Skip to content

King of Gods 397

King Of Gods

บทที่ 397 : สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง

บนต้นไม้สูง

ดรุณีบัวดำตื่นตกใจ ในเสี้ยวพริบตาเมื่อครู่ นางรู้สึกราวกับว่าร่างของจ้าวเฟิงไร้ซึ่งวิญญาณอยู่ภายใน

เมื่อมองดูดีๆ สีหน้าของจ้าวเฟิงก็ขาวซีดลงเล็กๆ ราวกับว่าสูญเสียพลังไปจำนวนมาก

หากเป็นเพียงแค่การขึ้นไปครอบครองมุมมองของปักษา แม้ว่าปริมาณพลังที่ใช้ไปจะไม่น้อย ทว่าก็ไม่ได้มหาศาลเท่าใด แต่เมื่อครู่จ้าวเฟิงไม่ได้ทำเพียงขึ้นไปมอง ทว่ายังใช้พลังจิตโจมตีด้วย

เด็กหนุ่มลูบดอกบัวในมือ เก็บหุ่นเชิดศพที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปอีกครั้ง

ที่เขาใช้มุมมองของปักษาเมื่อครู่ สตินึกคิดได้ออกจากร่างไปโดยสมบูรณ์ ร่างกายเป้นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่มีความรู้สึกนึกคิด จะดีกว่าหากมีผู้อื่นคอยคุ้มกัน

ตอนนี้ ดวงตาเย็นเยียบทิ่มแทงได้มองไปยังเด็กสาวอดีตเจ้าของบัวดำ

ดรุณีบัวดำอุทานออกมาครั้งหนึ่ง ใบหน้าซีดขาว ไม่อาจต่อต้านอันใดได้ ทำได้เพียงต้อนรับฝันร้ายสุดท้ายที่มาถึง

ในใจของนางลอบสบถถึงความยากลำบากของนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะศิษย์พี่ศิษย์น้องจากตำหนักผาดำได้ไล่ต้อนจ้าวเฟิงจนจนมุม กระทั่งทำให้อีกฝ่ายลงมืออย่างสิ้นหวัง

แน่นอนว่านางย่อมไม่รู้ว่าในยามนี้ ตำหนักผาดำของนางกำลังตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนกจนไม่อาจเทียบ

“บอกศิษย์พี่ของเจ้าซะ หากยังให้ค่าชีวิตตนเองก็อย่าได้ตามมา หรือมิเช่นนั้นข้าจะใช้ทุกวิธีการในการกำจัดพวกมันทิ้งทั้งหมด”

น้ำเสียงเย็นเยียบเต็มไปด้วยจิตสังหารดังขึ้นในจิตใจของเด็กสาว

เมื่อยามที่นางรู้สึกตัว บริเวณนั้นก็มีเพียงเงาร่างประกายสายฟ้าที่หลงเหลือ

ร่างของจ้าวเฟิงจมจ่อมเข้าไปในป่าไม้อันซับซ้อน ในเวลาเดียวกันยังใช้วิชาเคลื่อนไหวและปิดกั้นกลิ่นอายบนร่าง

สำหรับวิชาต่างๆ นั้นจ้าวเฟิงไม่ได้ขาดเหลือ ในคัมภีร์บุปผาลึกลับมีทุกอย่าง

ตราบเท่าที่ไม่มี ‘เนตรโคมวิญญาณ’ ด้วยวิชาปกปิดร่องรอยนี้ จ้าวเฟิงย่อมสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย

นอกจากนั้น ทุกครั้งที่ระยะห่างเพิ่มมากขึ้น เด็กหนุ่มก็จะสร้างร่างเงาที่มีกลิ่นอายของตนเองวิ่งไปในทิศทางอื่น

“ความสามารถในการรับรู้ของเนตรโคมวิญญาณนั่นน่าจะมีขีดจำกัดด้านระยะทาง หากข้าออกห่างมากพอ ตัวอย่างเช่นสัก 500 ลี้ หรือกระทั่ง 1,000 ลี้ มันจะยังรับรู้ถึงข้าได้หรือไม่?”

จ้าวเฟิงตัดสินใจอยู่ในใจ เร่งฝีเท้าเดินทาง

หลังจากครึ่งชั่วน้ำชาเดือด

คนของตำหนักผาดำก็ได้มาถึงบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่จ้าวเฟิงเคยอยู่

ดรุณีบัวดำที่กำลังฟื้นตัวอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ ก็เผยความยินดีออกมา

“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย ท่านต้องฆ่าไอ้เด็กนั่นให้ได้นะ”

หลังจากที่นางเอ่ยคำพูดนี้ออกไปก็รู้สึกใจเสีย

สีหน้าของชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ ย่ำแย่ลงหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น ปรากฏความละอายขึ้น

หลังจากนั้น

ดรุณีบัวดำจึงเอ่ยถึงว่ากลุ่มเขี้ยวมารได้พ่ายแพ้ลงได้อย่างไร รวมทั้งเอ่ยว่าจ้าวเฟิงได้ ‘แย่งชิง’ หุ่นเชิดศพและบัวดำของนางไป รวมทั้งคำข่มขู่ที่อีกฝ่ายเอ่ยทิ้งไว้

คนของตำหนักผาดำ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าก็ยิ่งมืดทะมึนขึ้นไปอีก

แต่ด้วยความสามารถที่จ้าวเฟิงได้แสดงออกมาสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกเขา

“นี่มันเป็นสายเลือดดวงตาอันใดกัน ลำบากเพียงมองสองครั้งก็สามารถจัดการศิษย์น้องทั้งสองได้ สุดท้ายยังสามารถจ้องมองข้ามผ่านระยะห่างกว่า 100-200 ลี้ ทำลายเนตรโคมวิญญาณของข้าได้”

เมื่อครุ่นคิดขึ้น หัวใจของชื่อกุ้ยก็สั่นสะท้านอีกครั้ง

เป้าหมายเป็นเพียงอัจฉริยะต่างแดนที่มีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ที่มาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แปลกประหลาดยิ่งนัก

จากมหาทวีปได้แตกสลายลงเป็นเศษฝุ่นนับหมื่นล้าน แต่ล่ะเสี้ยวของฝุ่นเหล่านั้นต่างเชื่อมต่อกับท้องทะเลแห่งความว่างเปล่า เหมือนกับเกาะ ได้ถูกเรียกขานว่า ‘แดนเกาะ’

แต่ล่ะ ‘แดนเกาะ’ นั้นต่างมีชนดั้งเดิมของตนเอง ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ นับเป็นเพียงกบที่ก้นบ่อน้ำ ยากที่จะมีชีวิตรอดในทวีปอันไร้ที่สิ้นสุด

ผู้ใดเล่าจะล่วงรู้ว่าเด็กนั่นได้มาจากแดนเกาะใด

จะอย่างไรโลกใบนี้ก็กว้างใหญ่ยิ่งนัก แทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่สิ้นสุด หลังจากมหาทวีปถูกทำลายกลายเป็นเศษฝุ่นนับหมื่นล้าน มันก็มีคำเล่าลือว่าโลกยังคงแผ่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเราจะเชื่อคำขู่ของเด็กนั่น?”

ชายหนุ่มร่างผอมแห้งเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม

ตำหนักผาดำนับเป็นหนึ่งในสามยอดสำนักใน ‘แดนเกาะเทียนหลู’ ระดับของสำนักก็มากถึงสองดาว เป็นผู้ที่เดินในเส้นทางมาร เมื่อใดกันที่เคยถูกเยาะเย้ยเหยียดหยามจากเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งมากเพียงนี้

ชื่อกุ้ยครุ่นคิดอยู่ไม่นาน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา

“หากต่อสู้กันตรงๆ เด็กนั่นย่อมไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ทว่าสายเลือดดวงตาของมันทรงพลังและลึกล้ำยิ่งนัก ในกลุ่มนี้ นอกจากข้าแล้ว คนส่วนมากย่อมไม่อาจต่อต้านหนึ่งการมองของมันได้”

สีหน้าของชื่อกุ้ยปรากฏความไม่เต็มใจขึ้นเล็กๆ

ในการประลองด้านสายเลือดดวงตา เขาได้พ่ายแพ้ให้กับเด็กหนุ่มที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ ในใจไม่อาจที่จะยอมรับได้ กระตุ้นจิตต่อสู้ที่ทรงพลังออกมา

ทว่าชื่อกุ้ยไม่มีทางเลือกนอกจากการนำสถานการณ์ทั้งหมดมาวิเคราะห์

จ้าวเฟิงเคลื่อนไหวด้วยตัวคนเดียว ไม่มีสิ่งใดมาฉุดรั้งได้ วิธีการที่ใช้ออกหลากหลายแตกต่าง ทว่าข้างกายของเขาได้มีศิษย์พี่ศิษย์น้องอยู่มากมาย

“แผนสำหรับยามนี้ เราต้องพยายามติดต่อ ‘ศิษย์พี่โม่ก่าน’ หากร่วมมือกับเขา โอกาสที่จะห่าเด็กนั่นได้ย่อมสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งเรายังต้องพยายามค้นหาตำแหน่งของซากวิหารในซากปรักหักพังสือเฉิงด้วย”

ชื่อกุ้ยตัดสินใจในที่สุด

เป้าหมายในการเข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นคือการ ‘เก็บเกี่ยว’

วัตถุดิบชั้นจิตวิญญาณและชั้นพิภพในซากปรักหักพังนี้ ภายนอกอาจสูญหายไปหมดแล้ว รวมทั้งสัตว์ปีศาจที่ล้ำค่าทั้งหลาย

รวมทั้งบางคนที่ได้รับคำอวยพรก็อาจจะเจอกับโอกาสบางอย่างในซากปรักหักพังสือเฉิงด้วย

สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ‘ซากวิหาร’ มันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของซากปรักหักพังสือเฉิง มีคำกล่าวไว้ว่า ‘เซียนจื่อเย่’ ในอดีตใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตทิ้งมรดกไว้ที่นั่น

เมื่อซากปรักหักพังสือเฉิงเปิดออก โอกาสที่ซากวิหารจะปรากฏขึ้นมีไม่มากนัก ราวๆ หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น

ทันใดนั้น ลูกธนูกระดูกสีดำที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้นก็ได้พุ่งเข้ามา มุ่งตรงไปยังชื่อกุ้ยจากเส้นขอบฟ้าแห่งยามราตรี

“ศรข้อความวิญญาณ”

ชื่อกุ้ยรับลูกธนูกระดูกสีดำนั้น

นี่คือวิธีการส่งสารที่มีเพียงตำหนักผาดำที่ใช้ได้ หากอยู่ด้านนอก ศรข้อความวิญญาณนี้สามารถเดินทางได้หลายพันลี้ แม้ว่าใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ จะสามารถส่งได้เพียงแค่หนึ่งพันลี้ ทว่าหากเป็นยามค่ำคืน ระยะทางจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง

เมื่อแกะศรกระดูกสีดำออก ภายในได้ปรากฏกระดาษที่ถูกพับมาอย่างดีขึ้นชิ้นหนึ่ง

“เย่หยานหยูจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างอยู่ที่มุมเหนือสุดของเทือกเขาสามกระดูกสันหลัง ในหุบเขาลับแห่งหนึ่ง ค้นพบโอกาส ภายในมีวัสดุล้ำค่าหายากจำนวนมาก…”

หลังจากที่ชื่อกุ้ยอ่านข้อความในจดหมาย ดวงตาก็พลันส่องประกายวาบ

“เย่หยานหยู”

“เย่หยานหยูนั่นเป็นหนึ่งในสิบยอดอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ที่เข้ามาในซากปรักหักพัง พลังอย่างน้อยสามารถนับว่าเป็นหนึ่งในสามอันดับแรก เป็นอัจฉริยะอันดับสองของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง”

คนของตำหนักผาดำที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น เมื่ออ่านเจอนามนี้ ใบหน้าก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้น

ซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นนับว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักระดับสองดาวทั้งสาม

สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีระดับสูงถึงระดับสองดาวครึ่ง อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ที่เข้ามาในครั้งนี้มีมากถึงห้าคน

ตำหนักมารจันทราเป็นอันดับสอง มีอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้สามคน จะอย่างไรอีกฝ่ายก็เคยถูกนับเป็นสำนักระดับสองดาวครึ่งเช่นกัน

หรืออีกนัยหนึ่ง สิบยอดอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ที่เข้ามาในซากปรักหักพังล้วนเป็นคนของสามยอดสำนัก

สำนักระดับหนึ่งดาวอีกสิบสำนักไม่มีอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ อย่างมากก็เพียงขั้นครึ่งก้าวสู่ขั้นนายเหนือแท้

ดังนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่าระดับของสำนักแม้จะห่างเพียงหนึ่งดาว หรือกระทั่งครึ่งดาวก็มีความแตกต่างอย่างมหาศาล ไม่เพียงส่งผลต่ออำนาจโดยรวมของสำนัก ทว่ารวมทั้งศิษย์เองก็ได้รับผลอยู่บ้าง

“เย่หยานหยูผู้นี้มีดวงดียิ่งนัก ชมชอบการเคลื่อนไหวเพียงลำพัง ศิษย์พี่ศิษย์น้องของตำหนักผาดำของเรารวมตัวกัน ลอบเข้าไปใกล้ๆ สามารถลอบโจมตีนางได้ หากสถานการณ์เลวร้ายเราก็ยังสามารถร่วมมือกับ ‘ตำหนักมารจันทรา’ ได้”

ชื่อกุ้ยเค้นเสียงเย็น

ในการต่อสู้ตรงๆ เขาไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้ของ ‘เย่หยานหยู’ ได้จริงๆ พลังฝึกตนของอีกฝ่ายนั้นสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง มาจากสำนักระดับสองดาวครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสายเลือดหรือพรสวรรค์ แม้กวาดตามองในบรรดาสามสำนักแล้วก็ยังอาจกล่าวได้ว่านับเป็นแนวหน้า

ทว่าในซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังของคนเพียงคนเดียว ทว่ายังใช้การร่วมมือกับพวกพ้อง รวมทั้งกลยุทธ์วิธีการอื่นๆ อีกด้วย

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ชื่อกุ้ยออกคำสั่ง นำคนของตำหนักผาดำเร่งรีบมุ่งหน้าตรงไปยัง ‘เทือกเขาสามกระดูกสันหลัง’

หลังจากครึ่งชั่วยาม

ชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ ได้เข้าไปรวมกลุ่มกีบคนของตำหนักผาดำที่มาถึงก่อนหน้า

“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย หุบเขาลึกลับอยู่ตรงนั้น หุบเขานั่นแปลกประหลาดยิ่งนัก มีลมแรงผิดแปลกตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อเข้าไปใกล้ หากมีพลังขั้นผู้วิเศษแท้แม้ไม่ตายก็ต้องเสียเลือดเนื้อไปบ้าง…”

ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักผาดำเอ่ย

แน่นอน

คนของตำหนักผาดำเพียงเข้าใกล้ก็รับรู้ได้ถึงเสียงหวีดหวิวของสายลมแปลกประหลาดในหุบเขาลึกลับ

ลมแปลกประหลาดเหล่านั้นมองด้วยตาเปล่าเห็นเพียงเลือนราง ทุกๆ ลมหายใจจะพัดกระโชกไปทั่วทั้งหุบเขา

หลังจากที่ลมประหลาดนั้นอ่อนกำลังคน ผู้คนจึงสามารถรับรู้ได้ถึงไอสวรรค์ที่หนาแน่นภายในหุบเขาลึกได้ กระทั่งมีกลิ่นอายของวัสดุเก่าแก่ล้ำค่าปรากฏขึ้นจำนวนมาก

“ในหุบเขานี้ย่อมต้องมีวัสดุล้ำค่าอยู่จำนวนมากเป็นแน่”

ตำหนักผาดำ รวมทั้งอัจฉริยะจากสำนักอื่นๆ ใกล้เคียงต่างหยุดยืนดู

พื้นที่ว่างหลังจากที่สายลมแปลกประหลาดนั้นหายไป ผู้คนได้มองไปยังบส่วนลึกของหุบเขาอย่างไม่ตั้งใจ ที่แห่งนั้นปรากฏร่างของสตรีงดงามในชุดสีฟ้าลอยอยู่

สาวงามในอาภรณ์สีฟ้านั้นงดงามสดใส ใบหน้างดงามนั้นราวกับดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ ร่างกายทรงเสน่ห์ส่องประกายอ่อนหวาน ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้

“เย่หยานหยู”

สีหน้าของชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ เย็นชาขึ้น มองไปยังบุตรีแห่งสวรรค์ผู้นั้น

อัจฉริยะต่างแดนนับสิบที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น มีเพียงแค่ ‘เย่หยานหยู’ ที่สามารถเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาได้ด้วยตัวคนเดียว ดูจากสีหน้าสดใสของนางแล้ว ดูเหมือนนางจะได้รับผลประโยชน์อย่างมาก

ชื่อกุ้ยเปิด ‘เนตรมารทมิฬ’ สำรวจ ‘เย่หยานหยู’ ยามที่สายลมแปลกประหลาดนั้นหยุดพัด

และมันก็เป็นความจริง ในมือของสตรีผู้นั้นกำวัสดุโบราณล้ำค่าอยู่ หากนำไปข้างนอกมันจะนับเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่าได้

เมี้ยว เมี้ยว

แมวสีเทาเงินขนาดตัวราวๆ หนึ่งฝ่ามือ เดินอยู่ข้างกาย ‘เย่หยานหยู’ ที่มีสีหน้าพึงพอใจ

ชื่อกุ้ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

แมวนั่นเขาไม่เคยเห็นมันอยู่กับเย่หยานหยูมาก่อน

ในแดนเกาะเทียนหลู เย่หยานหยูมากไปด้วยความสามารถ รูปลักษณ์และสติปัญญา ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะมากมายเพียงใดในสามยอดสำนักที่นับนางเป็นเทพธิดาในฝัน

ทว่าบัดนี้ แมวแปลกประหลาดแสนธรรมดาตัวหนึ่งกลับสามารถสร้างความชมชอบให้แก่ ‘เย่หยานหยู’ ได้อย่างมาก สามารถเดินเคียงข้างนางได้ นี่ได้ทำให้เด็กหนุ่มหลายคนที่ตามจีบนางรู้สึกริษยาอย่างมาก

สิ่งที่ทำให้ชื่อกุ้ยรู้สึกผิดแปลกคือแมวแปลกประหลาดนั่นมีแววตาครุ่นคิดมากเล่ห์ มองสบตากับเขาคราหนึ่ง

เมี้ยว เมี้ยว

อุ้งเท้าทั้งสองของแมวประหลาดนั้นโยนเหรียญทองแดงโบราณขึ้นลอยคว้างกลางอากาศส่งเสียง ‘ติง ติง’ ท่าทีเหมือนการทำนายโชคชะตา

“แมวขโมยตัวน้อย ครานี้เจ้าพบสิ่งใดกัน?”

เย่หยานหยุแสดงสีหน้ายินดีชมชอบ มือเรียวงดงามลูบศีรษะของแมวขโมยตัวน้อยอย่างแผ่วเบา

ตั้งแต่ที่นางพบกับแมวขโมยตัวนี้ โอกาสที่นางพบเจอในซากปรักหักพังนี้ก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ยามนี้ยังค้นพบหุบเขาลึกลับนี้ด้วย

ที่สำคัญไปกว่านั้น แมวขโมยตัวนี้ยังมีเฉลียวฉลาดเจ้าเล่ห์ มักจะเอ่ยขอสิ่งของจากนางอยู่ตลอด

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขดมยตัวน้อยแสดงท่าทียินดี วาดกรงเล็บไปยังทิศทางหนึ่ง

ชั่วขณะต่อมา ไอสวรรค์ในทิศทางที่แมวขโมยตัวน้อยชี้ไปก็สั่นกระเพื่อม ต้อนรับการมาถึงของอัจฉริยะต่างแดนขั้นนายเหนือแท้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!