บทที่ 412 : ทวีปในตำนาน
“…จับตัวไว้แล้วแล้วสอบสวนความลับออกมาซะก็สิ้นเรื่อง”
นัยน์ตาของบุรุษหน้าตาดีในชุดสีเงินส่อประกายเย็นเยียบ
เขาจงใจส่งแรงกดดันของขั้นนายเหนือแท้ตรงไปยังจ้าวเฟิง ระยะโดยรอบหลายลี้พลันเงียบงันลงในเสี้ยววินาที
“ศิษย์พี่หยูลั่วกล่าวได้ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงที่มาของคนผู้นี้ บางทีอาจเป็นสายลับของสำนักอื่นก็ได้”
“ไม่ใช่คนของสามสำนักทว่ากลับสามารถเข้ามาใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้ ความลับนี้เราต้องสอบถามทรมานมันให้รู้ให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศิษย์บุรุษคนอื่นๆ ก็เอ่ยขึ้นต่อๆ กัน
ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนั้น นอกจากเย่หยานหยูแล้วก็มีบุรุษหน้าตาดีในชุดสีเงินนาม ‘หยูลั่ว’ ที่มีสถานะสูงสุด นำคนทั้งหลาย
“โอ้ นี่คือการต้อนรับของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเช่นนั้นหรือ? คนแซ่จ้าวผู้นี้ได้ยินเย่เซียนจื่อเอ่ยว่าสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเป็นสำนักฝ่ายธรรมะเลื่องชื่อจึงรู้สึกสนใจมากนัก คิดว่าจะให้เย่เซียนจื่อช่วยแนะนำเข้าร่วมสำนัก แต่ตอนนี้คงไม่ดีกว่า”
จ้าวเฟิงเผยสีหน้าผิดหวังรุนแรงออกมา
สีหน้าของบุรุษชุดสีเงิน หยูลั่วและคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป มองไปยังเย่หยานหยู
“ศิษย์พี่หยูลั่ว ข้าและเขาตกลงกันมาก่อนแล้ว ไม่ต้องการให้พวกท่านมาชี้แนะ ความเป็นมาของคนผู้นี้ข้าเองก็พอรู้อยู่บ้าง”
คิ้วงดงามของเย่หยานหยูมุ่นเข้าหากันเล็กๆ
นางไม่ได้มีความตั้งใจจะช่วยเหลือจ้าวเฟิง ทว่าอีกฝ่ายได้เผยถึงข้อตกลงในนามของนางออกไป มันไม่ใช่เรื่องดีหากนางจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง
จะอย่างไรเย่หยานหยูและจ้าวเฟิงก็ได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว หากหยูลั่วและคนอื่นๆ เข้ามายุ่งเกี่ยว ไม่เท่ากับว่าฉีกหน้านางหรือ
“ศิษย์น้องเย่ ในเมื่อเจ้ากับเขาทำข้อตกลงกันแล้ว ข้าย่อมไม่ยุ่งเกี่ยว แต่เพื่อความปลอดภัยของศิษย์ในสำนัก ความเป็นมาของคนผู้นี้ รวมทั้งวิธีการเข้ามาในซากปรักหักพังข้าจำเป็นต้องสอบถาม”
สีหน้าของหยูลั่วผ่อนคลายลงเล็กๆ เปลี่ยนคำว่า ‘สอบสวน’ ไปเป็น ‘สอบถาม’ แทน
“ข้าเข้าใจดี เจ้าเอ่ยถามสิ่งที่ต้องการมาเถอะ”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉย พลิ้วกายลงที่พื้น ทว่าเข้าใกล้พวกเย่หยานหยูอยู่หลายส่วน
ตราบเท่าที่ไม่จำกัดการเคลื่อนไหวของเขา อีกฝ่ายย่อมไม่อาจลงมือกับเขาได้ จะถามสิ่งใดก็ถามมา
หยูลั่วมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กๆ ลอบคิดว่า: หรือเป็นว่าเด็กนี่ไม่หวาดกลัวข้าเลยตั้งแต่ต้น?
ด้วยพลังขั้นนายเหนือแท้ที่แข็งแกร่ง โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงผู้อื่นนั้น มีผู้ใดบ้างที่ไม่หวาดกลัวเขา
นอกจากนั้น ยามที่หยูลั่วส่งแรงกดดันของขั้นนายเหนือแท้ออกมา จ้าวเฟิงก็ราวกับไม่รับรู้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ามาจากที่ใด? เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงได้อย่างไร?”
หยูลั่วเอ่ยถามเข้าเรื่องตรงๆ
“ข้ามาจากทวีปศิลาครามที่กว้างใหญ่ ที่เข้ามาในซากปรักหักพังนี้เป็นเพราะจู่ๆ ได้มีพลังลึกลับฉุดรั้งข้าเข้ามา รวมทั้งแมวนั่นด้วย…”
สีหน้าของจ้าวเฟิงแสดงท่าทีโอ้อวดเย่อหยิ่งอย่างมาก
โดยเฉพาะยามที่เอ่ยถึง ‘ทวีปศิลาคราม’ ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองยิ่งชัดเจน
“ทวีปศิลาคราม? ทวีป?”
“อันใดกัน? เขาบอกว่าเขามาจากทวีปเช่นนั้นหรือ?”
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างรู้สึกตื่นตะลึง
ทวีปคือแผ่นดินในตำนาน
มีเพียงแค่เย่หยานหยูที่มุมปากเหยียดออกอย่างเยาะหยัน สถานการณ์ของจ้าวเฟิงนางได้เข้าใจอยู่บ้างก่อนแล้ว
“ในทวีปที่เจ้าอยู่ สำนักที่มีระดับสูงที่สุดคือกี่ดาว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังฝึกตนในระดับใด?”
หยูลั่วรู้สึกตัว
“เป็นสำนักหนึ่งดาว พลังฝึกตนสูงที่สุดบางทีอาจจะอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีไม่แน่ใจ
“ฮ่า… กบที่ก้นบ่อน้ำ กล้าเรียกสถานที่เช่นนั้นว่าทวีปด้วยหรือ?”
อัจฉริยะจากตำหนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแย้มยิ้ม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจสิ่งใด”
ริมฝีปากของหยูลั่วเหยียดออก ความเหยียดหยามดูถูกบนสีหน้ายิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น
“อันใด? พวกเจ้าทำท่าแบบนี้… หมายความว่าอันใดกัน?”
จ้าวเฟิงแสดงท่าทีสงสัยอย่างมาก
ก่อนหน้าที่สอบถามฉิงเสี่ยวเยว่จากตำหนักเหมันต์ เขาก็ตระหนักได้บ้างแล้วว่าทวีป
บุปผารามของเขาไม่อาจนับเป็น ‘ทวีป’ ได้
ในยามนั้น ฉิงเสี่ยวเยว่กระทั่งเอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยามว่า:”…ดินแดนเกาะเล็กๆ ในบริเวณที่เล็กจ้อย หากจะเอ่ยถึงทวีปก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงกบที่ก้นบ่อน้ำเท่านั้น”
บัดนี้เขาจงใจเอ่ยมันออกมาโดยใช้อีกชื่อหนึ่ง ในทางหนึ่งคือเพื่อยืนยัน อีกทางหนึ่งก็คือเพื่อล่อลวงคนเหล่านี้อย่างจงใจ
ชัดเจนว่า
การคาดเดาของจ้าวเฟิงเป็นความจริง
เมื่อได้ยินจ้าวเฟิงเอ่ยว่าเขามาจาก ‘ทวีป’ อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างเหล่านี้ก็มีท่าทีดูถูกเขาอย่างมาก
“ดินแดนเกาะที่เจ้าจากมามีสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งดาว ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ชัดเจนว่าไม่ใช่ทวีปในตำนาน”
เด็กสาวที่อยู่ข้างเย่หยานหยูรู้สึกขบขัน เอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เชื่อ ชัดเจนว่าข้ามาจากทวีป ข้าเติบโตขึ้นที่ที่นั่นตั้งแต่เด็ก”
จ้าวเฟิงแสร้งแสดงท่าทีสับสนวุ่นวาย ไม่อาจยอมรับความจริงได้
เด็กสาวผงะไปเล็กๆ ก่อนจะแย้มยิ้มขึ้น:”นี่มันธรรมดามาก คนจากดินแดนเกาะหลายแห่งมีความรู้เพียงจำกัด ทำให้คิดว่าดินแดนของตนเป็นทวีป ยามที่เจ้าก้าวเข้าสู่โลกที่แท้จริง เจ้าจะเข้าใจเอง”
“ฮ่าฮ่า ไอ้เด็กโง่จากดินแดนเกาะเล็กๆ เช่นเจ้า สำนักสาขาที่อยู่ในระดับเดียวกับยอดสำนักของเจ้าของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีหลายสำนักยิ่งนัก”
คนของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างหัวเราะออกมา
เหล่าอัจฉริยะต่างมี ‘ความรู้สึกเหนือกว่า’ อยู่ในใจ เผยท่าทีคำพูดดูถูกจ้าวเฟิงออกมา กระทั่งเพิกเฉยเด็กหนุ่มไป
แต่นี่คือความต้องการของจ้าวเฟิง หากคนเหล่านี้ไม่อาจรับรู้ถึงแรงคุกคามของเขาได้ พวกเขาย่อมไม่มีท่าทีไม่เป็นมิตรหรือลงมือกับเขา
“นี่มันอันใดกัน?”
จ้าวเฟิงแสร้งแสดงท่าทีไม่อาจยอมรับความจริง มองหาคำยืนยันจากเด็กสาวที่ดูเป็นมิตรคนนั้น
“ฮี่ฮี่ มหาทวีปอันกว้างใหญ่ได้แตกสลายกลายเป็นฝุ่นนับหมื่นล้าน แต่ละเศษเสี้ยวของฝุ่นเหล่านั้นได้กลับกลายเป็นดินแดนเกาะ นอกดินแดนเกาะคือทะเลอันไร้จุดสิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นทวีปที่เจ้าเอ่ยหรือดินแดนเกาะเทียนหลูของพวกเราต่างก็เป็นเพียงดินแดนเกาะที่เล็กราวกับเมล็ดถั่วบนผืนน้ำอันไร้ที่สิ้นสุด”
เด็กสาวผู้นั้นเอ่ยตอบ
เกี่ยวกับมหาทวีปและตำนานเกี่ยวกับสงครามเทพเจ้า จ้าวเฟิงเองก็พอรู้อยู่บ้าง
ในตำนานโบราณนั้น โลกนี้ได้มีมหาทวีปเพียงหนึ่ง ใจกลางได้ปรากฏความวุ่นวายขึ้น
ในยามนั้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใดในมหาทวีปก็นับว่าเป็นตัวตนในระดับเทพเซียนในยุคสมัยนี้
ตึก ตึก
ยามที่เอ่ยถึง ‘มหาทวีป’ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็เต้นตุบๆ
ด้วยเศษเสี้ยวความฝันในอดีต จ้าวเฟิงตัดสินว่า ‘ดวงตาเทพเจ้า’ ได้มาจากยุคสมัยมหาทวีป
“อดีตได้พังทลาย และเทพบรรพกาลที่ถูกทำลายจนกระทั่งกลายเป็นเศษฝุ่น…”
ยามที่หลอมรวมกับดวงตาเทพเจ้าครั้งแรก เสียงที่ดังขึ้นในสมองของเขาได้เอ่ยถึงรูปแบบของโลกใบนี้
จากนั้น
ภายใต้การอธิบายด้วยความหวังดีของเด็กสาว จ้าวเฟิงจึงเข้าใจถึงสถานการณ์ของต่างแดนและกระทั่งสถานการณ์ของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างขึ้นบ้าง
สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ตำหนักมารจันทรา และตำหนักผาดำต่างก็มาจาก ‘ดินแดนเกาะเทียนหลู’
ดินแดนเกาะนี้ สามยอดสำนักนับเป็นสามยักษ์ใหญ่ สำนักระดับหนึ่งดาวที่อยู่ในการควบคุมมีนับร้อย
อัจฉริยะที่เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงครั้งนี้ได้มาจากสามสำนัก รวมทั้งยอดฝีมือสิบอันดับแรกจากสำนักสาขาของสามยอดสำนัก
หรืออีกนัยหนึ่ง
เบื้องหลังของอัจฉริยะเหล่านี้อย่างน้อยก็อยู่ในระดับของ ‘ลัทธิมารจันทราชาด’ ในอดีต เหนือกว่าสิบยอดสำนักของทวีปบุปผาคราม
ทว่าระดับของสามยอดสำนักเหนือกว่าสิบยอดสำนักของทวีปบุปผาครามมากว่าหนึ่งระดับ
ในโลกใบนี้ สำนักได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าดาว ทุกๆ ความต่างหนึ่งดาวมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
สำนักที่มีระดับมากกว่าหนึ่งดาวมีความแตกต่างมากกว่าสิบเท่า หรือกระทั่งหนึ่งร้อยเท่า
ตัวอย่างเช่นสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างกับสำนักหนึ่งดาวซึ่งเป็นราวกับเจ้านายและข้ารับใช้
“บางทีในทวีปบุปผาคราม ในสายตาของสำนักระดับสองดาวเหล่านี้คงเป็นได้เพียงมดปลวก”
จ้าวเฟิงหลอกลวงคนเหล่านี้ได้สำเร็จ แม้จะจงใจดูถูกตนเอง แต่ในใจยังคงปรากฏความข่มขื่นอยู่
หากไม่ใช่เพราะเขาได้เข้ามาในมรดกต่างแดนนี้ แม้เขาจะมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปีก็คงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าตนเองเป็นเพียงกบที่ก้นบ่อน้ำ
ไม่ช้า
ชายหนุ่มชุดเงิน หยูลั่ว ก็ได้เลิกสอบถามจ้าวเฟิง ชัดเจนว่าหมดความสนใจในตัวอีกฝ่าย
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างได้ส่งคนส่วนหนึ่งไปเสาะหาสมบัติในหุบเขาลึกลับ ส่วนหนึ่งรั้งอยู่ที่เดิม
“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเย่ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ลืมบอกเจ้า”
หยูลั่วพลันจดจำบางสิ่งขึ้นได้
“เรื่องสำคัญ? ในซากปรักหักพังนี้ นอกจากซากวิหารที่ไม่รู้ตำแหน่งแน่นอนในยามนี้แล้วยังมีเรื่องใดอีกที่ทำให้ข้ารู้สึกว่ามันสำคัญ?”
เย่หยานหยูเอ่ยขึ้น
“เป็นซากวิหาร”
สีหน้าของหยูลั่วเย็นชา เอ่ยว่า”ตามที่ศิษย์จากสำนักสาขาบอก ซากวิหารได้ปรากฏขึ้นแล้ว”
“อันใดนะ? ซากวิหารปรากฏขึ้นแล้วหรือ?”
สีหน้าของเย่หยานหยูแปรเปลี่ยนไป บนใบหน้ากระทั่งปรากฏความหงุดหงิดขึ้น
ซากวิหาร?
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น หัวใจก็กระตุกวูบ
เกี่ยวกับ ‘ซากวิหาร’ เขาได้สอบถาม ‘ฉิงเสี่ยวเยว่’ มาก่อนแล้ว ทำให้พอรู้ข้อมูลอยู่บ้าง
ซากวิหารคือแกนกลางของซากปรักหักพังสือเฉิง และทุกครั้งที่ซากปรักหักพังเปิดออกต้องปรากฏขึ้น
มีเพียงแค่การเข้าไปใน ‘ซากวิหาร’ จึงจะสามารถได้ครอบครองแก่นแท้ที่แท้จริงของมรดกนี้
ในทางกลับกัน หุบเขาลึกลับนี้ก็เป็นเพียงแค่สวนดอกไม้นอกคฤหาสน์ที่เก็บสมบัติเอาไว้
“จากประสบการณ์ในอดีต ทุกๆ สิบครั้งที่ซากปรักหักพังสือเฉิงเปิดออก ซากวิหารจึงมีโอกาสปรากฏขึ้นครั้งหนึ่ง ตราบที่ผู้อาวุโสบอก พรสวรรค์รวมทั้งพลังสายเลือดของอัจฉริยะในยามนี้แข็งแกร่งกว่าในอดีต โอกาสที่ซากวิหารจะปรากฏขึ้นจึงมากขึ้น”
เย่หยานหยูเอ่ยยืนยัน นัยน์ตางดงามส่องประกายวูบ ท่าทีไม่เต็มใจ
“พรสวรรค์รวมทั้งสายเลือดของอัจฉริยะของเราโดยรวมแล้วเหนือกว่าในอดีตหลายเท่าตัว โอกาสที่ซากวิหารจะปรากฏขึ้นมีสูง”
“น่าชังยิ่งนัก มีคนเข้าไปในซากวิหารก่อนเราเสียได้”
อัจฉริยะจากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่บริเวณนั้นอดที่จะกัดฟันกรอดไม่ได้ ท่าทีเกลียดชังไม่เต็มใจ
“ผู้ที่เข้าไปในซากวิหารคนนั้นคือผู้ใดกัน? เป็นอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้คนใดจากทั้งสิบ? อย่าได้บอกข้าว่าเป็นศิษย์พี่หลู่ หรือเป็นจงหว่านเอ๋อร์จากตำหนักมารจันทรา?”
เย่หยานหยูไม่อาจยอมรับได้
“ไม่ใช่ ทั้งศิษย์พี่หลู่และจงหว่านเอ๋อร์ยังคงอยู่ในเขตปกติของซากปรักหักพัง คนผู้นั้นอาจไม่ใช่คนใดในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้”
“ผู้ใดกัน? กระทั่งสามารถเข้าไปในซากวิหารได้ก่อนสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้?”
เย่หยานหยูมีท่าทีประหลาดใจไม่อยากเชื่อ
เพราะการปรากฏขึ้นของซากวิหารส่วนมากมักจะมีเป้าหมายชัดเจน
ตัวอย่างเช่นเมื่อซากปรักหักพังเปิดออก อัจฉริยะที่เข้ามาแม้มีพรสวรรค์ธรรมดาทั่วไป แต่หากอัจฉริยะผู้นั้นเหมาะสมต่อมรดกของ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ซากวิหารก็จะปรากฏขึ้น
จากการยืนยัน
ผู้ที่เข้าไปในซากวิหารไม่ใช่ผู้ใดในสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้
“คนผู้นั้นแม้ว่าจะเข้าไปในซากวิหารก่อน แต่เราก็ยังมีโอกาส”
จ้าวเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้น
“ซากวิหารจะปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งในทุกๆ สิบครั้งที่ซากปรักหักพังสือเฉิงเปิดออก แต่เมื่อซากปรักหักพังเปิดออกแล้ว โอกาสที่ซากวิหารจะปรากฏเป็นครั้งที่สองจะลดลงเป็นหนึ่งในร้อยส่วน”
เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหดหู่
“เช่นนั้นก็นับว่าพลาดซากวิหารไปแล้วหรือ?”
จ้าวเฟิงรู้สึกผิดคาดเล็กๆ เหตุผลที่เขาแทรกซึมเข้ามาในสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมีเป้าหมายในระยะยาวคือการหาวิธีเข้าไปในซากวิหาร