บทที่ 398 หุบเขา
มุมหนึ่งในซากปรักหักพังสือเฉิง
“หืม?”
ร่างของจ้าวเฟิงพลันหยุดชะงัก รับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ที่รุนแรงขึ้นจากอีกฝากของพันธสัญญาโลหิต
หากเป็นด้านนอก การรับรู้ถึงสายสัมพันธ์นี้ย่อมรุนแรงมาก ยิ่งพลังฝึกตนของทั้งสองฝ่ายสูงขึ้นมากเท่าใด ระยะทางที่จะรับรู้ได้ก็จะยิ่งมากขึ้น
ทว่าในซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ ประสาทสัมผัสต่างๆ ได้ถูกจำกัดไว้อย่างมาก รวมทั้งเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น จะอย่างไรเจ้าของของซากปรักหักพังนี้ก็มีพลังฝึกตนใน ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’ อีกเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ นับว่าอยู่ในระดับที่โลกไม่อาจคาดวัดได้
อีกฝั่งหนึ่งของพันธสัญญาโลหิตที่รับรู้ได้แน่นอนว่าเป็นแมวขโมยตัวน้อย
หลังจากที่เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิง แมวขโมยตัวน้อย และจ้าวหยูเฟ่ยก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่แตกต่างกัน
ในยามนี้
จ้าวเฟิงรับรู้ถึงทิศทางได้อย่างจางๆ
“อย่างแรกลองไปหาแมวขโมยตัวน้อยก่อน”
เพราะรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน
ตามแผนของเขา เด็กหนุ่มเตรียมตัวที่จะใช้ภูตผีจำนวนมากในบัวดำเป็นปุ๋ย เพิ่มพลังให้กับหุ่นเชิดศพ
ในเวลาเดียวกัน ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาก็มีระดับสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ ภายในร่างยังได้รับการสนับสนุนจาก ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ทำให้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง พลังฝึกตนอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำค่อนไปทางสูง
เมื่อขอบเขตขิตวิญญาณถึงขั้นนายเหนือแท้ก่อนเวลา ความสามารถในการช่วงใช้ไอสวรรค์และความเร็วในการฝึกตนย่อมเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง
รวมทั้ง ไอสวรรค์ในซากปรักหักพังสือเฉิงเมื่อเทียบกับแดนศักดิ์สิทธิ์ของทวีปบุปผาครามแล้วยังเหนือกว่าหลายเท่าตัว
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากจ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนสัก 5-6 วัน มีโอกาสเกินครึ่งที่พลังฝึกตนจะบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง
ทว่าตอนนี้เด็กหนุ่มได้เปลี่ยนแปลง
เขาเข้ามาในมรดกต่างแดนนี้ได้อย่างยากลำบากยิ่งนัก มีโอกาสเพียงครั้งเดียวในรอบสิบปี จ้าวเฟิงไม่อาจเสียเวลาไปเปล่าๆ ได้
ยามนี้ เมื่อรับรู้ถึงแมวขโมยตัวน้อยได้ มันย่อมเพิ่มความเร็วในการเสาะหาโอกาสของจ้าวเฟิงให้มากขึ้นหลายเท่าตัว
หลังจากครึ่งชั่วยาม
จ้าวเฟิงเข้าไปในเทือกเขาแห่งหนึ่ง ภายในเทือกเขานั้นเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งสัตว์ปีศาจและปักษาปีศาจที่หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่หลากหลาย พร้อมที่จะปรากฏตัวออกมาได้ตลอดเวลา
ในยามนี้
พันธสัญญาโลหิตที่รับรู้ถึงแมวขโมยตัวน้อยได้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ใกล้มากแล้ว”
จ้าวเฟิงระมัดระวังอย่างมาก ดวงตาเทพเจ้ามองเลยไปยังหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปราวๆ 100-200 ลี้
ใกล้ๆ หุบเขานั้นได้ปรากฏอัจฉริยะต่างแดนนับสิบเคลื่อนกายไปมา ส่วนมากไม่กล้าที่จะเข้าไปด้านในง่ายๆ
ในหุบเขาลึกลับนั้นได้ปรากฏสายลมแปลกประหลาดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า รุนแรงเพียงพอที่จะฉีกกระชากร่างของยอดฝีมือขั้นมนุษย์แท้ให้เป็นชิ้นๆ ได้ในเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ส่วนมากเองก็ไม่อาจรับมือได้
ฟุ่บ พรวด
อัจฉริยะต่างแดนหลายคนรู้สึกหมดสิ้นหนทาง ออกจากหุบเขาไป
อัจฉริยะต่างแดนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงสองคนกระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส มุมปากปรากฏรอยเลือดไหลย้อย
ในด้านความแข็งแกร่งนั้น พวกเขาเทียบกับผู้ถูกเลือกในงานชุมนุมเซียนมังกรได้เป็นอย่างน้อย
“พลังของลมแปลกประหลาดนี่รุนแรงนัก หากไม่มีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ก็ยากที่จะป้องกันตนเองได้ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ หากไปอยู่ในบริเวณที่กระแสลมรุนแรงที่สุดก็คงต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม”
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ
ทั้งๆ ที่หุบเขาลึกลับนี้อันตรายเพียงนี้ ทว่าอัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้กลับไม่ยอมจากไป ทั้งยังพยายามทะลวงฝ่า ชัดเจนว่าภายในย่อมไม่ใช่เพียงโอกาสเล็กน้อย
ในกลุ่มคน
จ้าวเฟิงเห็นชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ จากตำหนัก ‘ผาดำ’ รวมทั้งอีกกองกำลังที่นำมาโดยชายหนุ่มในชุดสีเลือดที่มีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ
บนหน้าผากของชายหนุ่มชุดสีเลือดได้ปรากฏจันทร์เสี้ยวสีแดงอยู่ ร่างกายส่งกลิ่นอายกระหายเลือดที่น่าพรั่นพรึงออกมา
กลิ่นอายที่คุ้นเคยนี้ได้ทำให้จ้าวเฟิงนึกถึงผู้คุ้มกันศพโลหิตลายเงิน รวมทั้งลัทธิมารจันทราชาด
หากเขาคาดเดาไม่ผิด ชายหนุ่มชุดสีเลือดผู้นี้คงจะมาจากสำนักระดับสองดาว ‘ตำหนักมารจันทรา’ เมื่อเทียบกับลัทธิมารจันทราชาดแล้วยังแข็งแกร่งกว่านับสิบเท่า
เวลาที่จ้าวเฟิงมาถึง ไม่ว่าจะเป็นคนของตำหนักผาดำหรือตำหนักมารจันทราก็พยายามที่จะทะลวงฝ่าเข้าไปในหุบเขาลึกลับนั้น ส่วนมากล้มเหลว
ใกล้ๆ เองก็มีสำนักระดับหนึ่งดาวอยู่บ้าง ในหุบเขากระทั่งปรากฏซากศพมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์กระจัดกระจายอยู่
แน่นอนว่าหลังจากที่สูญเสียไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นตำหนักผาดำหรือตำหนักมารจันทราต่างก็เริ่มเข้าใจรูปแบบของมัน
“ลมประหลาดในหุบเขานี่มีส่วนที่รุนแรงและอ่อนแรงแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในรูปแบบหนึ่ง บริเวณที่สายลมอ่อนกำลังที่สุด กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ยังไม่เป็นอันใด ทว่าในบริเวณที่สายลมรุนแรงที่สุดกลับสามารถฉีกกระชากได้กระทั่งร่างของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ หากตั้งกลุ่มและเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ย่อมสามารถลดอัตราสูญเสียให้น้อยลงได้”
“หากต้องการข้ามผ่านบริเวณสายลมกระโชกนี้ เข้าไปยังใจกลางของหุบเขาที่เต็มไปด้วยวัสดุล้ำค่าหายาก ภายในย่อมไม่มีสายลมแปลกประหลาดนี่”
สองผู้นำในขั้นนายเหนือแท้ของตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราแลกเปลี่ยนความคิดกัน
มีเพียงแค่การนำคนเข้าไปได้มากจึงจะสามารถครอบครองค้นหาทรัพยากรด้านในได้จำนวนมาก ได้รับผลประโยชน์สูงสุด
ยามที่ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มในชุดสีเลือดพูดคุยกัน ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ได้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของ ‘ลมประหลาด’ ในหุบเขานั้นอย่างชัดเจนแล้ว
การปรากฏและเปลี่ยนแปลงของกระแสลม บริเวณที่รุนแรงและอ่อนแรง จ้าวเฟิงได้ใช้ดวงตาเทพเจ้า ‘คัดลอก’ ทั้งหมดลงมาตรงๆ ควบคุมรายละเอียดเล็กๆ ทุกอย่าง
หลังจากที่สังเกตและเปรียบเทียบภาพที่คัดลอกทั้งสิบ จ้าวเฟิงก็เข้าใจถึงรูปแบบของมัน กระทั่งรับรู้ถึงแก่นแท้บางอย่าง
หลายลมหายใจต่อมา
จ้าวเฟิงสามารถคาดเดารูปแบบของสายลมแปลกประหลาดนั้นได้ว่าบริเวณที่มีกระแสลมรุนแรง ต่อมาจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด
เมื่อได้ครอบครองกฎเกณฑ์รูปแบบแล้ว แรงคุกคามของสายลมแปลกประหลาดในหุบเขาลึกลับก็ลดลงกว่าเจ็ดส่วน
ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านั้น ทว่ากลับสามารถเข้าใจถึงกฎเกณฑ์รูปแบบของมันได้อย่างชัดแจ้ง แม้จะกวาดตามองอัจฉริยะทั้งหมดในที่แห่งนั้น บางทีอาจมีเพียงจ้าวเฟิงที่มีความสามารถเช่นนี้
จะอย่างไร หุบเขานี้ก็มีระยะกว้างนับร้อยลี้ เทียบเท่าได้กับเมืองทั่วไปเมืองหนึ่ง หากต้องการจะล่วงรู้ถึงสภาพภูมิประเทศทั้งหมด หากไม่ใช้เวลาสัก 2-3 วันก็นับว่ายากเย็น ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามันยังมีสายลมแปลกประหลาดที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ด้วย
กลุ่มคนของตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราสูญเสียไปจำนวนมากจึงสามารถรับรู้ถึงรูปแบบของมันได้บ้าง แต่แม้กระนั้นเองก็ยังต้องพึ่งดวงอยู่
ออกตัว
ในยามนี้ ชื่อกุ้ยนำกลุ่มยอดฝีมือมุ่งตรงไปตามทาง เข้าไปในหุบเขาลึกลับ
ตำหนักมารจันทราเองก็ได้เคลื่อนไหวในอีกเส้นทางหนึ่ง
จ้าวเฟิงมองตามหลังคนเหล่านั้นไป ร่างพุ่งวูบ กลับกลายเป็นเงาร่างประกายสายฟ้า เข้าใกล้หุบเขาลึกลับ
เมื่อเข้าใกล้หุบเขาลึกลับนั้น พันธสัญญาโลหิตที่รับรู้ได้จากแมวขโมยตัวน้อยก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้าดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังไม่เห็นร่างของแมวขโมยตัวน้อย ชัดเจนว่ามันอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา
กลางอากาศปรากฏเสียงคำรามของอัสนีขึ้นแผ่วเบา จ้าวเฟิงพรางกายอยู่ท่ามกลางผืนม่านยามราตรี พุ่งเข้าไปในหุบเขาลึกลับ
“นั่นเป็นคนจากที่ใดกัน มีเพียงผู้เดียวทว่ากลับมุ่งหน้าเข้าไปในหุบเขา?”
“รวดเร็วยิ่งนัก ภายใต้การพรางกายเช่นนั้นทำให้ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน บางทีอาจเป็นสัตว์ปีศาจหายากก็เป็นได้?”
ใกล้ทางเข้าหุบเขายังปรากฏร่างของอัจฉริยะต่างแดนจาก ‘สำนักเล็กๆ’ อยู่
ที่เอ่ยว่าพวกเขาเป็น ‘สำนักเล็กๆ’ นั้นเพียงเพราะเทียบกับสามยอดสำนักระดับสองดาว สำนักเบื้องหลังอัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้แต่ล่ะคนล้วนไม่ด้อยไปกว่าลัทธิมารจันทราชาดที่เกือบจะครอบครองทวีปบุปผาครามได้
หลังจากที่จ้าวเฟิงเข้าไปในหุบเขา ความเร็วการเคลื่อนไหวก็ไม่มากนัก
บางครั้งเด็กหนุ่มก็เคลื่อนไหวซิกแซกไปมา บ้างก็หยุดนิ่ง บ้างก็ถอยหลัง
แต่จ้าวเฟิงได้รับผลจากกระแสลมน้อยนิดที่สุดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องสงสัย ยามที่พลังของสายลมรุนแรงขึ้น เด็กหนุ่มก็จะใช้สามปทุมในการสลายมันทิ้ง
หรือมิเช่นนั้น ในบริเวณที่กระแสลมรุนแรง ไม่ต้องเอ่ยถึงจ้าวเฟิงเลย กระทั่งชื่อเฉิงเทียนที่มีพลังป้องกันมหาศาลเช่นนั้นก็อาจจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้นแล้ว ความเร็วในการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงจึงด้อยกว่าตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราอย่างมาก
ทว่านี่ก็นับเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นตำหนักผาดำหรือตำหนักมารจันทราต่างก็ห่างไกลเกินกว่าที่เขาจะสามารถต่อกรได้ พลังของอัจฉริยะต่างแดนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองแข็งแกร่งกว่าเขามาก
สุดท้ายแล้ว
หลังจากที่เดินทางยาวนานกว่าหนึ่งชั่วยาม จ้าวเฟิงก็ผ่านมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน ตลอดทางแทบจะเดินอยู่ในบริเวณที่กระแสลมอ่อนแรงที่สุด เข้าไปยังส่วนลึกของหุบเขา
ที่แปลกประหลาดคือ
เมื่อผ่านบริเวณที่เป็นหินรอบนอกของหุบเขาเข้าไปแล้ว สายลมแปลกประหลาดเหล่านั้นกลับหายไปอย่างไร้ซึ่งร่องรอย
พื้นดินในส่วนลึกของหุบเขาส่องประกายสีเขียว ไอสวรรค์เข้มข้นมหาศาล เมื่อเทียบกับส่วนอื่นของ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ แล้วยังมากมายกว่านับสิบเท่า
เมื่อจ้าวเฟิงมาถึงก็รู้สึกราวกับว่าแสงสีเขียวนั้นมีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ ราวกับว่าข้ามผ่านกาลเวลามา เข้ามายังดินแดนโบราณ ท่ามกลางป่าใหญา
สถานที่แห่งนี้ ทั้งดอกไม้และต้นไม้ต่างส่องประกายสีเขียวกระจ่าง เต็มไปด้วยดอกไม้ใบหญ้าแปลกตา ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต หลายชนิดเป็นสิ่งที่สูญพันธ์ไปแล้วด้านนอก
ต้นไม้สูงบางต้นมีความสูงถึงร้อยหลา เต็มไปด้วยใบไม้กิ่งไม้ รากแผ่ขยายออกหลายลี้ เทียบเท่าได้กับหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่ง
ป่าแห่งนี้ได้รับไอสวรรค์มาปีแล้วปีเล่า ถูกกลั่นกรองจนบริสุทธิ์ เหนือกว่าพืชพรรณทั่วไป
หรือเอ่ยอย่างง่ายๆ แม้ว่าเจ้าเป็นคนคนโง่เขลาเพียงใดก็ต้องรับรู้ว่าพื้นดินแห่งนี้ได้มีจังหวะแห่งชีวิต หากอยู่ด้านนอกอาจมีมูลค่าเทียบกับผลึกเริ่มต้นนับพันได้
อาจกล่าวได้ว่า ทุกสิ่งในที่แห่งนี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่า
“หากฝึกตนที่นี่ ก็เทียบเท่ากับมีไอสวรรค์มากกว่าทวีปบุปผาครามนับร้อยเท่า นับว่ายากจะจินตนาการนักว่าในหุบเขาที่มีกลิ่นอายเก่าแก่นี้จะมีโอกาสมากมายเพียงใดเฝ้ารอให้ค้นหา”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง
ในยามนี้ ส่วนลึกของป่าในหุบเขาได้ปรากฏเสียงต่อสู้ขึ้น ตามด้วยเสียงร้องคำรามของสัตว์ปีศาจที่ทิ่มแทงสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณ
ชัดเจนว่ามีกองกำลังหลายฝ่ายที่เข้ามาในหุบเขาลึกลับนี้ได้เผชิญหน้ากับความยากลำบาก หรืออาจนับเป็นโอกาส
จ้าวเฟิงไม่อยู่นิ่ง เคลื่อนกายไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มไม่ได้เร่งรีบเคลื่อนไหว ทว่าขึ้นสู่ที่สูง เปิดดวงตาเทพเจ้า ควบคุมทุกรายละเอียดในพื้นที่แห่งนี้
ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองรายละเอียดทุกอย่างอย่างรวดเร็ว ทุกซอกมุมของป่า กระทั่งรวมทั้งที่โล่งแจ้งและใต้พื้นดิน
เพียงกวาดตามองเร็วๆ ครั้งหนึ่ง จ้าวเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจและยินดี
วัสดุล้ำค่าในหุบเขาลึกลับนี้มากมายเกินกว่าจินตนาการ
เด็กหนุ่มอาจจะมองผ่านๆ เพียงครั้งหนึ่ง ทว่าเขากลับค้นพบสมบัติวัสดุล้ำค่ามากกว่าสิบอย่าง มูลค่าของพวกมันนั้นกระทั่งทำให้ขั้นนายเหนือแท้ต้องรู้สึกริษยา
ภายใต้กำแพงหินเหล่านั้นได้เต็มไปด้วยของล้ำค่า
เปรี้ยง
จ้าวเฟิงกระแทกฝ่ามือออก หินปริแตก เผยให้เห็นดินร่วนชื้นสีเขียวมรกตขึ้น
บนดินร่วนชื้นนั้นได้ปรากฏผลไม้รูปลักษณ์คล้ายองุ่นขึ้นส่องประกายสีดำ ขนาดราวนิ้วโป้ง ลักษณะราวกับผลึก
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ด้วยดวงตาเทพเจ้า ผลไม้นี้ได้มีแก่นแท้ของจิตวิญญาณและฟ้าดินอยู่อย่างมหาศาลจนน่าตื่นตะลึง เหนือกว่าผลไม้จิตวิญญาณใดๆ ในทวีปบุปผาคราม
“ผลศิลาประกายทมิฬนี้มีที่มาอย่างไรกัน?”
วินาทีที่จ้าวเฟิงเก็บผลไม้เหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงไอสวรรค์ที่บริสุทธิ์น่าตื่นตะลึงที่แพร่กระจายออกมา
ที่น่าอับอายคือ ด้วยประสบการณ์ในทวีปบุผาครามของเขาก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงความเป็นมาของผลไม้นี้ได้
“ราชาผลไม้เร้นมุกสวรรค์ มีลักษณะธาตุเย็น มีแก่นแท้ของฟ้าดินบริสุทธิ์มหาศาล สามารถเติมเต็มพลังไอสวรรค์ของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในช่วงเวลาสำคัญอาจทำให้พลังต่อสู้กลับสู่สภาวะสมบูรณ์ รวมทั้งแกนกลางของมันยังสามารถชำระล้างเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย เพิ่มพลังฝึกตนให้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะผู้ที่มีระดับกว่าขั้นนายเหนือแท้ลงไปที่ได้ผลดีมาก ด้วยสถานการณ์ของเจ้าในยามนี้ หากกินเข้าไปลูกหนึ่งก็มีโอกาสที่จะบรรลุขั้นเล็กๆ ได้กว่าครึ่ง”
เสียงของสตรีนิ่งเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่โล่งใกล้ๆ ในน้ำเสียงนั้นได้ปรากฏความพึงพอใจอยู่เล็กๆ