บทที่ 367 : ทะลวงขั้นสำเร็จ
ถ้ำใต้น้ำ
มองตามร่างของหยูเทียนฮ่าวที่จางหายไป พวกโม่เทียนอี้รู้สึกประหลาดใจและไม่แน่ใจ ความหนักอึ้งในใจหายไปกว่าครึ่ง
บุรุษหน้าเหลืองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “โยนเผือกร้อนให้ผู้อื่น นับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดนัก รอให้หยูเทียนฮ่าวหาตัวซินอู๋เหินพบ พบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ตามหา จะมีท่าทีเช่นไรกัน?”
“จ้าวเฟิง เจ้ามั่นใจหรือว่าซินอู๋เหินจะสามารถดึงความสนใจของหยูเทียนฮ่าวไปได้”
บนใบหน้าของโม่เทียนอี้เต็มไปด้วยความสงสัย
คนทั้งสองมีความกระวนกระวายไม่สบายใจอยู่บ้าง
ความสามารถของซินอู๋เหินและโม่เทียนอี้นั้นชัดเจนนัก
ก่อนหน้าพวกเขาทั้งสองเองก็ได้สู้กัน ซินอู๋เหินนั้นกระทั่งพ่ายแพ้ให้แก่โม่เทียนอี้
เขายอมรับว่าซินอู๋เหินก็เก่งกาจไม่น้อย ทว่าหากเป็นการต่อสู้กับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ เกรงว่าความแข็งแกร่งจะยังต่างกันมากกว่าหนึ่งถึงสองส่วน
“ซินอู๋เหินผู้นี้ล้ำลึกไม่อาจมองได้ทะลุปรุโปร่ง ข้ากำลังต้องการเห็นความสามารถของเขาในยามนี้อยู่พอดี ทว่าครั้งนี้… คู่ต่อสู้ของเขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีป ข้าหวังว่าเขาจะสามารถทำให้ข้าพอใจได้บ้าง”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
ซินอู๋เหินจะสามารถรับมือหยูเทียนฮ่าวได้สักหนึ่งหรือสองกระบวนท่าหรือไม่ จ้าวเฟิงยากที่จะคาดเดา กระทั่งความมั่นใจยังไม่มี
จะอย่างไร หยูเทียนฮ่าวก็คือผู้ถูกเลือกที่เหนือกว่าผู้อื่นนับสิบเท่า กระทั่งเหนือกว่าผู้นำลัทธิมารจันทราชาดและจอมดาบเย่อู๋เสี่ยในช่วงเวลาเดียวกัน
อัจฉริยะอันดับหนึ่งตลอดกาล คำกล่าวนี้ไม่นับว่าเกินไปที่จะใช้อธิบายความสามารถของหยูเทียนฮ่าว
การกระทำนี้ จ้าวเฟิงอาศัยเพียงสัญชาตญาณ
ประสบการณ์ชีวิตของเขานั้นเต็มไปด้วยปริศนาที่ไม่อาจแก้ไข
ตัวอย่างเช่นต้นกำเนิดของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า เจ้าของดวงตาข้างนี้ ก่อนสิ้นชีพเป็นตัวตนเช่นใดกัน?
ตัวอย่างเช่น ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ที่มีคำสาปน่าพรั่นพรึงเหนือหลุมศพของยอดฝีมือนับร้อย มันถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด
และตัวอย่างเช่นลานประลองชางกู่ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของทวีปและมรดกยู่ไว่
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปริศนา
ทว่าในใจของจ้าวเฟิง ซินอู๋เหินเองก็เป็นปริศนาที่ไม่อาจแก้ไขเช่นกัน
‘งานชุมนุมอัจฉริยะ’ ของเมืองประกายอรุณ บนร่างของซินอู๋เหินได้ปรากฏ ‘เจตจำนง’ เป็นสิ่งในระดับนี้ขึ้น
ในยามนั้น ทุกคนยังคงอยู่ในขอบเขตรวบรวมปราณอยู่
สุดท้ายแล้ว ซินอู๋เหินได้ปิดกั้นพลังฝึกตนไว้ขั้นหนึ่ง ครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมอัจฉริยะร่วมกับจ้าวเฟิง ก่อนจะหายไปโดยไร้ร่องรอย
หลังจากที่หยูเทียนฮ่าวจากไป
จ้าวเฟิงใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ทะลวงขั้นเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้
ความจริงแล้ว ขั้นผู้วิเศษแท้สำหรับเขานั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคอขวด ที่เขาต้องการคือเวลาเล็กน้อยเท่านั้น
ในจุดตันเถียนได้ปรากฏปราณจิตวิญญาณที่ปรากฏธาตุสายฟ้าเจือจางขึ้นราวกับมีชีวิตจิตใจ เคลื่อนไหวไปในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับเลือดเนื้อ หลอมรวมเข้ากับแก่นแท้
ปราณจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้น นอกจากคุณสมบัติทำลายล้างของธาตุสายฟ้าแล้วยังมีลักษณะคล่องแคล่วหลากหลาย ดูชั่วร้าย มันเป็นสิ่งที่มาจากกลิ่นอายของ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ”
เพื่อที่จะให้ ‘มรดกอัสนี’ เป็นแกนหลัก จ้าวเฟิงจึงดูดกลืนพลังของ ‘ศิลาสายฟ้าเร้นลับ’ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รับรู้ถึงเสวียนอ้าวภายในของมัน
ไม่เพียงแค่พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงที่เพิ่มขึ้น ทว่าการรับรู้เข้าใจเองก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ฮูว์
ในจุดตันเถียนของจ้าวเฟิงได้ปรากฏเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีสีเขียวขึ้นกลุ่มหนึ่ง กระตุ้นปราณจิตวิญญาณในร่างซ้ำๆ
ด้วยพลังของแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ พลังและคุณภาพของเปลวเพลิงวิญญาณอัสนีก็เป็นราวกับเรือที่แล่นโผท่ามกลางคลื่นลม
ต้นกำเนิดพลังบางส่วนของ ‘เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า’ ของจ้าวเฟิงก็คือเปลวเพลิงวิญญาณอัสนี
ดังนั้นแล้ว การทะลวงขั้นในยามนี้เขาจึงตั้งใจที่จะใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีในการกระตุ้นร่างกาย
เวลาผ่านไปไม่นาน
ในวันสุดท้ายวินาทีสุดท้ายนี้ กลิ่นอายจิตวิญญาณบนร่างของจ้าวเฟิงได้ส่งกลิ่นอายของเจตจำนงที่กระทั่งล้ำลึกกว่าเดิมออกมาเจือจาง
ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันอย่างพวกโม่เทียนอี้ทั้งสองมีสีหน้าซับซ้อน
การทะลวงขั้นของจ้าวเฟิงใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่วัน กลับเทียบเท่าได้กับการทะลวงขั้นของยอดอัจฉริยะเป็นเวลาหลายปี กระทั่งใกล้เคียงกับความพยายามนับสิบปีของผู้อื่น
โม่เทียนอี้มั่นใจว่าจ้าวเฟิงต้องได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง ภายในร่างจึงมีแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณที่ทรงพลังเหนือขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำเป็นอย่างน้อย นับว่ายากจะอธิบายได้
นอกจากนั้น ด้านหนึ่ง
จ้าวหยูเฟ่ยกำลังปิดตารับรู้ หลังจากดื่ม ‘วารีเร้นลับ’ เข้าไป ร่างกายก็ส่งกลิ่นอายเจตจำนงออกมาจำนวนมาก
‘วารีเร้นลับ’ สามารถกระตุ้นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณได้อย่างมาก มีประโยชน์ในการช่วยให้รับรู้เสวียนอ้าวของฟ้าดิน สร้างหน่อสำนึกรู้
ร่างของจ้าวหยูเฟ่ยได้เริ่มก่อสร้างหน่อสำนึกรู้ขึ้น
“ศิษย์น้องหยูเฟ่ยได้เริ่มสร้างต้นอ่อนของหน่อสำนึกรู้แล้ว”
โม่เทียนอี้ตะลึงอยู่ในใจ
เมื่อเวลาผ่านไป ความสั่นไหวของเสวียนอ้าวในหน่อสำนึกรู้ในร่างของจ้าวหยูเฟ่ยก็ได้แข็งแกร่งขึ้น
“หืม?”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา
ไอสวรรค์รอบกายได้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเหนือกว่าปกตินับสิบเท่าอย่างอธิบายไม่ได้
ไอสวรรค์เหล่านั้นได้เป็นมิตรอย่างผิดปกติ เข้าใกล้ร่างของจ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาเทพเจ้า สังเกตสถานการณ์เข้าใจอย่างชัดเจน
ในอากาศได้ปรากฏไอสวรรค์ขึ้นรวมกันจากทุกทิศทางใกล้ร่างของจ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวหยูเฟ่ยนั้นราวกับแม่เหล็กขนาดยักษ์ที่ดึงดูดไอสวรรค์เข้ามาอย่างอธิบายไม่ได้
“การเชื่อมต่อระหว่างสายเลือดของจ้าวหยูเฟ่ยกับไอสวรรค์นั้นนับว่าน่าตื่นตะลึงโดยแท้ หลังจากสร้างหน่อสำนึกรู้ผ่านเสวียนอ้าวของฟ้าดิน ความสามารถในการเชื่อมต่อจะเหนือกว่าปกตินับสิบเท่า”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงวิเคราะห์สถานการณ์ ทอดถอนหายใจอย่างตื่นตะลึงออกมาอย่างช่วยไม่ได้
นอกจากนั้น เขายังพบว่าเลือดเนื้อของจ้าวหยูเฟ่ย ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก็สามารถดูดกลืนหลอมรวมไอสวรรค์บริสุทธิ์ได้
ผิวทั่วทั้งร่างของนางขาวบริสุทธิ์ส่องประกายราวกับหยก แทบจะมีไอสวรรค์หลอมรวมอยู่ครึ่งหนึ่ง
นี่นับว่าคาดไม่ถึงโดยแท้
ในเวลาเดียวกัน ประโยชน์ที่จ้าวเฟิงได้รับก็ไม่น้อย
ในการโคจรปราณของเขา หน่อสำนึกรู้สามารถเชื่อมต่อดูดกลืนไอสวรรค์อัสนีได้อย่างง่ายดาย
จ้าวเฟิงนับได้ว่านั่งอยู่ใกล้กับแม่เหล็กที่ดึงดูดไอสวรรค์ ประโยชน์ที่ได้รับนั้นย่อมยากที่จะคาดเดา
“ความเร็วที่ข้าจะพัฒนาขึ้นอาจมากขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว”
จ้าวเฟิงยินดีอยู่ในใจ
การพบกันครั้งนี้ จ้าวหยูเฟ่ยนับว่าเป็นตัวนำโชคของเขาโดยแท้ แรกเริ่มก็นำศิลาสายฟ้าเร้นลับมาให้ จากนั้นจึงดึงดูดไอสวรรค์จำนวนมากมายเพียงนี้มาอีก
ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำที่คนทั้งสองฝึกตนเต็มไปด้วยไอสวรรค์ที่กระเพื่อมไหว ปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับแสงหลากสี
เป็นเรื่องดีที่อัจฉริยะส่วนมากนับบริเวณนี้เป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้ง่ายๆ
คนจำนวนมากรู้ว่าที่นี่มี ‘มังกรตัวที่หก’ จ้าวเฟิงครอบครองอยู่และมีโม่เทียนอี้ ยอดอัจฉริยะชั้นแนวหน้าคอยดูแล หากไม่มีพลังระดับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ย่อมไม่กล้าหาเรื่อง
สถานการณ์ในที่นี้ ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ อาจพอรู้อยู่บ้าง
หยูเทียนฮ่าวและตันไถ่หลันเยว่กระทั่งผ่านมา แต่ไม่ได้ลงมือต่อสู้
แม่น้ำตะวันตก บนยอดเขา
นัยน์ตาหงส์ของปิงเว่ยเซียนจื่อเย็นเยียบ มองไปยังทิศทางของแม่น้ำที่จ้าวเฟิงอยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังไม่พอใจ
“จ้าวเฟิง ที่แท้เจ้าหลบซ่อนตัวฝึกตนอยู่ที่นี่? ดูเหมือนว่าพลังฝึกตนที่แท้จริงของเจ้าจะยังไม่เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ เมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้วยังนับว่าต่างกันครึ่งขั้น”
บนใบหน้างดงามราวหยกของปิงเว่ยเซียนจื่อปรากฎความเย็นชาขึ้นอีกครั้ง
ฟุบ
ร่างของหญิงสาวพุ่งวูบ หายไปจากยอดเขา
นางไม่ได้มุ่งตรงไปยังแม่น้ำที่จ้าวเฟิงอยู่ ทว่าบินไปยังทิศทางตรงกันข้าม
“จ้าวเฟิงผู้นี้ พลังสายเลือดนับเป็นปรปักษ์กับข้า วิธีป้องกันตนเองแข็งแกร่ง หากมีเพียงข้าผู้เดียวยากที่จะทำอันใดต่อเขาได้”
ปิงเว่ยเซียนจื่อไม่ได้ถูกความโกรธแค้นบังตา
หากนางมุ่งหน้าไปยามนี้ เผชิญหน้ากับการร่วมมือกันของจ้าวเฟิง โม่เทียนอี้ และคนอื่นๆ โอกาสที่จะได้เปรียบนับว่ามีน้อยนัก
ดังนั้นแล้ว ปิงเว่ยเซียนจื่อจึงได้ คิดแผนการหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หาผู้ช่วย
ตราบเท่าที่ร่วมมือกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่พลังไม่ถูกข่มโดยจ้าวเฟิง โอกาสสำเร็จย่อมมีมากขึ้น
ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ นอกจากนางแล้วมีหยูเทียนฮ่าว แฝดไท่หยุน ตันไถ่หลันเยว่ และชื่อเฉิงเทียน
เริ่มแรก ปิงเว่ยเซียนจื่อตัด ‘หยูเทียนฮ่าว’ ออก
หยูเทียนฮ่าวหยิ่งยโสโอหัง ไม่มีความคิดที่จะร่วมมือรุมผู้อื่นอย่างแน่นอน ไม่ต้องเอ่ยถึงการร่วมมือกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เลย
ทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกร ไม่มีผู้ใดที่หยูเทียนฮ่าวต้องลำบากร่วมมือกับผู้อื่นรุม
จากนั้นจึงเป็นแฝดไท่หยุน
“แฝดไท่หยุน พลังแข็งแกร่ง ทว่าโหดเหี้ยมอำมหิต บุคลิกนิสัยผิดปกติ หากต้องการขอให้พวกมันร่วมมือนับว่ายากอยู่บ้าง ทว่าสามารถลองได้”
สายตาของปิงเว่ยเซียนจื่อสั่นระริก
ยังเหลือตันไถ่หลันเยว่และชื่อเฉิงเทียนอยู่
ปิงเว่ยเซียนจื่อจำต้องตัด ‘ตันไถ่หลันเยว่’ ออก
ก่อนหน้า
ยามที่ตันไถ่หลันเยว่และชื่อเฉิงเทียนร่วมมือกันต่อสู้กับหยูเทียนฮ่าว สุดท้ายไม่เพียงแค่เสียเปรียบ แต่ความเสียหายที่ได้รับก็มิใช่น้อย
ปิงเว่ยเซียนจื่อลอบสังเกตการณ์ ฉวยโอกาสลอบโจมตี ‘ตันไถ่หลันเยว่’ ที่หลบหนีไปอย่างยากลำบาก
ดังนั้นแล้ว ความเสียหายที่ตันไถ่หลันเยว่ได้รับจึงเพิ่มมากขึ้น เกิดความโกรธเคืองกับปิงเว่ยเซียนจื่อ
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่สามารถร่วมมือด้วยได้จึงเหลือเพียง ‘แฝดไท่หยุน’ และ ‘ชื่อเฉิงเทียน’
“แฝดไท่หยุน พี่น้องร่างติดกัน ความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนในระดับเดียวกันสองเท่า การร่วมมือโจมตีแข็งแกร่ง ชื่อเฉิงเทียนมี ‘สายเลือดใจศิลา’ พลังป้องกันแข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถรับการโจมตีของหยูเทียนฮ่าวได้ตรงๆ ทั้งยังมีพรสวรรค์ความสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วง”
ในใจของปิงเว่ยเซียนจื่อตัดสินใจตามหาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งสอง
ในมิติ รัศมีของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้นั้นชัดเจนยิ่งนัก
ไม่นาน
ปิงวเว่ยเซียนจื่อก็ได้ไปพบกับแฝดไท่หยุนที่กำลังเข่นฆ่าอย่างกระหายเลือด
ในห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ วาสนามังกรของแฝดไท่หยุนเป็นรองเพียงหยูเทียนฮ่าว
“สัวะ… สาวงามน้ำแข็ง เจ้ามาหาพวกข้าพี่น้องมีเรื่องอันใด?”
สองศีรษะส่ีดวงตาของแฝดไท่หยุนควบคุมดาบและกระบี่ ราวกับอสูรสังหาร
ศีรษะหนึ่งแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่มีรอยเลือดติดอยู่
ดวงตาสองคู่ของแฝดไท่หยุนปรากฏความกระหายเลือด ไม่ปิดบังสายตาชั่วร้าย กวาดมองไปยังเรือนร่างงดงามของปิงเว่ยเซียนจื่อ วนเวียนแถวทรวงอก เอว และส่วนอื่นๆ มากเป็นพิเศษ
ปิงเว่ยเซียนจื่อมุ่นคิ้ว ท่าทีขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัด หากเป็นผู้อื่นนางคงใช้สายลมเหนือแช่แข็งให้เป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้ว
ทว่าแฝดไท่หยุนคือผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ คนในระดับเดียวกับนางที่มีพลังเพียงพอในการต่อสู้กับหยูเทียนฮ่าว
ถ้ำใต้น้ำ
ครืนน
รอบกายของจ้าวเฟิงล้อมรอบไปด้วยแสงสีเขียว ปรากฏประกายสายฟ้าขึ้นจางๆ
กระแสไฟฟ้าเหล่านี้ราวกับมีชีวิตจิตใจ เปลี่ยนแปลงไปมาเป็นรูปลักษณ์คล้ายใยแมงมุม ดาบ แส้ และอื่นๆ
หน้าผากของจ้าวเฟิงปรากฏสัญลักษณ์ ‘บุปผาอัสนีลึกลับสีเขียว’ ขึ้น แตกต่างจาก ‘มรดกอัสนี’ แต่เดิมโดยสิ้นเชิง
กลิ่นอายบนร่างของเขาไม่ใช่พลังทำลายบ้าคลั่งของสายฟ้าอีกต่อไป มันได้ปรากฏความรู้สึกน่าหลงใหลขึ้น หลอมรวมกับฟ้าดินอย่างลงตัว
ในจุดตันเถียน แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณได้ปรากฏสีเขียวลึกล้ำ ไม่ว่าจะเป็นแก่นแท้ความบริสุทธิ์หรือปริมาณล้วนเหมาะสม เหนือกว่าก่อนหน้าหนึ่งเท่า
เปรี้ยะ
ศิลาสายฟ้าเร้นลับไอ้แตกออก กลายเป็นกองฝุ่น
โม่เทียนอี้และบุรุษหน้าเหลืองที่ป้องกันอยู่หน้าทางเข้าสีหน้าซับซ้อน ถอนหายใจยาวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
จ้าวเฟิงในยามนี้ ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอกก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ที่แตกต่างออกไป
สายตาของเด็กหนุ่มลึกล้ำราวกับเต็มไปด้วยสายฟ้า เรือนผมสีฟ้าทรงเสน่ห์ราวกับสายน้ำ สัญลักษณ์สีฟ้าส่องประกายที่หน้าผากได้เสริมเสน่ห์ชั่วร้ายของเด็กหนุ่มเข้าไปอีกหลายส่วน
เมื่อมองไปก็พลันรู้สึกราวกับอีกฝ่ายคือราชามาร ท่าทีเยือกเย็นมั่นใจ รูปลักษณ์ชั่วร้าย
“จ้าวเฟิง ความเร็วในการพัฒนาของเจ้าเหนือกว่าที่คาดไว้หลายเท่านัก ทว่าเจ้าเพิ่งจะบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ จะไม่ทำให้มันสมดุลหน่อยหรือ?”
เมื่อโม่เทียนอี้เห็นจ้าวเฟิงลุกขึ้นก็เอ่ยพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้