยุน
“หึ ในเมื่อไอ้เด็กนี่รู้จักประมาณตน ข้าก็จะไว้ชีวิต”
“สวะ เช่นนั้นเราก็เริ่มฆ่าล้างได้แล้ว หากผู้ใดไม่ยอมส่งตราคำสั่งเซียนมังกรมา… ก็ฆ่าให้หมด”
ใบหน้าของแฝดไท่หยุนบิดเบี้ยวโหดเหี้ยม ทะยานร่างกลายเป็นเงาเลือนลางออกไปเบื้องหน้า ค้นหาเป้าหมายใหม่
ในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วน้ำชาเดือด ในมิติก็ดังก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องจากทุกทิศทาง
“อ๊ากกก”
ที่เนินเขาลูกหนึ่งได้เกิดเสียงกรีดร้องโหยหวนขึ้น
อัจฉริยะที่ไม่ยอมยกตราคำสั่งเซียนมังกรให้ได้ถูกแฝดไท่หยุนปลิดชีพในทันที
ห๊ะ
ยอดฝีมือจากหลากหลายกองกำลังบนที่นั่งผู้ชมต่างอุทานออกมา
ผู้อาวุโสของอัจฉริยะที่ถูกฆ่าส่งเสียงประท้วงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ให้ตัดสิทธิ์การเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรของแฝดไท่หยุนไป
“ทุกท่าน ต้องขออภัยด้วยที่งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ลานประลองชางกู่ได้ทำงานด้วยตนเอง กฎนั้นคือ ไร้ซึ่งกฎ”
รองหัวหน้าสหพันธ์ร่างยักษ์ผิวทองแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดังก้องไปทั่วที่นั่งผู้ชม
กฎคือไร้ซึ่งกฎ
ทุกคนเต็มไปด้วยความเร่าร้อนตื่นเต้น
“แขกจากทุกกองกำลังในทวีป สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ได้สูญเสียการควบคุมงานชุมนุมเซียนมังกรไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ”
ผู้สูงศักดิ์เคราขาวเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เดี๋ยวขาวซีดเดี๋ยวแดงก่ำ
ผู้อาวุโสจากทุกกองกำลังสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
ทว่ามันเป็นเรื่องจริงที่งานชุมนุมเซียนมังกรได้หลุดออกจากการควบคุม กระทั่งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจควบคุมได้
เข่นฆ่า ลอบโจมตี รวมมือกันรุม ก่อกวน… ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด ในรอบที่สองนี้ไม่นับว่าเป็นการผิดกฎ
กฎคือไร้ซึ่งกฎ
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าพวกเจ้าไม่เชื่อว่าภายใต้การประลองที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและควันไฟเหล่านี้ จะไม่อาจกระตุ้นความสามารถของอัจฉริยะเหล่านี้ เพิ่มวาสนามังกรของทั้งทวีปได้”
นัยน์ตาของร่างยักษ์ผิวทองแดงปรากฏประกายโหดเหี้ยม ตื่นเต้น คาดหวัง และอื่นๆ ขึ้น
ฆ่าแล้วอย่างไร? มีผู้สูงศักดิ์คนใดบ้างที่มือไม่เปื้อนเลือด? ภาพเช่นนี้ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็น
การตัดสินใจของรองหัวหน้าสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
พลังของรองหัวหน้าสหพันธ์นั้น คนส่วนมากไม่รู้แน่ชัด รู้เพียงว่าเขาสามารถเอ่ยปากสั่งผู้สูงศักดิ์บางคนได้ ทั้งก่อนหน้ายังเคยปะทะกับผู้นำลัทธิมารจันทราชาดเคียงข้างกับจอมดาบเย่อู๋เสี่ย
บุคคลที่คุ้นเคยล้วนรู้ว่าเขาอยู่ในรุ่นที่กระหายเลือดที่สุด
ในมิติเยื่อแสง เสียงต่อสู้กรีดร้องดังขึ้นจากทุกทิศทาง อัจฉริยะหลายคนเผชิญหน้ากับศัตรู ใช้ทุกวิธีการในการต่อสู้ฆ่าฟัน
แน่นอนว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นแฝดไท่หยุนมีน้อย
การต่อสู้ทั่วไปนั้น ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยินยอมมอบตราคำสั่งเซียนมังกรให้ คนย่อมไม่แล้งน้ำใจ
จะอย่างไรทุกคนก็ล้วนเป็นสหายร่วมทวีป ยามที่ฆ่าใครสักคน อาจไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับกองกำลังใหญ่หรือผู้สูงศักดิ์เข้า
อัจฉริยะที่สามารถมาถึงขั้นนี้ได้ เบื้องหลังล้วนไม่มีผู้ใดธรรมดา อย่างน้อยย่อมมียอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้หนุนหลังอยู่
ทั้งอัจฉริยะบางคนยังเป็นลูกหลานทายาทของผู้สูงศักดิ์
“ออกตัว”
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวูบจากจุดสูงสุด ทิ้งร่างลงอย่างแผ่วเบา ดวงตาเทพเจ้าของเขาเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมด ค้นหาทิศทางอย่างรวดเร็ว
ถึงยามหนึ่ง
ในมือของจ้าวเฟิงได้ปรากฏคันธนูสีฟ้าใสและลูกธนูสีเงินสามดอกขึ้นประทับ
ฟุ่บ
ศรเหมันต์อัสนีที่รวดเร็วกว่าเสียงสองเท่าปักไปที่ต้นไม้ฝั่งตรงข้ามในเสี้ยววินาที
“อ๊ากก”
ในป่า ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งได้ล้มลงที่พื้นดัง ‘ตุบ’
ไหล่ของเขาถูกเฉียดผ่านโดยคันศรหลัวซุย พลังความเย็นและสายฟ้ากัดกร่อน ทำให้ร่างหนึบชาเย็นเยียบ ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ในเสี้ยววินาที
“เป็นไปได้อย่างไร… เจ้ามองทะลุผ่าน ‘วิชาทมิฬเร้นกาย’ ของข้าได้อย่างไร”
ชายหนุ่มชุดดำใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยสีเทาเงินพุ่งวูบปรากฏขึ้นที่กลางอากาศ ไปถึงข้างกายของชายหนุ่มชุดดำ แย่งชิงตราคำสั่งเซียนมังกรของอีกฝ่ายมา