Skip to content

King of Gods 42

King Of Gods

บทที่ 42 : ขั้นสุดยอดของขั้นห้า หอตำรา

ในขณะจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยเดินกลับไปยังบ้านด้วยกัน เหล่าศิษย์ก็มองตามด้วยสายตาอิจฉาริษยา จ้าวหยูเฟ่ยเริ่มใบหน้าขึ้นสี นัยน์ตาของนางแอบเหลือบไปมองเด็กหนุ่มผู้เดินเคียงข้างนาง ทว่ากลับพบว่าอีกฝ่ายนั้นเยือกเย็นเช่นปกติราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็กๆ

นางเพียงแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนเดียวที่เหนือกว่านางจากบรรดาคนทั้งพรรค นั่นทำให้นางรู้สึกจนใจไม้น้อย

ในขณะที่เขาเดินกลับบ้าน จ้าวเฟิงก็ได้เล่าเรื่องยามที่เขาเข้าไปยังป่าเมฆาคล้อยรอบ่าสุดให้เด็กสาวข้างกายฟัง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล่าวถึงการที่จ้าวเทียนเจี้ยนส่งนักฆ่ามาหาเขา หรือว่าเขาพบสัตว์ปีศาจระดับสูงได้อย่างไร ทว่าเรื่องเล่าทั้งหมดก็ยังทำให้จ้าวหยูเฟ่ยหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาอยู่ดี

เด็กหนุ่มเข้าไปยังห้องของเขาก่อนพ่นลมหายใจยาว

“จ้าวเทียนเจี้ยนส่งคนมาเก็บข้าครั้งหนึ่ง ก็ย่อมมีครั้งต่อไป ดังนั้นข้าต้องซ่อนพลังการฝึกตนของข้าและทำให้เขาตกใจ”

เหตุผลที่เขาไม่ท้าจ้าวหลินหลงประลองนั้นก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้อและเข้าไปสู่มิติในนัยน์ตาซ้ายของเขา ในพื้นที่สีดำมืดนั้น แสงสีเขียวที่ส่องสว่างอยู่ใจกลางได้ขยายเป็น 5.9 ฟุตแล้ว ซึ่งหมายความว่าพลังการฝึกตนของเขาได้แตะลงที่ขั้นสุดยอดของขั้นห้าแล้ว

จ้าวเฟิงไม่ได้คิดถึงมัน

ปรากฏ!

จ้าวเฟิงเพ่งความสนใจไปที่ตาซ้ายของเขา

ฟุ่บ!

ทันใดนั้น แสงสีเขียวก็แปรเปลี่ยนไปเป็นภาพ ในภาพนั้นปรากฏร่างสองร่าง หนึ่งคือร่างของสัตว์ปีศาจไฮยีน่าตาฟ้า ในขณะที่อีกร่างนั้นเป็นเด็กสาวอายุไม่ได้แตกต่างจากจ้าวหยูเฟ่ยเท่าใด

จากนั้นทั้งไฮยีน่าตาฟ้าและเด็กสาวก็กระโจนเข้าหากัน ร่างของเด็กสาวที่ถูกสร้างจากแสงสีเขียวราวกับสลายไปในอากาศ ร่างของนางส่องประกายสีฟ้าประหลาดซึ่งสว่างกว่าพลังภายใน นางวาดมือของนางผ่านอากาศอย่างเรียบง่ายก่อนแสงสีฟ้านั้นจะปรากฏเป็นคมมีดสายลมและตัดศีรษะของไฮยีน่าตาฟ้าเป็นชิ้นๆ ในเสี้ยววินาที

“ข้าสงสัยนักว่าพี่สาวผู้นั้นมาจากที่ใด บางทีในเมืองประกายอรุณนี้คงมิมีผู้ใดต้านทานการโจมตีของนางได้” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ

ฉากนั้นปรากฏขึ้นวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กหนุ่มมองมันจากหลายๆ มุมและตำแหน่งเพื่อสังเกตการณ์โจมตีของเด็กสาวผู้นั้น เขาค่อยๆ เข้าใจมันมากขึ้นเรื่อยๆ

การวาดมืออย่างเรียบง่ายของนางนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนจนยากจะเข้าใจ จ้าวเฟิงเริ่มสำนึกรู้บางอย่างได้จากการมองการโจมตีของนาง ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเลียนแบบท่าทางนั้น ทว่าพลังโจมตีนั้นห่างไกลจากต้นฉบับนัก แต่เพียงแค่การเลียนแบบนั้นก็มีพลังโจมตีเทียบเท่าวิชาระดับสูงแล้ว

นั่นสร้างความตื่นตะลึงให้เด็กหนุ่มยิ่งนัก นั่นมิใช่ว่าหากเขาสามารถเลียนแบบกระบวนท่าของเด็กสาวผู้นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังของมันจะเหนือกว่าวิชาระดับสุดยอดอีกหรือ?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็เริ่มตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ข้าจะเรียกมันว่า ‘ฝ่ามือลมลี้ลับ’ ”

คืนนั้นเด็กหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับมันให้มากขึ้น แต่เป็นเพราะว่ากระบวนท่านั้นมีระดับสูงเกินไป จ้าวเฟิงจึงไม่อาจจะเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ค่อนคืนก็เกิดเหนื่อยล้า ดูเหมือนว่ามิติในนัยน์ตาซ้ายจะไม่สามารถช่วยฉายภาพนั้นซ้ำๆ ได้อีก

“ต้องใช้พลังสมาธิอย่างมากในการทำความเข้าใจกระบวนท่านี้” จ้าวเฟิงสรุป

ดังนั้น เขาจึงเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาตัดลมหายใจอีกครั้ง เขาได้รับยาโลหิตซึ่งสามารถเพิ่มระดับการฝึกตนของเขาได้จากงานประลอง ยาเม็ดนั้นแตกต่างจากต้นสมุนไพร พวกมันมีพิษน้อยกว่า ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกตนจึงสามารถดูดซึมพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าจากเม็ดยา

“ข้ายังเหลือพฤกษาโลหิตพันปีอีกต้นหนึ่งซึ่งราคาสูงกว่ายาโลหิต” จ้าวเฟิงคิดก่อนที่จะตัดสินใจกลืนกินเม็ดยานั้นลงไป

ไม่ช้า พลังภายในเม็ดยาก็เริ่มไหลเวียนภายในร่างของเขา พลังนี้ประสานเข้ากับร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มเริ่มโคจรเคล็ดวิชาตัดลมหายใจเพื่อดูดกลืนพลังงานในทันที

เช้าวันที่สอง

จ้าวเฟิงได้ดูดซึมพลังงานทั้งหมดและรู้สึกได้ว่าพลังฝึกตนของเขานั้นได้ขยายขึ้นเล็กน้อย แสงสีเขียวซีดในดวงตาซ้ายของเขาขยายเป็น 5.9 ฟุตกว่าๆ

“ขั้นสุดยอดของขั้นห้า! ยานั่นนับว่ามีประโยชน์โดยแท้” จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

มีเพียงจ้าวหลินหลงที่สามารถเทียบเท่าเขาได้ในด้านของพลังฝึกตน เนื่องจากยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย เขาจึงเริ่มฝึกฝนวิชาฝ่ามือลมลี้ลับ

ฟุ่บ

ร่างของเด็กหนุ่มทะยานสู่นภา พลังภายในหมุนวนอยู่ใจกลางฝ่ามือของเขา

ฉัวะ!

กิ่งไม้ที่มีขนาดราวแขนแตกกระจายเป็นเสี่ยงในทันที ฝ่ามือของจ้าวเฟิงนั้นไม่นับว่าทรงพลังมากมายอันใด ทว่ากลับมีพลังของการหมุนและตัดหั่น

“กระบวนท่านี้เทียบเท่าได้กับขั้นสูงของวิชาระดับสูง” จ้าวเฟิงอุทานออกมาอย่างดีใจ

ในขณะที่เด็กหนุ่มพยายามที่จะทำความเข้าใจฝ่ามือลมลี้ลับอย่างเต็มที่นั้นเอง…

“พี่เฟิง ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” น้ำเสียงที่คุ้นเคยของเด็กสาวผู้หนึ่งก็ดังขึ้น

หืม?

คิ้วของเด็กหนุ่มมุ่นเข้าหากัน

นอกสวนนั้นปรากฏร่างของดรุณีในชุดสีขาวโพลน นางกำลังกัดริมฝีปากและไม่กล้าที่จะมองตรงเข้าไปในนัยน์ตาของเด็กหนุ่ม ดรุณีนางนั้นมิอาจเป็นใครไปได้นอกจากจ้าวซุ่ย

“เข้ามา” จ้าวเฟิงกลับไปสงบเยือกเย็นขณะที่บอกให้อีกฝ่ายเข้ามาด้านใน

ทั้งสองมองกัน ทว่าจ้าวซุ่ยดูเหมือนจะพยายามหลบตาของอีกฝ่าย

“เจ้ามาที่นี่ต้องการอันใด?” จ้าวเฟิงเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์

เขาค่อนข้างชอบนางเมื่อพวกเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน ทว่าตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามายังพรรคจ้าว เศษเสี้ยวความชอบที่ว่านั่นก็หายไป

ดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำขณะที่นางกัดริมฝีกปากของตน

“ข้านั้นค่อนข้างยุ่งมากตั้งแต่เข้ามายังพรรคจ้าว ข้าหวังว่าพี่เฟิงจะยังจำวันเก่าๆ ของเราได้และไม่เกลียดข้า…”

เด็กหนุ่มมองหน้าอีกฝ่าย หัวใจของเขาเริ่มสั่นสะท้าน ทว่าไม่นานมันก็กลับมาราบเรียบราวผิวน้ำอีกครั้ง

“ทุกคนมีอิสระที่จะเลือก… ข้าไม่เคยเกลียดเจ้า” จ้าวเฟิงเผยยิ้มบางขณะที่เขาเอ่ยอย่างสบายๆ

แน่นอนว่าเขาไม่เคยเกลียดอีกฝ่าย ทว่าการกระทำของนางก็ทำให้เขาผิดหวัง

ข้าไม่เคยเกลียดเจ้า!

หัวใจของจ้าวซุ่ยสั่นสะท้านขณะที่นางมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย

“พี่เฟิงไม่เคยรักข้าเลยใช่หรือไม่… แม้กระทั่งตอนที่อยู่หมู่บ้านใบไม้เขียว?” จ้าวเฟิงรู้สึกงุนงงเล็กๆ เมื่อได้ยินคำกล่าวของเด็กสาว

เด็กหนุ่มนั้นยังอายุไม่ทันครบ 14 ขวบปี ครึ่งปีก่อนเขาอายุเพียง 13 ขวบปี หัวใจของเขานั้นบริสุทธิ์และไม่ได้รู้สึกอันใดต่อความรักของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

บัดนี้ จ้าวเฟิงอายุสิบสี่และทุ่มเททุกสิ่งลงในหนทางแห่งผู้ฝึกตน ดังนั้นแล้วเขาจึงค่อนข้างไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสตรีและบุรุษ

เมื่อเห็นท่าทางของจ้าวเฟิงแล้ว หัวใจของเด็กสาวก็เย็นเยียบ ในที่สุดนางก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยรักนางเลย อย่างมากก็อาจมีความชอบบางเมื่อครั้งยังเยาว์

“น้องเฟิง!” ด้านนอกสวนปรากฏเสียงเรียกกระจ่างใสเสียงหนึ่ง

จ้าวหยูเฟ่ยเดินเข้าไปในสวนของจ้าวเฟิงอย่างมีความสุข ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกันและค่อนข้างคุ้นเคยกันดี ดังนั้นแล้วเด็กสาวจึงเดินเข้ามาโดยไม่ต้องขออนุญาตได้ ไม่ช้านางจึงรู้สึกได้ว่าบรรยากาศนั้นต่างจากปกติเล็กน้อย

จ้าวเฟิงและจ้าวซุ่ยนั้นล้วนยืนนิ่งเงียบในขณะที่ฝ่ายเด็กสาวนั้นสะอื้นไห้เบาๆ

“มีอันใดหรือ?” จ้าวเฟิงหันไปมองจ้าวหยูเฟ่ยอย่างสงสัย

ในตอนนั้นเองที่สองดรุณีงดงามยืนอยู่ในสวนเล็ก ผิวของจ้าวซุ่ยนั้นนุ่มลื่นราวสายน้ำ ใบหน้าของนางก็งดงามยิ่ง ทว่าเมื่อเทียบกับกลิ่นอายราวเทพเซียนของจ้าวหยูเฟ่ย นางกลับดูมืดหม่นนัก…

ในด้านของพรสวรรค์ กลิ่นอาย และรูปลักษณ์ จ้าวซุ่ยนับว่าไม่อาจเทียบจ้าวหยูเฟ่ยได้

“น้องเฟิง เจ้ายังมิได้ไปยังหอตำราเพื่อเลือกวิชาอีกหรือ? เจ้าสามารถเลือกวิชาระดับสุดยอดได้เมื่อเจ้าติดหนึ่งในสาม” จ้าวหยูเฟ่ยเอ่ยอย่างอึ้งเล็กๆ

นางเพิ่งจะไปยังหอตำราเพื่อเลือกวิชาของนาง สิบอันดับแรกนั้นจะได้รับวิชาระดับสูงสองวิชา สามอันดับแรกจะได้รับวิชาระดับสุดยอดหนึ่งวิชาและวิชาระดับสูงสองวิชา

“ฮะฮะ ข้าเกือบลืมไปแล้ว” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเล็กๆ

เด็กสาวอีกหนึ่งนางที่ยืนอยู่ในสวนมองภาพทั้งสองยิ้มให้กัน จ้าวซุ่ยรู้สึกเศร้าสร้อยและหดหู่

นางเสียใจที่นางตัดสินใจเลือกจ้าวยี่จาง…

ไม่ช้าจ้าวเฟิงก็ไปถึงหอตำรา ผู้อาวุโสที่ป้องกันหอสมุดนั้นคือชายชราเคราขาวที่ดูคุ้นตา

“นั่นเจ้ารึ?” นัยน์ตาของชายชราส่องประกายวาบ

จ้าวเฟิงก็จำอีกฝ่ายได้ในทันที

“ผู้เยาว์ทำความเคารพผู้อาวุโส”

ชายชราผู้นี้คือหนึ่งในผู้ตัดสินหลักทั้งสองที่สนับสนุนเด็กหนุ่ม

“ข้านามจ้าวหยงชี่ เจ้าสามารถเรียกข้าว่าผู้อาวุโสจ้าวได้” ผู้ตัดสินเอ่ยอย่างอ่อนโยน

“ขอรับ ผู้อาวุโสจ้าว”

“มากับข้า” จ้าวหยงชี่นำทางจ้าวเฟิงไปยังชั้นสอง

ในชั้นสองนั้นมีวิชาทั้งหมดราวๆ สองถึงสามร้อยวิชา ส่วนมากเป็นวิชาระดับสูง ในขณะที่ส่วนน้อยจึงเป็นวิชาระดับสุดยอด วิชาระดับสุดยอดนั้นนับว่ามีค่ามากในพรรคจ้าว

จ้าวเฟิงกวาดตาสำรวจก่อนรู้สึกประหลาดใจ

“ผู้อาวุโสจ้าวขอรับ เหตุใดที่นี่จึงได้มีเหรียญตราแทนที่จะเป็นตำราเล่า?”

ชั้นสองของหอตำรานั้นไม่ได้บรรจุตำราไว้ ทว่ากลับเป็นตราหยกที่สลักชื่อวิชาและรายละเอียดสั้นๆ ของพวกมันไว้

“ฮี่ฮี่ วิชาระดับสูงและระดับที่สูงกว่านั้นนับว่าสูงค่ายิ่ง เราไม่สามารถนำฉบับคัดลอกของจริงมาไว้ที่นี่ได้ เมื่อเจ้าเลือกวิชาได้แล้ว ข้าจะไปนำตัวตำรามาให้” จ้าวหยงชี่อธิบาย

เด็กหนุ่มรู้สึกผิดหวังเล็กๆ พรรคนั้นนับว่ารัดกุมกับตำราระดับสูงยิ่งนัก นั่นหมายความว่าเขาย่อมไม่สามารถ ‘ขโมย’ พวกมันได้ ทว่าการที่สามารถเลือกวิชาระดับสุดยอดได้หนึ่งวิชาและวิชาระดับสูงอีกสองวิชานั้นก็นับว่ายอมรับได้ เขาเดินไปวนทั่วชั้นสองเพื่ออ่านร่ายละเอียดโดยย่อของวิชาทั้งหมด

“อันใดกัน เจ้ายังหาวิชาที่ต้องการไม่ได้อีกหรือ?” ชายชราเอ่ยถามอย่างสงสัย

ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมา

“ผู้อาวุโสจ้าวขอรับ.. ในเมื่อท่านเป็นผู้อาวุโสที่ปกป้องหอตำราแห่งนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ช่วยแนะนำวิชาที่ดีที่สุดให้ข้าเสียสองสามวิชาเล่าขอรับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ามิรู้รึว่านั่นนับว่าผิดกฎของพรรค?” ดวงตาของจ้าวหยงชี่เปล่งประกาย

แม้ว่าเขาจะเอ่ยเช่นนั้น ชายชราก็ยังยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เขาเดินเข้าไปภายในชั้นสองและค่อยๆ นำตราหยกออกมาสองสามอัน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!