บทที่ 413 : หอคอยพฤกษาปีศาจ
“ใช่ ไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าเลย กระทั่งพวกเราก็มีโอกาสไม่มาก”
หยูลั่วเหลือบมองจ้าวเฟิงเล็กๆ ไม่ปิดบังความเหยียดหยามดูถูกที่มีเลยแม้แต่น้อย
ในใจของเขาลอบเค้นเสียง: การมาของซากวิหารนั้นมีจุดมุ่งหมายอยู่ หากไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นของรุ่น แม้จะโชคดีสามารถเข้าไปได้ก็ไม่อาจได้ครอบครองมรดก
แต่ในสายตาของเขา
จ้าวเฟิงเป็นเพียงเด็กบ้านนอกผู้หนึ่ง ทว่ากลับหวังสูงจะเข้าไปใน ‘ซากวิหาร’ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเช่นคางคกที่หวังจะกินเนื้อหงส์
“โอกาสหนึ่งในร้อยส่วน ค่อนข้างต่ำ”
จ้าวเฟิงพึมพำอยู่ในใจ ทว่าไม่นานก็กลับไปเยือกเย็น
บางสิ่งนั้นได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจได้ครอบครอง จ้าวเฟิงเองก็ไม่ดื้อดึง
การเดินทางครั้งนี้เขาก็ได้มาหลายสิ่งแล้ว แม้จะไม่ได้เข้าไปใน ‘ซากวิหาร’ แต่รอบๆ ซากปรักหักพังก็ยังคงมีโอกาสดีอยู่ เมื่อเทียบกับมรดกต่างแดนทั่วไปแล้วยังแข็งแกร่งกว่า
บนใบหน้างดงามของเย่หยานหยูได้ปรากฏความไม่เต็มใจขึ้น ฟันขาวขบกันแน่น”แม้จะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วน ข้าก็จะไม่ยอมแพ้!”
ฝูงชนได้ตกลงสู่ความเงียบงันไปชั่วขณะ
สำหรับผู้คนแล้ว พวกเขาได้หมดความคาดหวังในซากวิหารไปแล้ว นอกจากเย่หยานหยูก็มีอีกไม่กี่คนที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
จ้าวเฟิงเป็นคนหนึ่งที่มีท่าทีไร้ความรู้สึก
“ทุกคนเตรียมตัว”
หยูลั่วเริ่มจัดการกำลังคน กำลังจะค้นหาทรัพยากรในหุบเขาลึบลับ
ในหุบเขาลึกลับได้ปรากฏกลิ่นอายเก่าโบราณ มีสัตว์อสูรล้ำค่าหลากหลาย รวมทั้งวัสดุโบราณล้ำค่า
ในเวลาเดียวกัน
ฟุ่บ วูบ วูบ
ม่านหมอกสีดำหนาก็ได้เข้ามาในหุบเขาลึกลับ ส่งแรงกดดันโหดเหี้ยมหดหู่ของขั้นนายเหนือแท้ออกมา
“ศิษย์พี่โม่ก่าน!”
“ฮ่าฮ่า… ในที่สุดกำลังเสริมก็มาถึง”
พวกชื่อกุ้ยจากตำหนักผาดำเผยสีหน้ายินดีออกมา มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท่ามกลางหมอกสีดำนั้นได้ปรากฏร่างขึ้นสิบร่าง ทั้งหมดเต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่ร้ายกาจ ต่างเป็นกำลังเสริมของตำหนักผาดำ
ใจกลางหมอกสีดำนั้นคือชายหนุ่มที่ร่างกายผอมแห้งราวซากศพ ผิวกายทั่วร่างส่องประกายสีเงินหดหู่ ส่งกลิ่นอายโหดเหี้ยมมืดมนออกมาอย่างหนาแน่น เมื่อมองไปแล้วก็ให้ความรู้สึกราวกับอีกฝ่ายคือซากศพเดินได้
“โม่ก่าน? ไอ้ซากศพนั่นก็มา!”
ชายหนุ่มในชุดสีเงิน หยูลั่วใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ อันดับของโม่ก่านเหนือกว่าเขา ติดหนึ่งในห้าอันดับแรก
สิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้หลายคนที่อยู่ในหุบเขานี้ นอกจากเย่หยานหยูแล้วอาจไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
การมาถึงของ ‘โม่ก่าน’ ได้ทำให้ความแข็งแกร่งของตำหนักผาดำเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน คนต่างมีท่าทีเย่อหยิ่งขึ้นมา
“อัจฉริยะในขั้นนายเหนือแท้มาถึงสองคน นี่เกือบจะเป็นกำลังทั้งหมดของตำหนักผาดำแล้วหรือ?”
มุมปากของเย่หยานหยูเผยรอยยิ้มบางอย่างยินดี
แม้ว่าตำหนักผาดำจะมีกำลังสนับสนุนมา แต่ความแข็งแกร่งของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างก็ยังคงเหนือกว่าอยู่ในระดับหนึ่ง
จ้าวเฟิงลอยอยู่เหนือผา มักจะใช้ดวงตาเทพเจ้าสังเกตสถานการณ์ในหุบเขาลึกลับอยู่บ่อยครั้ง
ผลคือ
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองของตำหนักผาดำ ‘โม่ก่าน’ และ ‘ชื่อกุ้ย’ ร่วมมือกับชายหนุ่มชุดสีเลือดจากตำหนักมารจันทรา ช่วยกันแย่งชิงทรัพยากรในหุบเขา
จะอย่างไร นอกจากซากวิหารแล้ว ทรัพยากรในหุบเขาลึกลับนี้ก็มีมากมายเหนือกว่าพื้นที่อื่น
“สหายจากตำหนักมารจันทรา พวกเราต่างมีศัตรูร่วมเป็นสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ความแข็งแกร่งของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างยังมีไม่ถึงครึ่ง ควรต้องร่วมมือกันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…”
น้ำเสียงแหบต่ำของชื่อกุ้ยได้ทำให้บรรยากาศหดหู่ลงเล็กๆ
ศิษย์พี่โม่ก่านมีรูปลักษณ์ราวกับซากศพ ใบหน้าแห้งเหี่ยว ไม่อาจล่วงรู้สีหน้าของเขาได้
แต่ชัดเจนว่าคนที่แข็งแกร่งเช่นเขายังคงต้องการการร่วมมือ
“นั่นก็เหมือนเช่นปกติ”
ชายหนุ่มชุดสีเลือดไม่รู้สึกแปลกใจ
ตั้งแต่วินาทีที่ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ เปิดออก มีเพียงแค่สองสำนักร่วมมือกันจึงจะมีโอกาสต่อต้านสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างได้
จะอย่างไรระดับของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างก็สูงถึงระดับสองดาวครึ่ง!
สองดาวและสองดาวครึ่ง แม้ว่าจะต่างกันเพียงครึ่งดาว พลังโดยรวมกลับแตกต่างอย่างมหาศาล เหมือนกับความแตกต่างระหว่างลัทธิโลหะเลือดและสิบยอดสำนักของทวีป
หากไม่ใช่เพราะ ‘ตำหนักมารจันทรา’ เกือบจะอยู่ในระดับสองดาวครึ่งและ ‘ตำหนักผาดำ’ อาจเรียกได้ว่าเป็นสำนักระดับสองดาวที่แข็งแกร่ง การร่วมมือของทั้งสองคงไม่อาจทำให้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างได้
อีกสุดขอบของหุบเขา
“ออกตัว!”
หยูลั่วจัดการกองกำลัง ออกค้นหาทรัพยากรล้ำค่าหายากใกล้กับถ้ำที่เย่หยานหยูฟื้นตัว
เย่หยานหยูเองก็ยังต้องการเวลาฟื้นตัวอีกสองวันจึงจะนับว่าสมบูรณ์พร้อม แต่หากมีวิกฤต นางก็สามารถออกไปช่วยเหลือศิษย์ฝั่งเดียวกันได้อย่างรวดเร็ว
“เย่เซียนจื่อ พลังฝึกตนของท่านลึกล้ำนัก ในซากปรักหักพังนี้อาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งที่สุด คงไม่ต้องการให้ข้าคอยเป็นคนคุ้มกันกระมัง?”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสนอเพื่อที่จะเคลื่อนไหวคนเดียว
ตามข้อตกลง จ้าวเฟิงไม่อาจออกห่างเย่หยานหยูได้เกินสามลี้
ในเมื่อซากวิหารนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง จ้าวเฟิงเองก็เริ่มมีความคิดที่จะ ‘หาของคนเดียว’ ขึ้น
สุดท้ายแล้วมันก็ได้ถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดโดยเย่หยานหยู
“หากเจ้าต้องการที่จะเคลื่อนไหวต้องอยู่ใกล้ข้าหรือไม่ก็ศิษย์พี่หยูลั่ว”
นัยน์ตางดงามของเย่หยานหยูปรากฏประกายเย็นเยียบพาดผ่าน ราวกับกำลังเอ่ยเตือนจ้าวเฟิง
นางต้องการล่วงรู้ถึงความสามารถของจ้าวเฟิงให้มากกว่านี้ เช่นเดียวกับหยูลั่วและคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มองข้ามจ้าวเฟิงไปเสียหมด
ความตื่นตัวของเย่หยานหยูได้ทำให้แผนการที่จะไปค้นหาทรัพยากรคนเดียวของจ้าวเฟิงต้องเลื่อนออกไปชั่วคราว
“อย่าเพิ่งลนลาน”
จ้าวเฟิงตระหนักอยู่ในใจอย่างชัดเจน หาถ้ำที่ห่างออกไปสองลี้นั่งขัดสมาธิ
ในขณะที่เย่หยานหยูฟื้นตัว เขาเองก็ต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในการเสริมพลังขั้นสุดท้ายให้กับ ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’
“ก้ามของแมงป่องยักษ์ ผลึกกระดูกมารหยิน”
จ้าวเฟิงนำวัสดุทั้งสองออกมา
ขั้นแรก
เด็กหนุ่มใช้ผลึกกระดูกมารหยินกับหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของมัน
หลังจากครึ่งวัน
ผลึกกระดูกมารหยินก็ได้ถูกจ้าวเฟิงบดจนเป็นผง หลอมรวมเข้ากับหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬอย่างสมบูรณ์
จ้าวเฟิงเพ่งตามอง ผิวกายของหุ่นเชิดศพทั้งสองได้ส่องประกายสีเงินดำ ไม่ได้ให้ความรู้สึกหยาบกระด้างเช่นก่อนหน้า
“อืม ระดับพลังของหุ่นเชิดศพและความแข็งของมัน โดยเฉพาะพลังโจมตีของมันได้พัฒนาขึ้นเล็กๆ”
เด็กหนุ่มผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
จ้าวเฟิงใช้ก้ามแมงป่องยักษ์เสริมเข้าไปยังเขี้ยวเล็บของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ
การตัดแต่งในบัวดำนั้น แม้จะใช้ดวงตาเทพเจ้าในการควบคุม ความยากก็ยังคงมหาศาล
แต่จ้าวเฟิงจำเป็นต้องระมัดระวังเพื่อที่จะหลบเลี่ยงการเผยไพ่ที่ทรงพลังทั้งสองในมือออกไป
ในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มก็พยายามที่จะทำความเข้าใจรายละเอียดภายใน ‘วิชาเชิดศพหกจักรพรรดิ’
‘วิชาเชิดศพหกจักรพรรดิ’ นั้นควรค่าแล้วที่ถูกเรียกว่าเป็นวิชาชั้นจิตวิญญาณระดับสุดยอด มันเหนือกว่า ‘มรดกอัสนี’ และ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งแรกก็เต็มไปด้วยวิธีการอันแยบยลในศาสตร์แห่งซากศพจำนวนมาก พื้นฐานวิชาส่วนมากจำเป็นต้องได้รับการทำความเข้าใจเป็นพิเศษ
ในเสี้ยวพริบตา เวลาราวๆ สองวันได้ผ่านพ้นไป
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองของจ้าวเฟิงได้ถูกติดเขี้ยวเล็บเรียบร้อย
เขี้ยวเล็บของหุ่นเชิดศพทั้งสองได้ถูกเสริมด้วยก้ามแมงป่องยักษ์ ความแหลมคมมากขึ้น ทั้งพิษของแมงป่องยักษ์ รวมทั้งพิษของเห็ดอินตู๋ยังช่วยส่งเสริมมันขึ้นไปอีก
“พลังโจมตีของหุ่นเชิดศพทั้งสองของข้า เมื่อเทียบกับหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้สองตัวของชื่อกุ้ยแล้วคงไม่ด้อยกว่ามากนัก หากเสริมด้วยพิษที่น่าหวาดกลัวของแมงป่องยักษ์ ความอันตรายของมันก็น่าพรั่นพรึงแล้ว”
จ้าวเฟิงพึงพอใจ
ดังนั้น
แผนการเสริมความแข็งแกร่งให้หุ่นเชิดศพของเขาจึงเสร็จสมบูรณ์
ยามที่จ้าวเฟิงออกไปก็พบว่าสถานการณ์ในหุบเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ฝ่ายตำหนักมารจันทราได้มีบุตรสาวที่สวรรค์รักใคร่อีกคน มีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงปรากฏตัวขึ้น
จงหว่านเอ๋อร์และเย่หยานหยูติดหนึ่งในสามอันดับแรกของสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกัน
“นังแม่มดนี่มาเสียได้”
ไม่นานหลังจากที่เย่หยานหยูออกมาก็ค้นพบถึงการมาเยือนของ ‘จงหว่านเอ๋อร์’ จากตำหนักมารจันทรา
สถานการณ์ในยามนี้
จ้าวเฟิงย่อมทำเพียงเฝ้ามอง ยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากเท่าใด เขาก็ยิ่งสามารถหาโอกาสและผลประโยชน์แก่ตนเองได้มากขึ้น
“เราไปด้วยกัน”
เย่หยานหยูเค้นเสียงเย็น นำจ้าวเฟิงไปค้นหาทรัพยากรในหุบเขาลึกลับ
ในยามนี้ ส่วนลึกของหุบเขาลึกลับหลายแห่งได้ถูกขุดค้นจนหมดแล้ว
โดยเฉพาะในถ้ำของแมงป่องยักษ์โบราณก่อนหน้าที่ถูกค้นหาจนแทบพลิกแผ่นดิน
“ศิษย์น้องเย่! ใจกลางหุบเขามี ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ อยู่ พลังต่อสู้ของมันเข้าใกล้ระดับของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด! ตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำร่วมมือกันพยายามที่จะจู่โจมมันอยู่”
สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างส่งสัญญาณ
“หอคอยพฤกษาปีศาจ! ตำหนักมารจันทรากับตำหนักผาดำกล้าที่จะจู่โจมสัตว์ประหลาดระดับนั้นด้วยหรือ”
ใบหน้างดงามของเย่หยานหยูปรากฏความประหลาดใจขึ้น
ในซากปรักหักพังสือเฉิงได้มีสัตว์ปีศาจที่น่าหวาดกลัวยิ่งนักอยู่ แม้จะเป็นขั้นนายเหนือแท้ไปพบเจอ ส่วนมากก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
แต่ ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ที่อยู่ในใจกลางหุบเขาลึกลับนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
จากการค้นหาก่อนหน้า อัจฉริยะจากสามยอดสำนักได้ค้นพบหอคอยพฤกษาปีศาจ แต่ด้วยกลิ่นอายที่น่าพรั่นพรึงของมันได้ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
“หอคอยพฤกษาปีศาจ?”
จิตใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก ดวงตาเทพเจ้าของเขาย่อมค้นพบสิ่งมีชีวิตที่น่าพรั่นพรึงนี้แล้ว
ความจริงแล้ว
ในหุบเขาลึกลับมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวอย่างน้อยสามสี่ตัว
‘แมงป่องยักษ์โบราณ’ ก่อนหน้าก็เป็นหนึ่งในสี่ตัวนั้น แต่มีระดับต่ำที่สุด
แต่ในยามนั้น หากไม่ใช่เพราะแมงป่องยักษ์โบราณดึงดันในการป้องกันอยู่หน้าถ้ำและระมัดระวังมากเกินไป แม้จะเป็นสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้และคนอื่นๆ ร่วมมือกันก็ยังยากที่จะเอาชนะได้
“หอคอยพฤกษาปีศาจในหุบเขาลึกลับถือว่าเป็นอันดับสอง พลังต่อสู้แทบจะเทียบเคียงได้กับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่อันดับหนึ่งนั้นได้จำศีลอยู่ใต้ดิน นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
ในส่วนลึกของป่าในหุบเขา ต้นไม้ขนาดใหญ่โตราวกับหอคอย สูงหลายร้อยจ้าง พุ่มไม้ใบไม้หนาทึบ ไอสวรรค์ที่หล่อหลอมมันมายาวนานกว่าหมื่นปีได้ทำให้เปลือกไม้กิ่งก้านของมันไฟน้ำไม่อาจกล้ำกราย กระทั่งอาวุธวิเศษยังยากที่จะทำลายการป้องกันของมันได้
ครืนน
หอคอยพฤกษาปีศาจส่งแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ออกมา คลื่นสีเขียวอ่อนจางน่าพรั่นพรึงกวาดออกไปในระยะสี่ห้าลี้ในเสี้ยววินาที ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปในบริเวณนั้นตัวสั่นสะท้าน
ในเวลาเดียวกัน รากที่หนาราวกับถังน้ำแทรกอยู่ตามพื้นดินมักจะพุ่งออกมาจู่โจมและสร้างแผ่นดินไหว
จ้าวเฟิงมองไปยังคลื่นอากาศสีเขียวอ่อนที่มีพลังแปลกประหลาดอยู่ภายใน สามารถกัดกร่อนเลือดเนื้อได้ ในระยะสี่ห้าลี้รอบตัวมันปรากฏซากศพโครงกระดูกกองสุมกันอยู่
พลังในการกัดกร่อนนั้นไม่ส่งผลต่อพืชพรรณใกล้ๆ มันกระทั่งช่วยหล่อเลี้ยงพวกมัน
“พลังธาตุไม้!”
รูม่านตาของจ้าวเฟิงหดเล็กลงเล็กๆ มรดกอัสนีของตนเองนับว่าค้นพบธาตุขั้วตรงข้ามในที่สุด
พลังสายฟ้านั้นมีพลังทำลายที่อาจกล่าวได้ว่าน่าพรั่นพรึง เหนือกว่าวิชาธาตุอื่นๆ ส่วนมาก โดยเฉพาะธาตุวิญญาณ
ทว่าในโลกใบนี้ไม่มีพลังธาตุอันเป็นที่สุด
ตัวอย่างเช่นพลังธาตุไม้ของ ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ ที่สามารถต่อต้านพลังสายฟ้าได้ โชคดีที่จ้าวเฟิงไม่ได้ฝึกฝนในธาตุสายฟ้าโดยตรง แก่นแท้ที่แท้จริงของเขาคือศาสตร์แห่งจิตวิญญาณโบราณ
“เย่เซียนจื่อ เหตุใดจึงต้องไปวุ่นวายกับปีศาจต้นไม้นี่ด้วย มันมีประโยชน์อันใดหรือ?”
จ้าวเฟิงถอยหลังไปเล็กๆ
“ความแข็งแกร่งของหอคอยพฤกษาปีศาจนั่นเทียบได้กับ ‘ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด’ หากสามารถจัดการลงได้ ทั่วทั้งร่างของมันก็นับได้ว่าเป็นวัสดุล้ำค่า มูลค่าเหนือกว่าแมงป่องยักษ์โบราณนับสิบเท่า ในร่างของปีศาจต้นไม้นั่นได้มี ‘แก่นแท้วิญญาณพฤกษา’ ปรากฏขึ้นแล้ว มันสามารถขยายดวงวิญญาณ กระทั่งผู้สูงศักดิ์ที่เข้าใกล้ขอบเขตปราณเทวะยังมีประโยชน์อยู่ในระดับหนึ่ง สำหรับขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงของเราย่อมมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมาก”
“นอกจากนั้น ต้นไม้ปีศาจนั่นยังมี ‘ผลปีศาจพฤกษา’ อยู่ แต่ล่ะผลมีพลังชีวิตและแก่นแท้วิญญาณฟ้าดิน ทำให้ผู้กินราวกับถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในช่วงเวลาวิกฤตอาจช่วยชีวิตคนได้ มีผลเช่นเดียวกับ ‘ผลโลหิต’ ในการเพิ่มพลังฝึกตนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งพลังของมันยังสามารถดูดซึมได้ง่าย…”