บทที่ 409 : ขวางทาง
“แบบนี้ก็ได้หรือ?”
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราใช้สีหน้าแปลกประหลาดมองไปยังจ้าวเฟิง
ในช่วงเวลาสุดท้ายในการแย่งชิงสมบัติล้ำค่า จ้าวเฟิงไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ รั้งอยู่เบื้องหลัง ท่าทีนิ่งเฉย
ฝ่ายสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีเพียงเย่หยานหยู สตรีเพียงผู้เดียว ต่อสู้เพียงคนเดียวทว่าแรงกดดันกลับมหาศาล อาจกล่าวได้ว่าสตรีผู้นี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
รอให้เย่หยานหยูได้รับชัยชนะ เขาจึงเอ่ยขอหญ้าคืนชีวิตที่นับเป็นยอดสมบัติ ความไร้ยางอายในระดับนี้ กระทั่งอัจฉริยะจากอีกสองสำนักก็ยังไม่อาจทนดูต่อไปได้
ทว่าจ้าวเฟิงมั่นใจ ท่าทีเยือกเย็น แน่ใจว่าเย่หยานหยูจะยอมมอบออกมา
“ดูเจ้าจะฝันหวานไปเสียหน่อยแล้วกระมัง”
เย่หยานหยูหงุดหงิดกราดเกรี้ยว มองหน้าของอีกฝ่าย
ก่อนหน้ายามที่แย่งชิงศพของ ‘แมงป่องยักษ์โบราณ’ จ้าวเฟิงได้ครอบครองถุงพิษของแมงป่องยักษ์ นางไม่ขัดขวาง ทั้งยังนางยังรู้สึกขยะแขยงก้อนเนื้อนั่นอีกด้วย
ทว่า ‘หญ้าคืนชีวิต’ ต่างออกไป มูลค่าของมันไม่ใช่สิ่งที่ถุงพิษแมงป่องยักษ์จะสามารถเทียบได้
นอกจากนั้น หญ้าคืนชีวิตไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็นับว่าเป็นของมากค่า ในเวลาสำคัญอาจนับได้ว่าเป็นชีวิตที่สอง
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ายามที่แย่งชิงกันจ้าวเฟิงก็ไม่ได้ลงมือ เย่หยานหยูลอบคิดอยู่ในใจ คนไร้ยางอายเช่นนี้ นางเริ่มลังเลแล้วที่จะแนะนำให้เข้าร่วมสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง
“ตามข้อตกลงของเรา เจ้าต้องยินยอมให้ความช่วยเหลือข้าสามครั้ง นี่นับเป็นหนึ่งครั้ง”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไร้ความรู้สึก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่หยานหยูก็ถลึงตา
ข้อตกลงระหว่างพวกเขามีข้อกำหนดเช่นนั้นอยู่จริง
โอกาสในการช่วยเหลือสามครั้ง จ้าวเฟิงได้ใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งที่แล้วเด็กหนุ่มได้ให้เย่หยานหยูเป็นผู้คุ้มกันของตนเอง
บัดนี้จ้าวเฟิงต้องการใช้โอกาสที่สอง
“ฮี่ฮี่ รายละเอียดของข้อตกลงนั้นคือหากข้าต้องการ ข้าจะช่วยเจ้า จำกัดเพียงแค่สามครั้ง ทว่ามันไม่ได้เอ่ยถึง ‘ของขวัญ’ เลยแม้แต่น้อย”
เย่หยานหยูแย้มยิ้มอย่างงดงาม นางไม่ใช่ตอไม้โง่ๆ ที่ยืนรอให้จ้าวเฟิงสับ
จ้าวเฟิงเงียบไปชั่วครู่ รอยแยกระหว่างฟันปรากฏคำสามคำลอดออกมา”ไร้ยางอาย”
“ข้าช่วยเจ้า แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ซึ่งข้อกำหนดหรือตามอำเภอใจเจ้า อย่าได้บอกข้าว่าหากเจ้าต้องการให้ข้าตาย ข้าก็ต้องตาย? หรือเจ้าต้องการให้ข้ามอบเรือนร่างให้ ข้าก็ต้องทำ?”
เย่หยานหยูเค้นเสียงเย็น
เมี้ยว เมี้ยว!
แมวขโมยตัวน้อยกระโจนขึ้นบนไหล่ของเย่หยานหยู อุ้งเท้าทั้งสองตบเข้าหากัน ปรากฏท่าทียินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
จ้าวเฟิงหรี่ตา การร่วมมือกันของเย่หยานหยูและแมวขโมยตัวน้อยได้ถูก ‘วางแผน’ โดยตัวเขา แต่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าจะยอมรับเงื่อนไขการช่วยเหลือสามครั้ง ทว่าก็ไม่ได้ใช้งานง่ายเพียงนั้น
“เจ้าต้องการ ‘หญ้าคืนชีวิต’ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการที่จะช่วยชีวิตคนสำคัญบางคน? หากเจ้ายินยอมที่จะล้มเลิกพันธะสัญญาโลหิตกับแมวขโมยตัวน้อย ข้าก็จะยอมพิจารณาดู”
นัยน์ตางดงามของเย่หยานหยูส่องประกายวาบ ใช้ร่องรอยคาดเดาจนเข้าใกล้ความจริงกว่าเจ็ดแปดส่วน
“ติดค้างคนผู้หนึ่งเอาไว้”
จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับ
เย่หยานหยูไม่ตกลงเป็นสถานการณ์ที่เขาคาดเดาเอาไว้แล้ว
ทว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ลนลาน เขาเองก็มีอีกสองทางที่จะทำให้สามารถครอบครองหญ้าคืนชีวิตได้
ในยามนี้ อัจฉริยะจากทั้งสามฝ่ายได้เริ่มฉกฉวยสมบัติล้ำค่าที่เหลืออยู่ในถ้ำ จ้าวเฟิงไม่ได้เข้าร่วม
หลังจากที่ต่อสู้แย่งชิงกันอย่างรุนแรง สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้บาดเจ็บสาหัส ไอสวรรค์เสียหายไปหลายส่วน
เย่หยานหยูออกจากถ้ำ ต้องการสถานที่ห่างไกลและเงียบงันในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
“การกัดกร่อนของจิตวิญญาณยากที่จะฟื้นฟู…”
เย่หยานหยูนั่งขัดสมาธิ ใบหน้างดงามขาวซีดลงเล็กๆ
การต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองได้ทำให้ร่างกายของนางบาดเจ็บไม่มากนัก ส่วนมากคือพลังที่สูญเสียไปและจิตวิญญาณที่ถูกกัดกร่อน
จะอย่างไร ในการต่อสู้ทั้งหมด ชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือดก็ได้ใช้วิชาต้องห้าม เย่หยานหยูจำต้องเข้าปะทะป้องกันไม่ใช่ในระยะเวลาสั้นๆ
ในขณะฟื้นตัว เย่หยานหยูได้กินยาล้ำค่าเข้าไป ไอสวรรค์ที่ถูกใช้ไปฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
ทว่าการฟื้นตัวของพลังที่สูญเสียไปค่อนข้างเชื่องข้า
แต่สิ่งที่ยากจะฟื้นฟูที่สุดคือการโจมตีที่ชื่อกุ้ยใช้ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ ในการกัดกร่อนทำลายดวงวิญญาณของนาง
“อาการบาดเจ็บกัดกร่อนของดวงวิญญาณ รวมทั้งพลังที่เสียไปไม่ใช่สิ่งที่ยาจิตวิญญาณทั่วไปจะรักษาได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าเจ้าจะกินหญ้าคืนชีวิตเข้าไป ส่วนมากก็ส่งผลเพียงแค่ร่างกาย รวมทั้งพลังชีวิตที่สูญเสียไป ไม่ส่งผลต่อการฟื้นฟูดวงวิญญาณมากนัก”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าเข้าใจในศาสตร์แห่งยาด้วย?”
เย่หยานหยูเค้นเสียงหัวเราะอย่างฝืดเคือง พลังแรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดของขั้นนายเหนือแท้สั่นสะท้านไปสวรรค์ ราวกับเอ่ยเตือนไม่ให้จ้าวเฟิงคิดกระทำการชั่วร้ายใดๆ
กล่าวอย่างง่ายๆ คือแม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม การฆ่าจ้าวเฟิงก็ยังคงเป็นเรื่องง่ายดาย
“จากการวิเคราะห์ของข้า ยาจิตวิญญาณในมือของเจ้าจะสามารถรักษาจิตใจให้กลับสภาวะปกติได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน จะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณและพลังที่เสียไปได้หรือไม่ยังไม่แน่นอน ทั้งยังไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บที่อาจส่งผลในอนาคตได้อย่างสมบูรณ์”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบาง
เย่หยานหยูอดที่จะเผยความประหลาดใจออกมาไม่ได้ การวิเคราะห์ของจ้าวเฟิงกับสถานการณ์ของนางนับว่าตรงกัน
หรืออีกนัยหนึ่ง
การที่เย่หยานหยูจะกลับเข้าสู่สภาวะสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งต้องใช้เวลาครึ่งเดือน
ทว่าในซากปรักหักพังสือเฉิงเต็มไปด้วยโอกาสวาสนามากมายให้แย่งชิง รวมทั้งแกนกลางของซากปรักหักพังอย่าง ‘ซากวิหาร’ ด้วย
“ความจริงแล้ว ตอนที่ข้าเข้าไปในถ้ำได้ครอบครอง ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ มา ของเหลวนี่สามารถชำระล้างดวงวิญญาณ ทำให้สามารถสลายอาการบาดเจ็บกัดกร่อนของวิญญาณอาฆาตที่ ‘เนตรวิญญาณอาฆาต’ สร้างขึ้นได้ ใช้เวลาเพียง 2-3 วัน อาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณก็จะฟื้นฟู ไม่มีอาการบาดเจ็บซ้อนเร้นถึงอนาคต”
เมื่อเอ่ยจบจ้าวเฟิงก็ไม่เอ่ยปากอีก
น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเย่หยานหยูก็หวั่นไหวอีก
สำหรับผลของ ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ นั้นนางย่อมเคยได้ยินมา มันสามารถชำระล้างดวงวิญญาณ เพิ่มขอบเขตจิตวิญญาณและประสาทสัมผัส แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างนางก็ยังมีผลในระดับหนึ่ง
ที่สำคัญไปกว่านั้น วารีศักดิ์สิทธิ์นี้ยังสามารถใช้การชำระล้างในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของจิตใจได้
“น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา…”
ฟันขาวของเย่หยานหยูขบกันแน่น
ในยามนี้ นางต้องการวารีศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ที่สามารถชำระล้างดวงวิญญาณอย่างเร่งด่วน
ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าของน้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรายังเทียบได้กับหญ้าคืนชีวิตและผลโลหิต
หลังจากที่จ้าวเฟิงเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
นี่คือแผนสองของเขา เขาไม่เชื่อว่าเย่หยานหยูจะไม่ตกลง
ทว่าเย่หยานหยูมีความอดทนยิ่งนัก ไม่เร่งร้อน ไม่ได้ยอมแลกเปลี่ยนในทันที นางกำลังกังวลว่าจ้าวเฟิงจะเล่นตุกติกกับนาง
ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มได้นำ ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ หยดที่สองออกมาใช้ต่อหน้าเย่หยานหยูเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับขอบเขตจิตวิญญาณขึ้นไปอีก
“หยดที่สองของ ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ มีผลน้อยลงอย่างมาก ทว่ายังเพียงพอที่ทำให้ขอบเขตจิตวิญญาณของข้าเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำหรือสูงกว่าอย่างแท้จริง”
จ้าวเฟิงดูดกลืนพลัง
ระหว่างการฟื้นฟูของเย่หยานหยู จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ลืมที่จะให้ความสนใจหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองใน ‘บัวดำ’
ปราณศพบนร่างของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองเพิ่มความเข้มข้นยิ่งขึ้น ทั้งยังมีกลิ่นเน่าเหม็นที่รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
เพียงพริบตา เวลาสองวันก็ได้ผ่านพ้นไป
กลิ่นอายบนร่างของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองแตกต่างจากขั้นนายเหนือแท้ไม่มากนัก ผลของเห็ดอินตู๋สลายหายไปโดยสิ้นเชิง
ภายนอก ร่างกายของหุ่นเชิดศพทั้งสองที่ส่องประกายราวโลหะสัมฤทธิ์ได้ปรากฏลวดลายสีเงินดำขึ้น
บัดนี้หุ่นเชิดศพสองตัวนี้ก็ควรจะเรียกว่า ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’ จึงจะเหมาะสมกว่า
เพราะเห็ดอินตู๋ที่นับว่าเป็นพิษที่แปลกประหลาดยากจะหาใดเทียม ร่างของหุ่นเชิดศพทั้งสองจึงมีพิษศพที่รุนแรง
“ยังไม่ได้ใช้ถุงพิษแมงป่องยักษ์ พิษศพของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬนี่ก็สามารถสร้างแรงคุกคามมหาศาลให้กับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้แล้ว”
จ้าวเฟิงอดที่จะคาดหวังไม่ได้
‘แผนการศพพิษ’ ของเขานับว่าสำเร็จไปแล้วกว่าหกเจ็ดส่วน
จากนั้น
จ้าวเฟิงจึงนำถุงพิษแมงป่องยักษ์ใส่เข้าไปในบัวดำอย่างลับๆ ใช้ดวงตาเทพเจ้าควบคุม ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’ ใช้พิษเพิ่มพลังพิษให้กับพวกมัน
ระหว่างการเสริมด้วยถุงพิษแมงป่องยักษ์ ลวดลายสีดำบนร่างของพวกมันก็ชัดเจนยิ่งกว่าลวดลายสีเงิน
“ระดับของ ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’ นับว่าอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ได้อยู่บ้าง ทว่าพิษศพที่มันมีกลับเหนือล้ำกว่าระดับของมัน ความอันตรายที่แท้จริงต้องเหนือกว่าหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน…”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสังเกตอย่างละเอียด
เมื่อผ่านเวลานี้ไป ลำบากเพียงฝึกฝนเล็กน้อย หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองนี้ก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อถึงวันที่สาม
เย่หยานหยูก็ต้องออกมาหาจ้าวเฟิงในที่สุด
“แลกเปลี่ยน”
น้ำเสียงที่ราวกับเป็นเสียงแห่งธรรมชาติของเย่หยานหยูดังขึ้นจากเบื้องหลัง
มุมปากของจ้าวเฟิงยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มยินดี ใช้น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทราสองหยดแลกเปลี่ยนกับวารีแห่งชีวิตสองหยดได้สำเร็จ
“ได้ครอบครองวารีแห่งชีวิตแล้ว!”
จ้าวเฟิงนำของเหลวสองหยดจากหญ้าคืนชีวิตใส่ไว้ในน้ำเต้ารั้งวิญญาณ
หลังจากที่เย่หยานหยูได้ครอบครอง ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ ความเร็วในการฟื้นฟูดวงวิญญาณที่บาดเจ็บของนางก็ได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงได้เดินเอ้อระเหยอยู่ใกล้หุบเขาลึกลับ ค้นหาสมบัติล้ำค่า
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำบังเอิญทะยานร่างมาจากทิศทางหนึ่ง
ชายหนุ่มจมูกดำที่นำมาด้านหน้า ‘ชื่อกุ้ย’ ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด มองเห็นจ้าวเฟิงและเย่หยานหยูที่อยู่ในระหว่างฟื้นตัวแต่ไกล
สายตาของชื่อกุ้ยสั่นระริก กวาดมองเย่หยานหยูและจ้าวเฟิง
แม้ว่าเย่หยานหยูจะไม่ได้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อม พวกเขาก็ไม่มีโอกาสชนะ
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย! ศิษย์พี่ ‘โม่ก่าน’ ที่ส่งศรข้อความวิญญาณมาสามารถมาสนับสนุนพวกเราได้”
เงาร่างมืดหม่นราวภูตผีทะยานมาอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก พลังของศิษย์พี่โม่ก่านเหนือกว่าข้าอยู่เล็กๆ ยามที่เขามา รวมมือกันรับมือเย่หยานหยูที่จิตใจได้รับบาดเจ็บก็มีโอกาสมากกว่าหกส่วนที่จะชนะได้ อย่างน้อยไอ้เด็กผมฟ้าและแมวขโมยเจ้าเล่ห์นั่นก็ยากที่จะหนีรอดไปได้…”
มุมปากของชื่อกุ้ยยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มโหดเหี้ยม
การเข้ามาในซากปรักหักพังครั้งนี้ อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ของตำหนักผาดำที่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่ชื่อกุ้ย ทว่าเป็นศิษย์พี่อีกคนที่นาม ‘โม่ก่าน’
โม่ก่านเหมือนกับชื่อกุ้ย นำกลุ่มศิษย์อีกกลุ่มอยู่ ทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งกว่า
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย ไอ้เด็กนั่นมาแล้ว!”
สายตาของดรุณีบัวดำจากตำหนักผาดำเต็มไปด้วยความเกลียดชังหวาดกลัว มองไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าที่ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า
ผู้มาใหม่คือจ้าวเฟิง
“ทุกคนรอก่อน”
จ้าวเฟิงลอยมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ขวางทางคนจากตำหนักผาดำ
สีหน้าของชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หมอกผีสีดำแพร่กระจายแทรกซ้อนอยู่กับหมู่เมฆ บรรยากาศกดดันอึดอัด ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป แรงกดดันเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หายใจลำบากแล้ว
“ไอ้เด็กนี่กล้าขวางทางเรา เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย ให้ข้าและคนอื่นจัดการฆ่าเขาเถอะ!”
อัจฉริยะบางคนจากตำหนักผาดำขบฟันกรอดไปยังจ้าวเฟิง
“หึ!”
ชายหนุ่มจมูกดำนามชื่อกุ้ย สีหน้าย่ำแย่ลง เปลวเพลิงอ่อนจางในดวงตาส่องประกายวาบ เพ่งมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่ละสายตา ทว่าไม่ได้ผลีผลามลงมือ
ท่าทีที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาเต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น ทำให้เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นตุกติกบางอย่างอยู่