บทที่ 414 : จงหว่านเอ๋อร์
เมื่อเอ่ยถึงวัสดุที่จะได้จาก ‘หอคอยพฤกษาปีศาจ’ กระทั่งอัจฉริยะในขั้นนายเหนือแท้ผู้ไร้คู่ต่อสู้อย่างเย่หยานหยูยังมีความสนใจคาดหวังอย่างมาก
‘แก่นแท้วิญญาณพฤกษา’ และ ‘ผลปีศาจพฤกษา’ ของหอคอยพฤกษาปีศาจเองก็มีความสามารถในการบำรุงอย่างมาก ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสามารถมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้
“หากข้าได้ครอบครอง ‘แก่นแท้วิญญาณพฤกษา’ พลังวิญญาณของข้าคงเข้าสู่ขีดจำกัดของขั้นนายเหนือแท้ ทั้งขอบเขตจิตวิญญาณยังอาจสัมผัสระดับของผู้สูงศักดิ์ได้ ในยามนั้น ด้วยสายเลือดดวงตาของข้าคงสามารถอาละวาดไปทั่วได้กระมัง?”
ใจของจ้าวเฟิงเต้นรัว
แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วกลับรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก
ยอดฝีมือจำนวนมากของสามสำนักร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะหอคอยพฤกษาปีศาจได้
แม้จะสามารถฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจได้อย่างยากลำบาก จ้าวเฟิงเองก็ยังยากที่จะได้ครอบครอง ‘แก่นแท้วิญญาณพฤกษา’
อาจกล่าวได้ว่า
แม้จ้าวเฟิงจะได้ครอบครอง ‘แก่นแท้วิญญาณพฤกษา’ แต่หากไม่มีเวลาอย่างน้อยครึ่งปีหรือหลายเดือนก็ยากที่จะดูดกลืนพลังของมันเข้าไปได้หมด หากจะรอจนถึงยามนั้น เวลาที่ซากปรักหักพังเปิดออกก็คงสิ้นสุดแล้ว
นอกจากนั้น สิ่งนี้เป็นของในระดับขอบเขตแก่นก่อกำเนิด อาจทำให้เสียเปล่าไปได้ อย่างน้อยต้องมีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจึงจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างแท้จริง
“ความจริงแล้วผลไม้นั่นสามารถใช้ฟื้นฟูพลังชีวิตได้ ทั้งยังสามารถเสริมสร้างเปลี่ยนแปลงร่างกาย ทำให้พลังฝึกตนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนกับการผสมผสานกันระหว่างหญ้าคืนชีวิตและผลโลหิต”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงลอบมองจากที่ห่างออกไป พบว่า ‘ผลปีศาจพฤกษา’ บนหอคอยพฤกษาปีศาจมีราวๆ 5-6 ผล
ในด้านของพลัง ผลปีศาจพฤกษาด้อยกว่าหญ้าคืนชีวิตและผลโลหิต ทว่ามันมีผลสองแบบ ทั้งยังสามารถดูดกลืนเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย ไม่เหมือนกับผลโลหิตที่มีพลังรุนแรง
ทว่า
บนหอคอยพฤกษาปีศาจมีผลปีศาจพฤกษาอยู่เพียง 5-6 ผลเท่านั้น
แต่อัจฉริยะจากสามสำนักมีคนมากถึง 30-40 คน ทั้งจำนวนของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ก็มีถึงหก
โดยปกติแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สามารถครอบครองได้คนล่ะผล หากสามารถฆ่าหอคอยพฤกษาปีศาจได้จริงๆ ด้วยพลังของขั้นนายเหนือแท้ย่อมสามารถแย่งชิงมาได้ 1-2 ผล
ฟุ่บ ฟุ่บ
เย่หยานหยูและจ้าวเฟิงพุ่งตรงไปยังหอคอยพฤกษาปีศาจที่อยู่ห่างออกไป 4-5 ลี้อย่างรวดเร็ว
ครืนนน
หอคอยพฤกษาปีศาจส่งเสียงคำรามต่ำ ระลอกคลื่นสีเขียวอ่อนจางกวาดออกในระยะ 4-5 ลี้
ในเสี้ยวพริบตา สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็ได้ถูกคลื่นสีเขียวนั้นครอบคลุม ผืนป่าได้รับการหล่อเลี้ยง ส่องแสงสีเขียวออกมา
แต่เมื่อมันเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตอื่นมันก็คล้ายกับเป็นน้ำกรดที่กัดกร่อน หลอมละลายผู้คนราวกับหินหลอมเหลว
ระลอกคลื่นสีเขียวอ่อนนั้นถือเป็นยาชูกำลังสำหรับผืนป่าใกล้เคียง ทว่าเมื่อเข้าใกล้สิ่งมีชีวิตอื่นกลับกลายเป็นพิษร้ายแรง
เมื่อจ้าวเฟิงเข้าไปใกล้มันก็รู้สึกว่าเลือดเนื้อของตนเองราวกับถูกกัดกร่อน พลังชีวิตราวกับไหลออกจากร่างอย่างช้าๆ
“เป็นปีศาจต้นไม้ที่น่าหวาดกลัวนัก ผู้ฝึกตนในขั้นมนุษย์แท้ทั่วไปแม้ยังไม่ได้เข้าใกล้ก็คงตายตกแล้ว”
จ้าวเฟิงค้นพบว่าตนเองยังคงประเมินความน่ากลัวของหอคอยพฤกษาปีศาจต่ำเกินไป
ครืนนน
จ้าวเฟิงนำสามปทุมออกมาก่อนจะขึ้นไปยืนด้านใน กลีบดอกงดงามของมันส่องแสงสีเขียวออกมา
“หืม?”
จ้าวเฟิงค้นพบว่าพลังป้องกันของสามปทุมต่อคลื่นแสงสีเขียวนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง
แต่เดิม
วัสดุของสามปทุมนั้นทำมาจากพืช ทั้งยังสามารถปลดปล่อยฉีเซียงสามชนิดออกมาได้
ดังนั้นแล้ว สามปทุมจึงมีพลังป้องกันต่อการกัดกร่อนของการโจมตีธาตุไม้อย่างมาก กระทั่งได้รับผลการ ‘ส่งเสริม’ เล็กๆ
เย่หยานหยูเหลือบมองอย่างตื่นตะลึงเล็กๆ ตัวนางไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งใดก็สามารถรับมือกับคลื่นแสงสีเขียวนั้นได้อย่างง่ายดาย
ร่างของหญิงสาวปรากฏแสงจันทร์ส่องสว่าง สร้างภาพงดงามน่าหลงใหลราวกับเทพธิดาแห่งจันทรา ทำให้ผู้อื่นต้องรู้สึกด้อยค่า
เมื่อปราณพิษธาตุไม้เหล่านั้นเข้ามาใกล้ร่างของเย่หยานหยูก็จะถูกชำระล้างและระเหยหายไปด้วยแสงจันทร์ ฝุ่นผงไม่อาจกล้ำกราย
“ควรค่าแล้วที่มีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง”
จ้าวเฟิงลอบถอนใจอย่างสะเทือนใจ
ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาและเย่หยานหยูต่างกันไม่มากนัก ทว่าพลังฝึกตนกลับแตกต่างกันอย่างมาก
ดังนั้นแล้ว เย่หยานหยูจึงไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นก็สามารถเข้าไปในแดนต้องห้ามรอบหอคอยพฤกษาปีศาจได้อย่างง่ายดาย
“ทุกคนระวังด้วย อย่าได้เข้าใกล้ระยะโจมตีของพุ่มไม้ของเจ้าปีศาจต้นไม้นั่น”
“ให้หุ่นเชิดศพดึงความสนใจจากปีศาจต้นไม้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าได้ลงไปบนพื้น”
“รากของมันให้ตำหนักมารจันทราใช้พลังศาสตร์แห่งโลหิตกัดกร่อน”
ยามที่เย่หยานหยูและจ้าวเฟิงมุ่งหน้าไป ตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำก็ได้รับมือกับหอคอยพฤกษาปีศาจอยู่ก่อนแล้ว
ระยะหนึ่งลี้โดยรอบของหอคอยพฤกษาปีศาจคือระยะโจมตีของพุ่มไม้ ในยามนี้บนพื้นได้ปรากฏศพของอัจฉริยะจากทั้งสองสำนักอยู่ 4-5 ศพแล้ว
“ศิษย์น้องเย่ ในที่สุดเจ้าก็มา”
หยูลั่วและคนอื่นๆ จากสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างมารวมตัวกับเย่หยานหยู”
ยามที่หยูลั่วเห็นจ้าวเฟิงคิ้วก็มุ่นเข้าหากันเล็กๆ เอ่ยพึมพำว่า”จะนำตัวถ่วงมาเพื่ออันใดกัน?”
สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง รวมทั้งศิษย์อีก 7-8 คนรวมตัวกัน
เมื่อคนเหล่านี้มาถึงก็ย่อมดึงดูดความสนใจของตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำ ทำให้พวกเขาหยุดการโจมตีไป
“ศิษย์พี่เย่ ตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำได้ลองจู่โจมดูครั้งหนึ่งแล้ว แต่ล้มเหลว…”
ศิษย์สตรีผู้หนึ่งเอ่ยอธิบายสถานการณ์ก่อนหน้า
จ้าวเฟิงฟังคำอธิบาย เปิดดวงตาเทพเจ้ามองทำให้เข้าใจถึงความสามารถของหอคอยพฤกษาปีศาจอย่างชัดเจน
อย่างแรก
รากของหอคอยพฤกษาปีศาจใหญ่โตอย่างมาก แพร่กระจายไปในดินไกลหลายลี้ ทั้งมันยังสามารถจู่โจมได้
ดังนั้นแล้วพื้นบริเวณใกล้ๆ จึงไม่อาจยืนได้ หรือมิเช่นนั้นจะถูกรากรัดพันและกลายเป็นปุ๋ยให้สัตว์ประหลาดนั่นไปอย่างง่ายดาย
จากนั้น
ไม่อาจเข้าใกล้หอคอยพฤกษาปีศาจได้
พุ่มไม้หนายาวของหอคอยพฤกษาปีศาจนั่นมีพลังมหาศาล หากถูกโจมตีเข้าตรงๆ กระทั่งขั้นนายเหนือแท้ก็ต้องสิ้นชีพ มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ที่ฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะเท่านั้นจึงจะสามารถรับมือได้
ตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำใช้แผน ‘การโจมตีกลางเวหา’
อัจฉริยะจากตำหนักผาดำใช้หมอกวิญญาณครอบคลุมอัจฉริยะทั้งหมดที่เข้าต่อสู้ ใช้หมอกวิญญาณเหล่านั้นป้องกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งยังสามารถรับรู้การโจมตีของหอคอยพฤกษาปีศาจได้ในระดับหนึ่ง
“เย่หยานหยู เจ้ามาพอดี หากพวกเราทั้งสามสำนักร่วมมือกันย่อมมีโอกาสเอาชนะต้นไม้ปีศาจยักษ์นี่ได้”
น้ำเสียงอ่อนหวานของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้นราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
ศิษย์บุรุษบางคนในยามนี้จิตใจเหม่อลอย เสียงนั้นราวกับสามารถหลอมละลายกระดูกของผู้คนได้
เด็กสาวงามล้ำผู้หนึ่งลอยมาจากทางฝั่งตำหนักมารจันทรา หน้าผากมีสัญลักษร์จันทร์เสี้ยวสีดำสนิทอยู่ เรือนผมสีม่วงพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลม ราวกับเทพธิดาแห่งสายลมรัตติกาล
เด็กสาวอยู่ในอาภรณ์สีแดงอ่อน เผยให้เห็นเรียวขาขาวสะอาดราวหยก ผิวเนื้อที่หัวไหล่บางแดงซ่านเล็กๆ ทั้งยังใส่กระจ่างราวกับหยาดน้ำค้างให้ความรู้สึกวาบหวาม ทุกรอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าลุ่มหลง ราวกับดอกบัวแห่งราคะที่แพร่กระจายกลิ่นหอมลึกลับออกมา
เด็กสาวผู้นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นบุปผาอันไร้ที่ติ ทว่ากลับให้ความรู้สึกลึกลับร้ายกาจออกมา ทำให้ผู้คนอยากจะเรียกขานว่า ‘สตรีปีศาจ’ หรือ ‘แม่มด’
จ้าวเฟิงไม่ต้องถามก็รู้ว่าสตรีผู้นี้คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักมารจันทรา จงหว่านเอ๋อร์
นอกจากนั้น นางยังไม่ได้ฝึกฝนในศาสตร์แห่งโลหิต แต่เป็นศาสตร์แห่งมารบริสุทธิ์ ปราณมารจันทรา
ปราณมารจันทราของนางกับปราณจันทร์กระจ่างของเย่หยานหยูอาจกล่าวได้ว่าคานอำนาจกันพอดี
จุดเด่นของสตรีทั้งสองนับว่าตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ในยามนี้
น้ำเสียงของจงหว่านเอ๋อร์ได้มีพลังสะกดจิตให้ลุ่มหลงอยู่ โดยเฉพาะศิษย์บุรุษทั้งหลายที่ร่วงหล่นลงสู่ห้วงภวังค์ ราวกับเดินเข้าไปในดินแดนแห่งความฝัน ไม่อาจที่จะหลุดออกมาได้
คนส่วนมากของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างได้ตกลงสู่ห้วงภวังค์ รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ หยูลั่ว ที่ดวงตาไร้ประกาย
“หึ”
เย่หยานหยูเค้นเสียงเย็น น้ำเสียงใสกระจ่างราวกับบทเพลงแห่งธรรมชาติได้ทำลายพลังสะกดจิตนั้นไป
ศิษย์บุรุษบางคนหลุดออกจากความฝันในทันที ใบหน้าแดงซ่าน
น้ำเสียงของจงหว่านเอ๋อร์งดงามประณีต ทุกการเคลื่อนไหวใบหน้าเต็มไปด้วยพลังสะกดที่ไม่อาจอธิบายได้ มันไม่ใช่เสน่ห์ทั่วไป
ในยามนั้น ความรู้สึกอารมณ์ส่วนลึกของคนทั้งหมดก็ได้ถูกควบคุม
รวมทั้งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้หยูลั่วที่ได้รับผลจากพลังของจงหว่านเอ๋อร์
ในที่แห่งนั้น มีเพียงเย่หยานหยูและจ้าวเฟิงที่ไม่ได้รับผลกระทบ
เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่รู้ว่าผู้ใดเหนือกว่า การที่ไม่ได้รับผลกระทบนับเป็นเรื่องปกติ
ทว่าจ้าวเฟิงกลับไม่ได้รับผลใด
เด็กหนุ่มยืนนิ่งสีหน้าไร้ความรู้สึก ท่าทีเหมือนเช่นไร้หัวใจ ราวกับว่าสตรีงดงามเบื้องหน้าเป็นเพียงกองกระดูก
จงหว่านเอ๋อร์ค่อนข้างประหลาดใจ อดที่จะมองไปยังจ้าวเฟิงไม่ได้
กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ยังไม่อาจที่จะต่อต้าน ‘เสียงสะกดมารนภา’ ของนางได้ ทว่าเด็กหน่มขั้นผู้วิเศษผู้นี้กลับไร้ซึ่งผลใดๆ
เย่หยานหยูอดที่จะมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างชื่นชมไม่ได้
เมื่อเห็นว่าหยูลั่วและศิษย์จากสำนักเดียวกันต้องมนต์สะกดของศัตรูอย่างจงหว่านเอ๋อร์ ไม่อาจที่จะนำพาตนเองให้หลุดพ้นได้ ความโกรธก็พุ่งพล่านอยู่ในใจของนาง
ทว่านางไม่อาจคาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะสามารถทำความคาดหวังของนางให้สำเร็จได้ ด้วยพลังฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้แต่กลับสามารถเพิกเฉยต่อ ‘เสียงสะกดมารนภา’ ของจงหว่านเอ๋อร์ การโจมตีของนางแม่มดนั่นได้
“สตรีผู้นี้ฝึกฝนศาสตร์แห่งมาร เชี่ยวชาญในวิชาพลังจิต”
จ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังจงหว่านเอ๋อร์เล็กๆ ไม่ได้ใช้ดวงตาเทพเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกค้นพบโดยอีกฝ่าย
“น้องชายที่น่ารักผู้นี้ เจ้ามีนามอันใดกัน ผมงดงามยิ่งนัก ทั้งสายเลือดดวงตาของเจ้ายังไม่ธรรมดา…”
จงหว่านเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
จ้าวเฟิงสามารถต่อต้าน ‘เสียงสะกดมารจันทรา’ ของนางได้ทำให้จงหว่านเอ๋อร์รู้สึกไม่พอใจ ลอบคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อาจจะยังเยาว์เกินไป ทำให้ไม่เข้าใจเรื่องราว
แต่เด็กหนุ่มอายุ 17 ปีผู้หนึ่งก็ควรที่จะรู้เรื่องราวบ้างแล้ว
จ้าวเฟิงยังคงเงียบงัน ไม่ต้องการที่จะมีปัญหากับจงหว่านเอ๋อร์ แม่มดผู้นี้
การทำข้อตกลงกับเย่หยานหยูก็น่าหวาดกลัวมากพอแล้ว หากเพิ่มแม่มดที่อยู่ในระดับเดียวกันเข้าไปอีก ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมยากจะคาดเดา
“หึ แสดงท่าทีเย็นชาเช่นนั้น ไม่เห็นศีรษะผู้อื่นเอาเสียเลย”
จงหว่านเอ๋อร์แสดงท่าทีราวกับเด็กเอาแต่ใจนิสัยเสียพร้อมใช้ ‘เสียงสะกดมารนภา’
ครั้งนี้นางจงใจมุ่งเป้าไปยังจ้าวเฟิง ศิษย์สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างที่อยู่ข้างๆ พลันเหม่อลอยไป
ทว่าจ้าวเฟิงกลับไม่ได้รับผลใดๆ อีกครั้ง
จงหว่านเอ๋อร์ตื่นตะลึง ทว่านางไม่มีทางเลือก เรื่องที่สำคัญที่สุดในยามนี้คือการตกลงกับเย่หยานหยูเพื่อร่วมมือกันจัดการหอคอยพฤกษาปีศาจ
จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเฉยชา ค้นพบว่าจงหว่านเอ๋อร์มองเขาอย่างลึกล้ำคราหนึ่งราวกับพยายามจะจดจำเขาไว้
หยูลั่วที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกหงุดหงิดเกลียดชัง
การที่เขาถูกผลของ ‘เสียงสะกดมารนภา’ ของจงหว่านเอ๋อร์เมื่อครู่นับว่าเสียมารยาทอยู่บ้าง ทำให้ต้องเสียหน้าต่อเย่เซียนจื่อ
หากศิษย์บุรุษทุกคนเป็นเช่นนั้น เขาย่อมรู้สึกดีกว่านี้
แต่จ้าวเฟิงราวกับไร้หัวใจ เด็กหนุ่มผู้ที่มีพลังฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ผู้หนึ่งเมื่อเทียบกับเขาแล้วนับว่าด้อยกว่าหลายขั้น แต่กลับสามารถต่อต้านเสียงสะกดมารนภาของจงหว่านเอ๋อร์ได้ถึงสองครั้ง
จากสองครั้งนั้นมิใช่ว่ามันกำลังบอกว่าพลังสมาธิของหยูลั่วไม่เพียงพอ ทำให้ไม่อาจต่อต้านสาวงามได้หรือ?
ทันใดนั้นหยูลั่วพลันรู้สึกอับอาย สีหน้าเขียวคล้ำ ขบฟันกรอดอย่างเกลียดชังไปยังจ้าวเฟิง
“ไอ้เด็กนี่เกาะติดเย่หยานหยูไปทั่ว ทั้งยังได้รับการยอมรับจากศิษย์น้องเย่ หึ มันทำให้ข้าต้องเสียหน้าต่อหน้าศิษย์น้องเย่ รอให้ต่อสู้กับต้นไม้ปีศาจก่อนเถอะ หากสามารถสร้างสถานการณ์ให้มันตายตกอย่างทรมานได้…”
สีหน้าของหยูลั่วมืดทะมึน