บทที่ 411 : ล่อมาฆ่า
กลางอากาศเหนือหุบเขา
ม่านหมอกวิญญาณสีดำได้แพร่กระจายไปในอากาศหมุนวนเป็นเกลียว บรรยากาศหนักอึ้ง สร้างความหวาดกลัวให้สิ่งมีชีวิตใกล้เคียง บริเวณสิบลี้โดยรอบตกอยู่ในความเงียบงัน
เปลวเพลิงอ่อนจางในดวงตาของชื่อกุ้ยที่อยู่ตรงกลางสั่นระริก ชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้นอย่างเชื่องช้า จิตสังหารราวกับกำลังควบแน่น
คนจากตำหนักผาดำเต็มไปด้วยความดุดันโหดเหี้ยม ในความเงียบงันนั้นปะปนไปด้วยความตื่นเต้น
ในยามนี้
แม้จะเป็นเย่หยานหยูที่ฟื้นตัวอยู่ห่างออกไปสองก็ยังรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยอ้าปากหาว ราวกับว่าไม่สนใจถึงความเป็นตายของ ‘เจ้านาย’
“แมวขโมยตัวน้อย หากเขาตาย เจ้าเองก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย”
ใบหน้าของเย่หยานหยูปรากฏความกังวลขึ้น
ชีวิตของจ้าวเฟิงนางไม่ใส่ใจ สิ่งที่นางกังวลคือการตายของอีกฝ่ายอาจส่งผลต่อพันธะสัญญาโลหิตกับแมวขโมยตัวน้อย
ความรุนแรงของผลนั้นขึ้นอยู่กับระยะทาง พลังฝึกตนของทั้งสองฝ่าย ระดับของสายเลือด ระดับของดวงวิญญาณ และปัจจัยอื่นๆ ล้วนมีผลอย่างมาก
ทว่าชัดเจนว่าระยะห่างระหว่างจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยในยามนี้ใกล้กันมาก ปัจจัยอื่นๆ เองก็ยังส่งผลอย่างมาก
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยวาดกรงเล็บของมัน แสดงสีหน้าท่าทีเย็นชา ปรากฏให้เห็นว่าแม้ตัวมันจะถูกลูกหลงจนตาย ไม่อาจมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็ทำให้ผู้เป็นนายตายได้
“นั่นมันเสี่ยงเกินไป หากก่อนที่จ้าวเฟิงตายนั้นใช้ความคิดควบคุมความเป็นตายของเจ้าเล่า”
เย่หยานหยูไม่อาจทานทนได้ ยันร่าลุกขึ้นยืน
ระยะห่างสองลี้ ตราบเท่าที่จ้าวเฟิงต่อต้านสักหน่อย เย่หยานหยูย่อมสามารถตามไปช่วยได้ทัน
แม้จ้าวเฟิงจะเผยแผนหลังให้กับคนจากตำหนักผาดำ ทว่าก็ยังเดินด้วยท่าทีสบายๆ
จิตสังหารเย็นเยียบหดหู่จากตำหนักผาดำ เด็กหนุ่มราวกับไม่รับรู้
“ไอ้เด็กนี่… เขาคิดหรือว่าข้าจะต้องช่วยเขาแน่ๆ?”
เย่หยานหยูกระทืบเท้าเล็กๆ
จ้าวเฟิงอยู่ใกล้คนของตำหนักผาดำมากเกินไป หากชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ ลงมืออย่างรวดเร็ว เย่หยานหยูย่อมไม่อาจลงมือช่วยเหลือได้ทัน
ทว่า
ในช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือมือที่ยกค้างอยู่กลางอากาศของชื่อกุ้ยไม่ได้วาดลง
บนใบหน้าของเขาปรากฏความลังเลอย่างหาได้ยาก
ถูกแล้ว เป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความลังเลไม่มั่นใจ เย่หยานหยูเห็นได้อย่างชัดเจน
อัจฉริยะของตำหนักผาดำเองก็รู้สึกแปลกใจ ศิษย์พี่ชื่อกุ้ยมักจะลงมือโหดเหี้ยมเด็ดขาดอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้เพียงแค่โจมตีไปยังแผ่นหลังของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง มีอันใดให้ลังเลกัน?
ในยามนี้
ด้วยเหตุใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สายเลือดดวงตาของชื่อกุ้ย ‘เนตรมารทมิฬ’ ส่งสัญญาณกระวนกระวายบางประการ
เขาฝึกฝนในศาสตร์แห่งซากศพ ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณเหนือกว่าผู้อื่นในระดับเดียวกันมากนัก ทั้งยังมีสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่ง มันมักจะส่งสัญญาณเตือนตามสัญชาตญาณอยู่บ่อยครั้ง
ชื่อกุ้ยเชื่อในสัญชาตญาณนี้มาก มันได้ทำให้เขาหลบรอดจากอันตรายมาได้หลายครั้งครา
ทันใดนั้น ในสมองของชื่อกุ้ยพลันปรากฏภาพหนึ่งขึ้น
‘เนตรสวรรค์’ ปรากฏขึ้นจางๆ ที่ปลายเส้นขอบฟ้า ราวกับยืนเคียงค้างกับฟ้าดิน ใช้มุมมองของปักษากวาดมองทุกสิ่ง
สุดท้ายแล้ว สายตาของ ‘เนตรสวรรค์’ นั้นก็ได้ทิ่มแทงร่างกาย ทะลวงผ่านดวงวิญญาณของเขาไป
ชื่อกุ้ยพลันสั่นศีรษะ รับรู้ได้ถึงนัยยะซ้อนเร้นอย่างรวดเร็ว
ริมใบหูของเขาปรากฏเสียงของอัจฉริยะจากตำหนักผาดำ”ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย จัดการเถอะ อย่าได้พลาดโอกาสนี้”
ชื่อกุ้ยเพ่งมองไปยังแผ่นหลังของจ้าวเฟิงที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยหลาอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีสบายๆ
ในทางกลับกัน เย่หยานหยูที่อยู่ฝั่งเดียวกับอีกฝ่ายกลับปรากฏความลนลานหงุดหงิด ไล่ตามมาจากที่ไกลๆ
“รวมตัว เตรียมถอย”
ชื่อกุ้ยพลันตัดสินใจที่ทำให้ผู้คนต้องสงสัยงุนงง
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำแม้ว่าจะตื่นตะลึงอย่างมาก ทว่าก็ไม่กล้าที่จะคัดค้านไปโจมตีจ้าวเฟิง กลับไปรวมตัวกัน
“ศิษย์พี่ชื่อกุ้ย เด็กนั่นอยู่ใกล้เรานัก หากลงมือ แม้เป็นเย่หยานหยูก็ไม่อาจช่วยได้ทันกาล”
ชายหนุ่มร่างผอมแห้งรู้สึกสงสัย
“เด็กนี่ไม่เพียงเยือกเย็น ทว่ายังไม่หวาดกลัวพวกเรา ที่สำคัญไปกว่านั้น ข้ายังไม่อาจเข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของเขาได้ทั้งหมด”
ชื่อกุ้ยเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
แม้กวาดตามองทั่วทั้ง ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ชื่อกุ้ยยังพอเข้าใจถึงพลังความสามารถของคนเหล่านั้นอยู่มาก แม้จะเป็นเย่หยานหยูที่แข็งแกร่ง แม้จะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ยังมีข้อมูล
ทว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ ยิ่งเผชิญหน้ายิ่งทำให้ชื่อกุ้ยรู้สึกหวาดกลัว ความสามารถปกปิดลึกล้ำไม่อาจค้นหา
เทียบกับศัตรูที่แข็งแกร่งที่เขารู้จักดี ศัตรูที่ไม่รู้จักและไม่เข้าใจถึงความสามารถที่แท้จริงยังนับว่าน่าหวาดกลัวกว่า
กระทั่งจ้าวเฟิงออกห่างไปกว่าหนึ่งลี้ อัจฉริยะจากตำหนักผาดำก็ยังไม่ลงมือ
“ทั้งๆ ที่เตรียมแผนไว้แล้ว แต่ชื่อกุ้ยนั่นกลับไม่หลงกล…”
จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง ในใจปรากฏความเสียดายขึ้นเล็กๆ
แต่เดิม
จ้าวเฟิงจงใจหันหลังให้กับตำหนักผาดำ เผย ‘จุดอ่อน’ ให้พวกเขาลงมือโจมตีเข่นฆ่า
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็รู้ว่าเย่หยานหยูไม่สนใจความเป็นตายของเขา
ในยามนั้น
จ้าวเฟิงที่อยู่ตรงกลางใช้ประโยชน์ตนเอง ให้อัจฉริยะจากตำหนักผาดำและเย่หยานหยูปะทะกันเล็กน้อย ย่อมสร้างประโยชน์ขึ้นได้ง่ายๆ
หากสำเร็จ จ้าวเฟิงย่อมมีโอกาสที่จะร่วมมือกับเย่หยานหยูและแมวขโมยตัวน้อย ทำให้อัจฉริยะผาดำสูญเสียไปสักครึ่งหนึ่ง หรือกระทั่งอาจทำให้ชื่อกุ้ย ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ผู้นี้ตกลงจากหลังม้า
จะอย่างไร ในยามนี้พลังของชื่อกุ้ยก็ลดลงมากกว่าเย่หยานหยู เย่หยานหยูได้ครอบครองน้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทราสองหยด พลังฟื้นคืนมามากแล้ว
ในการปะทะซึ่งๆ หน้า ยังมีจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยคอยช่วยเหลือรับมือไปหนึ่งหรือสองส่วน ด้วยพลังต่อสู้ของเย่หยานหยู มีโอกาสกว่าห้าหกส่วนที่จะทำให้ชื่อกุ้ยต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
แม้ว่าจะไม่อาจฆ่าชื่อกุ้ยได้ อัจฉริยะจากตำหนักผาดำหลายคนก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ ของที่ได้มาจากศพย่อมเป็นทรัพยากรเกี่ยวกับศาสตร์แห่งศพ ให้ประโยชน์แก่จ้าวเฟิงอย่างมาก
น่าเสียดาย
ในช่วงเวลาสำคัญ ชื่อกุ้ยกลับรามือไป ทำให้หลุดรอดจากแผนการ ทำให้ความคิด ‘ล่อมาฆ่า’ ของจ้าวเฟิงล้มเหลวไป
ล้มเหลวได้อย่างไร?
จ้าวเฟิงตระหนักได้ว่าท่าทีของตนเองเยือกเย็นจนเกินไปทำให้ไม่อาจหลอกชื่อกุ้ยและคนอื่นๆ ได้ หรือไม่ก็เป็นพวกชื่อกุ้ยระมัดระวังตัวต่อสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างและเย่หยานหยูอยู่ในระดับหนึ่ง
แน่นอนว่า
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสัญชาตญาณ เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเองก็มีการส่งสัญญาณเตือนขึ้นในบางครั้ง สามารถทำให้เขาหลีกหนีจากอันตรายได้
ตัวอย่างเช่นในเมืองประกายอรุณก่อนหน้า หลังจากงานชุมนุมอัจฉริยะ จ้าวเฟิงได้ถูกผู้อาวุโสตระกูลชิวสะกดรอยมาตามฆ่า เด็กหนุ่มก็ล่วงรู้ได้ก่อนเวลา ทำให้สามารถป้องกันได้
ไม่นาน
จ้าวเฟิงและเย่หยานหยูก็มาเจอกัน
เย่หยานหยูถอนหายใจโล่งอก ในขณะเดียวกันก็ดึงหน้าเย็นชาเล็กๆ”เจ้าไม่ควรจะเล่นตุกติกอันใด อย่าได้คิดว่าตำหนักผาดำ สำนักมารในศาสตร์แห่งซากศพในระดับนี้จะสามารถเข้าร่วมได้โดยง่าย”
“เย่เซียนจื่อเอ่ยได้ถูกต้อง การแลกเปลี่ยนเมื่อครู่ไม่คิดว่าคนจากตำหนักผาดำจะเกิดความอาฆาตขุ่นแค้นขึ้น โชคดีที่เย่เซียนจื่อมาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทัน”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้านอบน้อม
หากต้องการที่จะเข้าร่วม ตัวเลือกแรกของเขาย่อมเป็นสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง
สำนักนี้แข็งแกร่งที่สุดในสามยอดสำนัก เป็นสำนักฝ่ายธรรมะที่เลื่องชื่อ เมื่อเทียบกับตำหนักผาดำที่กินเนื้อแล้วยังไม่เหลือกระทั่งกระดูกแล้วยังปลอดภัยกว่า
เย่หยานหยูเพียงเตรียมตัวจะเอ่ยปากพลันได้ยินเสียงดังขึ้นห่างออกไป
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
ร่างหลายร่างได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ มุ่งหน้าใกล้เข้ามา
ในบรรดาคนเหล่านั้นมีกลิ่นอายแข็งแกร่งของขั้นนายเหนือแท้อยู่ด้วย เมื่อเทียบกับชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีโลหิตแล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่ากำลังเสริมของศิษย์พี่โม่ก่านมาถึงแล้ว?”
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำรู้สึกคาดหวังขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
นัยน์ตาของชื่อกุ้ยปรากฏความยินดีพาดผ่านขึ้น
ทว่าเมื่อเขาปล่อยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไป สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
“รีบถอย”
ชื่อกุ้ยออกคำสั่ง นำคนจากตำหนักผาดำหลบหนีไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อผ่านไปชั่วครู่
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ร่างที่ส่องแสงจันทราสว่างจ้าทั้งชายหญิงได้มายังเย่หยานหยู
ผู้นำคือชายหนุ่มงดงามเปราะบางในชุดสีเงิน เขามีเรือนผมสีแดงทรงเสน่ห์
พลังฝึกตนของชายหนุ่มผู้นี้สูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ กลิ่นอายเหนือกว่าชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีโลหิตเล็กๆ
ชายหนุ่มชุดเงินเมื่อเห็นเย่หยานหยู ดวงตาก็ส่องประกาย แย้มยิ้มยินดีออกมา”ศิษย์น้องเย่ พวกเรากำลังติดพันอยู่ ยามนี้ได้มาถึงช้า ทำให้ศิษย์น้องต้องหวาดกลัวแล้ว”
“แม้ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ของตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำสองคน พวกมันก็ทำอันตรายข้าไม่ได้”
เย่หยานหยูนั่งขัดสมาธิ ท่าทีเย็นชาเล็กๆ ราวกับไม่เห็นชายหนุ่มชุดเงินอยู่ในสายตา
จ้าวเฟิงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มชุดเงินขั้นนายเหนือแท้นั้นดูเหมือนผู้ที่ชมชอบเย่หยานหยูอย่างมาก
ทว่าที่คาดไม่ถึงคือเย่หยานหยูเป็นบุตรสาวที่สวรรค์ภาคภูมิ ฝุ่นผงไม่อาจกล้ำกราย มีหรือที่จะชอบพอคนทั่วไป? บางทีอัจฉริยะทั่วไปอาจจะไม่มีความกล้าและคุณสมบัติมากพอ
ในกลุ่มคน ศิษย์น้องสตรีสองคนมีความสัมพันธ์อันดีต่อเย่หยานหยู ทั้งสองเข้าไปใกล้หญิงสาว เริ่มบทสนทนาก่อน
“ศิษย์พี่เย่ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์พี่เย่ แม้กวาดตามองยอดอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ทั้งสิบ นอกจากศิษย์พี่หลู่แล้วยังมีผู้ใดสามารถทำอันตรายศิษย์พี่ได้อีก?”
ศิษย์สตรีทั้งสองนี้มีพลังสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด ท่าทีปรากฏความประหลาดใจอยู่บ้าง
เย่หยานหยูแย้มยิ้ม เอ่ยถึงการต่อสู้กับชายหนุ่มชุดสีเลือดและชื่อกุ้ยเล็กๆ
“คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์พี่เย่จะมีโอกาสใหญ่เช่นนั้น ในหุบเขานี้มีกลิ่นอายเก่าแก่โบราณ สมบัติล้ำค่าเมื่อเทียบกับฝั่งของพวกเราแล้วยังดีมากกว่า”
ดรุณีในวัยแรกแย้มหลายคนแสดงท่าทีกระเง้ากระงอดพูดคุยกันดูแล้วเจริญตานัก
ความรู้สึกส่วนลึกของศิษย์บุรุษของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างอดที่จะชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะเย่หยานหยูที่ดูเปล่งประกายสดใส งดงามอย่างไร้ที่ติ
ทว่าเย่หยานหยูเหนือกว่าสตรีจำนวนมาก รวมทั้งในด้านความงาม สายตาจึงค่อนข้างสูงส่ง กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ชุดสีเงินก็ยังไม่อาจก้าวก่ายได้ในระยะเวลาสั้นๆ
จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจสถานการณ์เหล่านั้นนัก สิ่งที่ทำให้เขาประหาดใจคือพลังอันแข็งแกร่งของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง
ใจกลางของกลุ่มคนคือเย่หยานหยูและบุรุษหน้าตาดีในชุดสีเงินที่เป็นยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ อัจฉริยะที่เหลือเกินครึ่งก็มีพลังอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
ด้วยพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงของจ้าวเฟิง หากอยู่ในกลุ่มของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างยังนับว่าเป็นชั้นล่างสุด
“ศิษย์น้องเย่ เด็กนี่คือผู้ใด?”
บุรุษหน้าตาดีในชุดสีเงินและคนอื่นๆ หาเรื่องคุยได้ในที่สุด สายตาจ้องมองไปยังร่างของจ้าวเฟิง นัยน์ตาส่องประกายเล็กๆ
บนร่างของจ้าวเฟิงไม่มีกลิ่นอายของสามสำนัก ทำให้พวกเขาคาดเดาไปต่างๆ นานา
อัจฉริยะที่เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงมีตราคำสั่งมรดกของสามสำนัก
“ฮี่ฮี่ ข้าเดาว่าเขาคือเชลยของศิษย์พี่เย่”
เด็กสาวงดงามผู้หนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปข้างกายของจ้าวเฟิง มองขึ้นๆ ลงๆ กระทั่งโลมเลียเรือนผมสีฟ้าของเขาด้วยสายตา
จ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่ คิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กๆ ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไป พลังของกลุ่มสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างนี้ไม่ได้แค่น่ากลัวธรรมดา
ในความรู้ของเขา สิบอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้มีห้าคนมาจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดเองก็มาจากสำนักนี้
“แมวนี่น่ารักอยู่นะ”
เด็กสาวอีกคนยื่นมือไปสัมผัสตัวแมวขโมยตัวน้อย ฝ่ายหลังขยับตัวหนีอย่างเย่อหยิ่ง
“ศิษย์น้องเย่ คนกับแมวนี่เรื่องอันใดกัน?”
สายตาของชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสีเงินส่องประกาย
บุรุษหลายคนมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่เป็นมิตร
ภายใต้การสอบถามของผู้คน เย่หยานหยูได้เอ่ยถึงข้อตกลงของนางกับจ้าวเฟิงอย่างง่ายๆ
“หึ รับมือกับตัวโง่เขลานี่มีอันใดต้องพูดคุย ล้วงความลับของเขาออกมาซะก็สิ้นเรื่อง”
สีหน้าของชายหนุ่มชุดเงินเย็นเยียบ ปราณจิตวิญญาณบนร่างสั่นกระเพื่อม ร่างส่องประกายแสงจันทร์สีเงินยวง แรงกดดันมากมายนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปต้องหายใจติดขัด