บทที่ 36 : เริ่มต้นงานประลองหลัก (2)
“คนพวกนั้นมาจากที่ใดกัน?” จ้าวเฟิงไม่อยากเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง
ดวงตาซ้ายของเขาได้รับความสามารถใหม่มาอย่างคาดไม่ถึง มันสามารถจดจำภาพที่เขาเห็นและฉายมันซ้ำได้
หากเด็กหนุ่มต้องการ เขาสามารถฉายภาพเหล่านั้นซ้ำและทำความเข้าใจพวกมันได้ เขารู้ว่าความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกของเขานั้นมีจำกัด ทวีปบุปฝาครามนั้นมีอาณาจักรจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแค่ป่าเมฆาคล้อยก็มีชายแดนติดกับอาณาจักรนับสิบแล้ว เมืองประกายอรุณนั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ในอาณาจักรหนึ่งเท่านั้น
เมื่อปรับอารมณ์กลับเป็นปกติแล้ว จ้าวเฟิงจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมา ตอนนี้ไฮยีน่านั่นตายแล้ว ไม่มีสิ่งใดขัดขวางการจากไปของเขาอีกต่อไป
ข้าต้องรีบไป จ้าวเฟิงรู้สึกลนลานเมื่อเขาคิดถึงงานประลองหลัก
ทางเข้าถ้ำนั้นถูกปกปิดโดยหิน สิ่งที่เขาต้องทำนั้นคือการเปิดทาง
ตุบ!
หินก้อนเล็กๆ นั้นหนักเพียง 150 กิโลกรัมเท่านั้น เพียงแค่ร่างกายเปล่าๆ ของเขาก็สามารถป่นหินเหล่านั้นได้แล้ว หากเขาใช้พลังภายในควบคู่ไปด้วย หินพวกนั้นย่อมกลายเป็นเศษฝุ่น
เมื่อเด็กหนุ่มพบกับหินก้อนใหญ่กว่า เขาก็เริ่มผลักมันไปด้านข้าง ผู้ฝึกตนขั้นห้าทั่วไปนั้นมีแรงอยู่ที่ราวๆ 750 กิโลกรัมโดยใช้เพียงแค่ร่างกาย แต่เพราะจ้าวเฟิงได้ฝึกฝนวิชากำแพงเหล็กจนกระทั่งเข้าสู่ระดับสี่ เขาจึงมีแรงอย่างน้อย 1,250 กิโลกรัม มากกว่าผู้ฝึกตนขั้นห้าทั่วไปกว่า 500 กิโลกรัม แน่นอนว่าระโยชน์หลักของวิชากำแพงเหล็กนั้นคือการเพิ่มแรงและพลังป้องกันของผู้ฝึก
จ้าวเฟิงออกไปสู่ด้านนอกได้ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ทว่าเขากลับไม่ได้จากไปในทันที มันยังมีวัตถุดิบล้ำค่าหลงเหลืออยู่ภายในถ้ำบางส่วน
โฮกกกก! กรรรร!
ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรก็เริ่มดังขึ้น
“ศพของสัตว์ปีศาจระดับสูงจะดึงดูดสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรมา” เนื่องจากเขาต้องผ่านทั้งหมดไปในครั้งเดียว เด็กหนุ่มจึงเร่งความเร็วของเขาขึ้นไปอีก ร่างของเขาพุ่งราวกับจรวดไปยังผนังหินแดงและเริ่มเก็บสมุนไพรที่ขึ้นอยู่บนนั้น เขามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือการนำสมุนไพรพันปีทั้งสามต้น พฤกษาโลหิตพันปี หญ้าวิญญาณโลหิตพันปี และหินไผ่โลหิตพันปีออกไป
เขามีเหตุผลหลายอย่าง อย่างแรกคือมันจะช่วยประหยัดเวลาให้เขา ด้านนอกมีสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรจำนวนมากรวมตัวกัน อย่างที่สอง แม้ว่าสมุนไพรสามร้อยปีและสมุนไพรห้าร้อยปีจะมีค่ามาก ทว่าเขาก็ได้กินมันไปแล้วจำนวนมาก ดังนั้นแล้วผลลัพธ์คงจะไม่ดีมากนัก
ปึก!
เขาไม่กล้าหยุดพักแม้สักเสี้ยววินาทีหลังจากที่เก็บสมุนไพรเสร็จแล้ว
เด็กหนุ่มพุ่งเข้าไปในหุบเขา ด้านนอกปรากฏร่างของสัตว์ปีศาจเจ็ดแปดตัวกำลังต่อสู้กัน นอกจากนั้นยังมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่า 30 ตัว ทั้งหมดมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นสี่ จ้าวเฟิงพยายามสุดชีวิตที่จะหลบเหล่าสัตว์ปีศาจและสัตว์อสูรพร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังลำธาร
แม้ว่าเขาจะพยายามหลบเลี่ยงพวกมัน ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ไล่ตามเขาไป
“พวกเจ้านับว่ารนหาที่ตาย!” จ้าวเฟิงตวาดขณะที่ฝ่ามือของเขากระแทกไปยังร่างของสัตว์ปีศาจระดับต่ำ
กร๊อบ!
เสียงของกระดูกภายในร่างของสัตว์ปีศาจระดับต่ำดังขึ้นในทันที การโจมตีนี้มาจากแรงของกล้ามเนื้อเขาเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีพลังภายในเจือปนแม้แต่น้อย สัตว์ปีศาจระดับต่ำนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวพยัคฆ์หัวเขียวที่เขาพบยามที่เขาเข้ามายังป่าเมฆาคล้อยครั้งแรกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การฆ่าด้วยการโจมตีเดียวนั้นทำให้สัตว์อสูรแตกฮือด้วยความหวาดกลัว และจากความจำของเขา เด็กหนุ่มก็เลาะกลับไปตามทางเดิม
ตามทางนั้นเขาพบสัตว์ปีศาจจำนวนมาก นั้นเป็นเพราะซากของสัตว์ปีศาจระดับสูงนั้นดึงดูดความสนใจอย่างมาก
“หมัดเหล็กเพลิง!” จ้าวเฟิงตวาดขณะที่แสงสีเขียวซีดเปล่งประกายออกจากกำปั้นของเขา หมัดของเขาปะทะเข้ากับร่างของสัตว์ปีศาจระดับต่ำที่มีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นห้า อวัยวะของมันฉีกขาดในทันทีที่สัมผัสกับหมัดของเด็กหนุ่ม
ด้วยความช่วยเหลือของหญ้าวิญญาณโลหิตและบ่อน้ำสีโลหิต พลังภายในของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าพลังภายในของผู้อื่นยิ่งนัก เมื่อเขาโคจรเคล็ดลมหายใจตัดอากาศอย่างเต็มที่ เขาสามารถฆ่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันได้ในเสี้ยววินาที
หนึ่งชั่วโมงถัดมา
ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มาถึงยังชายขอบของป่าเมฆาคล้อยและมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองประกายอรุณ
“ข้าได้ยินมาว่าการประลองหลักของตระกูลจ้าวจะจบลงในเร็วๆ นี้”
“งานประลองหลักนั้นถูกแบ่งเป็น ‘งานประลองจัดอันดับ’ กับ ‘งานประลองชิงเก้าอี้’ ( จากคนหนึ่งร้อยคน มีเพียงห้าสิบคนที่สามารถนั่งเก้าอี้ศิษย์สายในได้) อันหลังน่าจะจบลงแล้ว ข้าเสียใจยิ่งที่ไม่อาจไปดูได้”
ในระหว่างทางกลับนั้น เขาได้ยินข้อมูลในเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นบ้าง หลังจากที่เด็กหนุ่มกลับไปยังพรรค เขาไม่ได้รีบร้อนมุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานประลองหลัก เขากลับมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของเขาและเก็บสมุนไพรพันปีทั้งสามต้นก่อน
ไม่ช้าเขาก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและไปยังทางเข้า จ้าวเฟิงใช้วิชาซ่อนลมหายใจปกปิดระดับการฝึกตนของเขาให้อยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นสี่ ส่วนพลังภายในของเขานั้นถูกแสดงให้เห็นเป็นขั้นห้า
“นี่ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้แล้ว” เด็กหนุ่มไปถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วด้วยวิชานภาลอยล่อง
ในตอนนั้น งานประลองดูเหมือนว่าจะอยู่ในช่วงที่สอง
“หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดของ ‘งานประลองชิงเก้าอี้’ ได้จบลงและศิษย์สายทั้งห้าสิบคนได้ถูกตัดสินแล้ว ‘งานประลองจัดอันดับ’ จะเริ่มขึ้น พวกเจ้าทั้งห้าสิบคนที่เหลือจะท้าประลองกับผู้อื่นและจัดอันดับจากการประลอง ของรางวัลจะถูกให้ตามอันดับ” น้ำเสียงชราทรงพลังเสียงหนึ่งดังก้อง
ใจกลางสถานที่แห่งนั้นปรากฏลานประลองขึ้น ส่วนตรงข้ามลานประลองเป็นเวที
บนเวทีนั้นปรากฏเก้าอี้ห้าสิบตัว และทั้งห้าสิบตัวนั้นปรากฏร่างของศิษย์สายในขึ้น
‘งานประลองชิงเก้าอี้’ ในช่วงแรกนั้นคือการที่ศิษย์สายนอกทั้งห้าสิบท้าสู้กับศิษย์สายในทั้งห้าสิบคนและแย่งชิงตำแหน่งมาเป็นของตนเอง จ้าวเฟิงกวาดตามองก่อนพบว่าจากบรรดาศิษย์สายนอกทั้งหมด จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเยว่ และจ้าวกางได้ติดหนึ่งในห้าสิบทั้งหมด
ทว่าอันดับของพวกเขาล้วนอยู่ในช่วงท้าย มีเพียงจ้าวหยูเฟ่ยที่ติดหนึ่งในยี่สิบ แน่นอนว่านี่คืออันดับของ ‘งานประลองชิงเก้าอี้’ ไม่ใช่อันดับที่แท้จริง
“ข้ายังคงมาช้าเกินไป” จ้าวเฟิงใช้บัตรยืนยันตนและเดินผ่านจุดตรวจเข้าไป
“นั่นจ้าวเฟิง!”
“นั่นเขา ศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง!” การปรากฏตัวของจ้าวเฟิงดึงดูดความสนใจของผู้คนในทันที
“ผู้ตัดสิน ข้ายังคงเข้าร่วมได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงเอ่ยพร้อมคำนับ
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็ไม่อาจเข้าร่วมได้เมื่อการประลองช่วงแรกจบสิ้นไปแล้ว” ผู้ตัดสินเอ่ย เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายต้องได้รับการสนใจเป็นเป็นพิเศษ
“หืม? นั่นเขา!” ดวงตาของผู้ตัดสินเคราขาวส่องประกายวาบ
เขาคือผู้ตัดสินหลักของงานประลองศิษย์สายนอกและได้เห็นความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่ม
เมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้ตัดสิน จ้าวเฟิงก็สั่นศีรษะอย่างจนใจ เขาไม่ได้ใส่ใจนักเพราะมีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่นับเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ แต่เด็กหนุ่มยังคงสนใจในรางวัลอยู่ หากเขาสามารถติดหนึ่งในสาม เขาสามารถไปยังหอตำราและเลือกวิชาระดับสุดยอดได้
“ช้าก่อน” เสียงห้ามดังขึ้นจากปากของชายชราผู้ตัดสินหลัก
“ผู้ตัดสินหลัก? หมายความว่าอย่างไร…?” ผู้ตัดสินที่รับผิดชอบลานประลองรู้สึกงุนงง
“เด็กนี่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกและได้รับอันดับหนึ่งอย่างง่ายดาย ความเข้าใจละความสามารถของเขานั้นไม่อาจคำนวณได้ ข้าคิดว่าเราควรให้โอกาสเขา” ชายชราเคราขาวเอ่ย
จ้าวเฟิงมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาตื้นตัน ชายชราผู้นี้ได้ช่วยเหลือเขามากกว่าครั้งหนึ่งแล้ว
“ข้าคัดค้าน!” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นจากอีกมุมหนึ่ง ผู้พูดคือจ้าวเทียนเจี้ยน
“ทุกอาณาจักรล้วนมีกฎของตน! แล้วกฎจะเปลี่ยนเพื่อคนผู้หนึ่งได้อย่างไร? หากพวกเขามาเข้าร่วมงานประลองหลักช้า นั่นย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าเขานั้นหาได้ใส่ใจในกฎเกณฑ์ไม่!” จ้าวเทียนเจี้ยนเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
จ้าวเฟิงรู้สึกเหนื่อยใจ เขามาช้าเพราะอีกฝ่ายส่งนักฆ่ามาไล่ฆ่าเขา บัดนี้จ้าวเทียนเจี้ยนยังขัดขวางไม่ให้เขาเข้าร่วมงานประลองอีก
“เจ้ากล่าวถูกต้อง! จ้าวเทียนเจี้ยนถูกแล้ว! เราไม่อาจปล่อยให้คนเช่นเขาลอบเข้าทางประตูหลังได้”
“ฮี่ เด็กนี่รอเข้าร่วมในอีกสามปีให้หลังยังได้” หลายคนจ้องมองไปยังร่างของจ้าวเฟิงอย่างเยาะเย้ย
เหล่าระดับสูงของพรรคเริ่มพูดคุยกัน งานประลองในปีนี้นั้นสำคัญยิ่งนัก ไม่เพียงแค่มีผู้อาวุโส ทว่าหัวหน้าพรรค ‘จ้าวเทียนชาง’ ก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย ความคิดของพวกเขานั้นแตกต่างเมื่อเทียบกับผู้อื่น พวกเขาต้องการที่จะรักษาอัจฉริยะไว้มากกว่าสนใจกฎ
“ผู้ตัดสินหลักทั้งสองคิดเห็นเช่นไร?” หัวหน้าพรรค จ้าวเทียนชาง เอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์ มีคนสามคนที่มีอำนาจมากที่สุดในงานประลองคือหัวหน้าพรรคและผู้ตัดสินหลักทั้งสอง
“ข้าสนับสนุนจ้าวเฟิง การที่พรรคมีอัจฉริยะมากขึ้นนับว่าเป็นผลดี” ผู้ตัดสินเคราขาวเอ่ย ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็เบนไปมองยังผู้ตัดสินหลักอีกคน ผู้ตัดสินหลักอีกคนนั้นเป็นชายชราในชุดขาว
จ้าวเฟิงพบว่าผู้ตัดสินผู้นี้ดูคุ้นเคย ทันใดนั้นจึงสำนึกได้ว่าชายชราผู้นี้คือคนเดียวกับชายชราที่ปกป้องหอตำราผู้นั้น
ชายชราชุดจาวมองไปยังจ้าวเฟิงและเอ่ยตอบเสียงลึก
“ข้าก็สนับสนุนจ้าวเฟิง”
เหล่าผู้คนนิ่งงันไป ผู้ตัดสินหลักทั้งสองตัดสินใจที่จะสนับสนุนจ้าวเฟิง!
สองในสามของผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจมากที่สุดได้ตัดสินใจที่จะช่วยเหลือจ้าวเฟิง กระทั่งหัวหน้าพรรคเองก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้แล้วในบัดนี้
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร…?” ใบหน้าของจ้าวเทียนเจี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ