บทที่ 37 : งานประลองจัดอันดับ
“เช่นนั้นเราจะทำตามเช่นที่ผู้ตัดสินหลักทั้งสองกล่าวและอนุญาตให้จ้าวเฟิงเข้าร่วมได้” หัวหน้าพรรค จ้าวเทียนชางมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มด้วยสายตาสนใจ
หลังจากที่ผู้ตัดสินทั้งสองและหัวหน้าพรรคเห็นด้วยก็ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านอีก นั่นเป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงรู้สึกว่าตนเองได้อยู่ในพรรคจริงๆ
ร่างของจ้าวเทียนเจี้ยนสั่นสะท้านด้วยความโกรธแค้น เขาไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าจ้าวเฟิงจะกลับมาทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
“อินทรีเทาพลาด” ด้วยความแข็งแกร่งของนักฆ่าผู้นั้น เขาจะล้มเหลวได้อย่างไรกัน?
“จ้าวเฟิง!” ผู้ตัดสินเอ่ย
“ข้าจะอธิบายกฎให้เจ้าฟังตอนนี้”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มตั้งใจฟัง
เหล่าผู้ร่วมประลองจะขอท้าประลองกันเองภายในงานประลองครั้งนี้ ช่วงแรก ‘งานประลองชิงเก้าอี้’ นั้นคือการที่ศิษย์สายนอกห้าสิบคนท้าประลองศิษย์สายในทั้งห้าสิบคน หากวกเขาชนะก็จะได้รับตำแหน่งศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกทุกคนมีโอกาสท้าประลองทั้งหมดสามครั้ง หากพ่ายทั้งสามก็จะกลับไปเป็นศิษย์สายนอกเช่นเดิม ดังนั้นแล้วก่อนที่ศิษย์สายนอกจะท้าประลองผู้ใด พวกเขาย่อมต้องประมาณกำลังของตนและเลือกศิษย์สายในที่อ่อนแอกว่า
“จ้าวเฟิง เนื่องจากว่าเจ้ามาสาย เจ้าจะมีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการท้าประลอง” ผู้ตัดสินเอ่ยอย่างเข้มงวด
ครั้งเดียว?
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
“ข้าเข้าใจแล้ว” ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาย่อมกลายเป็นศิษย์สายในอย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่เขาจะเสียสติไปเลือกท้าประลองจ้าวหลินหลง เขาย่อมชนะ แน่นอนว่าจ้าวเฟิงอาจทำเช่นนั้นและท้าประลองผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทันที
“บัดนี้ให้เจ้าเลือกท้าประลองคนหนึ่งคน หากเจ้าชนะก็เอาที่นั่งไป” ผู้ตัดสินเอ่ยเตือน
“ขอรับ!” จ้าวเฟิงกระโดดขึ้นไปบนเวทีและกวาดตามองคนทั้งห้าสิบ
ห้าสิบคน ห้าสิบที่นั่ง ถูกจัดเรียงไว้ตามลำดับ
จากซ้ายไปขวาคือ จ้าวหลินหลง จ้าวชิ จ้าวฮัน จ้าวชิ่น…
แถวแรกนั้นคือศิษย์สายในทั้งสิบคน เก้าอี้ที่เจ็ดแถวที่สอง จ้าวเฟิงจึงพบจ้าวหยูเฟ่ย เด็กสาวมองมาทางเขาพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านและค่อนข้างคุ้นเคยกันดี
จ้าวเยว่ จ้าวยี่จาง จ้าวกัง และจ้าวกางล้วนอยู่ในลำดับที่สี่สิบถึงห้าสิบ นอกจากจ้าวเฟิง มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่สามารถเข้าเป็นศิษย์สายในได้
ข้าควรจะท้าผู้ใด? จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มขณะที่สังเกตพวกเขา จ้าวหลินหลงที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวแรกหลับตาอยู่ราวกับเขากำลังพยายามทำความเข้าใจกับบางสิ่ง ดูเหมือนว่างานประลองครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
ศิษย์สายในอันดับแรกๆ นั้นไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ แม้แต่น้อย ทว่าศิษย์ที่มีอันดับท้ายๆ นั้นรู้สึกกังวลยิ่งนัก อย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงก็คือศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง เขาสามารถติดหนึ่งในสิบได้อย่างง่ายดายด้วยความแข็งแกร่งของเขา
“แถวที่สอง… ที่นั่งที่หก…” ดวงตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังผู้นั่งด้านขวามือของจ้าวหยูเฟ่ย
“หมายเลข 16 ‘จ้าวเฟ่ย’ โปรดออกมา” ผู้ตัดสินเอ่ย จ้าวเฟ่ยนั้นมีอายุราวๆ 16-17 ปี ระดับการฝึกตนของเขานั้นอยู่ที่ขั้นสุดยอดของขั้นสาม ทว่ากลิ่นอายของเขากลับไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นสี่แม้แต่น้อย
“ไอ้หนู อย่าได้คิดว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้เพียงเพราะเจ้าอยู่ในขั้นสี่!” จ้าวเฟ่ยเดินขึ้นไปบนลานประลองอย่างเยือกเย็น
“ฮี่ จ้าวเฟ่ยผู้นี้ค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว ด้วย ‘กายากั้นโลหะ’ ของเขา เขาสามารถเอาชนะผู้มีพลังขั้นเสมือนผู้ฝึกตนได้สองคนพร้อมกัน”
“จ้าวเฟิงคงไม่ได้เข้ามาอย่างง่ายดายนัก”
ในด้านของชัยชนะนั้น จ้าวเฟิงย่อมมีโอกาสสูงกว่าอย่างชัดเจน ทว่าความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เขาก็หาได้อ่อนด้อย ดังนั้นแล้วมันคงนับว่าเป็นการประลองที่ยากลำบากไม่น้อย
“ฝ่ามือทรายโลหะ!” จ้าวเฟ่ยใช้เพียงวิชาระดับกลาง
เปรี้ยง!
ความรุนแรงของการโจมตีนี้เหนือกว่าวิชาระดับสูงเสียอีก นั่นเป็นเพราะว่ามันถูกฝึกจนเข้าขั้นสุดยอด!
จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ในงานประลองศิษย์สายนอกนั้น มีเพียงเขาที่ฝึกฝนวิชาระดับกลางจนเข้าขั้นสูง วิชาฝ่ามือทรายโลหะของอีกฝ่ายนั้นเป็นส่วนเสริมของวิชากายากั้นโลหะ ดังนั้นแล้วฝ่ามือนี้ย่อมสามารถเอาชนะคมดาบเหมันต์ของจ้าวยี่จางได้อย่างง่ายดาย
“ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟ่ยย่อมไม่ด้อยไปกว่าขั้นครึ่งขั้นแห่งผู้ฝึกตนแล้ว” ศิษย์สายในบางส่วนพยักหน้าอย่างยอมรับ
หมัดเหล็กเพลิง!
จ้าวเฟิงปล่อยหมัดออกไปอย่างเรียบง่าย เขาใช้วิชาระดับพื้นฐาน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไม่แม้แต่จะใส่พลังภายในเข้าไปในหมัดนั้น
ภาพนี้ทำให้หลายๆ คนตื่นตะลึง การที่เขาไม่ใช้พลังภายในนั้นย่อมหมายความว่าเขาไม่มีความได้เปรียบใดๆ แม้แต่น้อย
“ไอ้หนู อย่าได้จองหองนัก!” จ้าวเฟ่ยสูดลมหายใจลึกและโคจรวิชากายากั้นโลหะและฝ่ามือทรายโลหะของเขาจนสุดขีดความสามารถ
คราแรกนั้นเขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเอาชนะจ้าวเฟิงได้ เขาอาจทำได้เพียงปะทะด้วยสองสามกระบวนท่า แต่เมื่อคู่ต่อสู้จองหองถึงเพียงนี้…
บนลานประลอง ร่างสองร่างขยับเข้าใกล้กัน ก่อนที่หมัดกับฝ่ามือและปะทะกัน
“แหลก…”
ใบหน้าของจ้าวเฟ่ยนั้นเต็มไปด้วยความใจร้อนและสุขสันต์ ทว่าความจริงนั้นโหดร้ายยิ่งนัก
เปรี้ยง!
วินาทีที่ฝ่ามือของเขาปะทะเข้ากับหมัดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงที่เหนือชั้นกว่าเขามากมายจนกระทั่งแขนไร้ความรู้สึก
อ๊า!
จ้าวเฟ่ยเริ่มเหงื่อแตกพลั่ก เขารู้สึกว่าพลังของจ้าวเฟิงนั้นราวกับโค
พลั่ก
จ้าวเฟ่ยไม่แม้แต่จะเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นเมื่อร่างของเขากระเด็นลอยออกไป หนึ่งกระบวนท่า จ้าวเฟิงลำบากเพียงหนึ่งกระบวนท่าในการเอาชนะจ้าวเฟ่ย แม้ว่ามันจะไม่น่าประหลาดใจที่เด็กหนุ่มจะชนะ ทว่าการเอาชนะในกระบวนท่าเดียวนั้นนับว่าเกินคาด
“เขาชนะโดยใช้เพียงวิชาระดับพื้นฐาน ทั้งยังไม่ได้ใช้พลังภายใน”
“จ้าวเฟิงได้เรียนรู้วิชาเสริมกายาระดับสูง…”
“จ้าวเฟิงท้าประลองสำเร็จ! ตอนนี้เจ้าอยู่ในลำดับที่สิบหก ส่วนจ้าวเฟ่ย เจ้ามีโอกาสสามครั้งในการท้าประลองผู้อื่น…” ผู้ตัดสินประกาศ
“วิชากำแพงเหล็กของเจ้าคงมีระดับสามเป็นอย่างน้อย” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยอย่างประหลาดใจเล็กๆ จ้าวเฟิงได้เรียนรู้วิชานี้จากปู่ของนาง
เท่าที่นางรู้ วิชากำแพงเหล็กนั้นยากต่อการฝึกฝนยิ่งนัก ปู่ของนางกล่าวไว้ว่าจ้าวเฟิงคงสามารถฝึกได้อย่างมากเพียงระดับสอง แต่ด้วยความสามารถของเขายามนี้ วิชากำแพงเหล็กของเขาย่อมอยู่ในระดับระหว่างระดับสามและสี่ อีกฝ่ายใช้พลังไม่ถึงครึ่งในการประลองกับจ้าวเฟ่ยเสียด้วยซ้ำ
บนลานประลอง การประลองยังคงดำเนินต่อไป ตามกฎนั้น จ้าวเฟ่ยยังเหลือโอกาสการท้าประลองผู้อื่นอีกครั้ง ไม่นานชายหนุ่มก็เอาชนะคนผู้หนึ่งได้สำเร็จและได้รับอันดับที่ยี่สิบหก
งานประลองล่าช้าออกไปเพราะจ้าวเฟิงได้เข้าร่วมกลางคัน
เพราะว่ามีที่สำหรับศิษย์สายในเพียงห้าสิบที่ ทว่ามีคนห้าสิบเอ็ดคน ดังนั้นจึงมีคนหนึ่งที่ต้องถูกกำจัดออกไป
จ้าวเฟิงและศิษย์สายนอกอีกห้าคนได้เข้ามาเป็นศิษย์สายใน
“งานประลองชิงเก้าอี้สิ้นสุดลงแล้ว…” ผู้ตัดสินพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะประกาศถึงช่วงถัดไป มันเป็นช่วงของการประลองจัดอันดับ
จากข่าวก่อนหน้า ยี่สิบอันดับแรก สิบอันดับแรก และสามอันดับแรกจะได้ของรางวัลที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะหนึ่งในสาม พวกเขาสามารถเลือกวิชาระดับสุดยอดได้
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงกระตือรือร้นมากที่สุด แน่นอนว่าการแข่งขันย่อมรุนแรงอย่างยิ่ง รวมทั้งอันดับของศิษย์สายในนับเป็นทั้งเกียรติและศักดิ์ศรี เด็กหนุ่มสาวทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนมีอายุไม่เกิน 18 ปี และพวกเขาล้วนแต่ต้องการชนะ
“รอบที่สอง ‘งานประลองจัดอันดับ’ นั้นพวกเจ้าจะมีโอกาสสามครั้งในการท้าประลองผู้อื่น หากเจ้าพ่าย โอกาสของเจ้าก็จะลดลงหนึ่งครั้ง…” ผู้ตัดสินเอ่ย
กฎนั้นชัดเจนมาก
ผู้ที่มีลำดับท้ายๆ จะท้าประลองกับผู้ที่อันดับสูงกว่า หากพวกเขาชนะก็จะได้ไปแทนที่คนผู้นั้น ทุกคนมีโอกาสเพียงสามครั้งในการท้าประลองผู้อื่น หากสำเร็จ พวกเขาก็จะยังคงมีโอกาสสามครั้ง แต่หากพ่าย โอกาสก็จะลดลงหนึ่งครั้ง
“เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มสาวทั้งห้าสิบคนพยักศีรษะ
ผู้ที่อันดับท้ายสุดจะเป็นผู้ท้าประลองคนแรก เริ่มต้นด้วยลำดับที่ห้าสิบ
ทว่าสำหรับผู้ที่ติดอันดับท้ายๆ นั้น เพียงแค่ยังคงเป็นศิษย์สายในอยู่พวกเขาก็พอใจแล้ว และพวกเขายังรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะติดหนึ่งในยี่สิบ
ดังนั้นแล้วจึงมีคนจำนวนไม่มากนักท้าประลองในระหว่างอันดับที่สี่สิบถึงห้าสิบ
และแม้ว่าจะมี พวกเขาก็เพียงแค่ต้องการโอ้อวดความสามารถและบอกว่าพวกเขาสามารถเอาชนะผู้ที่มีอันดับสูงกว่าได้แม้พวกเขาจะไม่ได้รางวัลใดๆ
40… 39… 38…
เลขอันดับลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อมันถึงอันดับที่ยี่สิบถึงสามสิบ การประลองก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ผู้คนเช่น จ้าวเยว่และจ้าวยี่จางได้ติดหนึ่งในยี่สิบ จ้าวยี่จางได้อันดับที่สิบสอง ขณะที่จ้าวเยว่นั้นติดอันดับที่สิบห้า
โดยรวมนั้น ผู้ที่ติดหนึ่งในยี่สิบล้วนแล้วแต่มีพลังเทียบเท่าเสมือนผู้ฝึกตน จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าท้าประลองพวกเขา ในบรรดาศิษย์ ผู้ที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นสี่นั้นมีน้อยกว่าสิบคนเสียอีก
หลังจากที่ยี่สิบอันดับแรกได้รับการยืนยันแล้ว พวกเขาจึงเริ่มแย่งชิงอันดับหนึ่งในสิบกัน ไม่ช้าก็ถึงตาของจ้าวหยูเฟ่ยในการท้าประลอง จากนั้นจึงจะเป็นตาของจ้าวเฟิงในการท้าประลอง
ศิษย์สายในสิบอันดับแรกนั้นมีหลายคนที่ยังมีพลังการฝึกตนไม่ถึงขั้นสี่
จ้าวหยูเฟ่ยตัดสินใจที่จะท้าประลองอันดับที่หกและนางก็เอาชนะได้อย่างง่ายดาย
หลังจากติดหนึ่งในสิบ จ้าวหยูเฟ่ยก็เลิกท้าประลองผู้อื่น ด้วยวิธีการนี้ นางจะสามารถรักษาโอกาสอีกสองครั้งของนางไว้ได้ในอีกสองรอบถัดไป
“หมายเลขสิบหก จ้าวเฟิง ตาเจ้าแล้ว” ในตอนนั้น ผู้ตัดสินเอ่ยประกาศออกมา