บทที่ 428 : ฆ่าคนที่สาม
เพียงไม่นาน ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้สองคนก็ถูกฆ่าโดยหุ่นเชิดศพพิษทั้งสอง
ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อีกเจ็ดคนและอัจฉริยะคนอื่นๆ ของสามสำนักตื่นตะลึง
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป
เมื่อครู่ จ้าวเฟิงยังคงอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระหว่างสายเลือดดวงตากับชื่อกุ้ย ทั้งยังเรียกได้ว่าถูกไล่ต้อน
จากนั้นกำลังสนับสนุนจากสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ก็ไปถึง จ้าวเฟิงตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตอย่างมาก
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงพลิกตลบอย่างน่าตื่นตะลึงเพียงนี้
สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ร่วมมือกัน ทว่าสองคนถูกฆ่า ส่วนกำลังหลักอย่าง ‘ชื่อกุ้ย’ ก็พลันตกอยู่ในอันตราย
“หุ่นเชิดศพพิษสองตัว นับได้ว่ามีพลังในขั้นนายเหนือแท้ ทั้งยังมีพิษรุนแรงยากที่จะรับมือ… นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”
ชื่อกุ้ยตื่นตะลึง ไม่อาจทำใจให้เชื่อถือได้
การทำให้หุ่นเชิดศพบรรลุถึงขั้นนายเหนือแท้นั้นยากเย็นเพียงใด?
ชายหนุ่มเข้าใจอย่างลึกล้ำ เขาฝึกฝนในศาสตร์นี้มาหลายปี ได้ครอบครองทรัพยากรมากมาย สุดท้ายจึงสร้างหุ่นเชิดศพที่เก่งกาจขึ้นได้สองตัว
ทว่าจ้าวเฟิงเพิ่งจะเดินเข้ามาในศาสตร์แห่งนี้เพียงไม่นานด้วยการแย่งชิงหุ่นเชิดศพจากศิษย์ของตำหนักผาดำไปสองตัว
ในยามนั้น พลังของหุ่นเชิดศพทั้งสองอยู่ในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด
“เห็ดอินตู๋ ต้องเป็นเห็ดอินตู๋แน่ๆ”
ชื่อกุ้ยพลันนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ เข้าใจขึ้นมาทันที
เมื่อมีเห็ดอินตู๋และทรัพยากรอื่นๆ ย่อมสามารถทำให้หุ่นเชิดศพขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดบรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้อย่างง่ายดาย
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงยังได้ครอบครอง ‘ศิลารอยหมึกสวรรค์’ ทั้งยังแลกเปลี่ยน ‘ก้ามแมงป่องยักษ์โบราณ’ และ ‘ผลึกกระดูกมารหยิน’ ไปจากเขา
เมื่อมีทรัพยากรชั้นยอดเหล่านี้ หุ่นเชิดศพพิษของจ้าวเฟิงก็เพียบพร้อมอย่างถึงที่สุด
“ไป”
จ้าวเฟิงไม่มากวาจา ควบคุมหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬตรงไปจู่โจมชื่อกุ้ย
“ไม่ดีแล้ว… หนี”
ชื่อกุ้ยหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
พิษของแมงป่องยักษ์โบราณนั้นร้ายกาจน่าพรั่นพรึงเพียงใด เขารู้ดี
ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงยังมีพิษจาก ‘เห็ดอินตู๋’ อีก เมื่อพิษร้ายแรงทั้งสองหลอมรวมกัน กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง แม้มีแผลเพียงเล็กน้อยก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
ตราบเท่าที่ถูกหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองโจมตีจนบาดเจ็บก็นับได้ว่าตายตกไปแล้ว
“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์”
ดวงตาเทพเจ้าสีฟ้าหม่นเย็นเยียบของจ้าวเฟิงส่องประกายเจิดจ้า จ้องมองไปยังชื่อกุ้ย
ร่างของชื่อกุ้ยแข็งค้าง ความเย็นเยียบกัดกร่อนทะลวงสู่ดวงวิญญาณ ทำให้สตินึกคิดของเขาเชื่องช้าลง
ในเสี้ยวพริบตา ความเร็วการเคลื่อนไหวของเขาก็ลดลงกกว่าหกถึงเจ็ดในสิบส่วน
ฟึ่บ ฟึ่บ
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองทะยานร่างเข้าใกล้
“อย่าได้บอกเชียวว่าข้า ชื่อกุ้ย จำต้องตายที่นี่…”
ทั่วทั้งร่างของชื่อกุ้ยราวกับตกลงในหล่มน้ำแข็งเย็นยะเยือก กระทั่งรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายความตายที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
ภายใต้การจับจ้องของ ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ เขาย่อมตกอยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของ ‘หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬ’ ทั้งสองอย่างแน่นอน เพียงแค่มีแผลเปิดเล็กน้อยเขาก็คงต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
ในยามนี้
ชื่อกุ้ยอดที่จะเสียใจไม่ได้ ตัวเขาแลกเปลี่ยน ‘ก้ามแมงป่องยักษ์โบราณ’ และ ‘ผลึกกระดูกมารหยิน’ กับจ้าวเฟิง เพิ่มพลังโจมตีให้กับหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสอง รวมทั้งลับคมเขี้ยวเล็บให้พวกมันให้สามารถแสดงผลของพิษจากแมงป่องยักษ์ได้ดียิ่งขึ้น
หรือมิเช่นนั้น แม้หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬของจ้าวเฟิงจะนับได้ว่าอยู่ในระดับชายขอบของขั้นนายเหนือแท้ก็ไม่อาจสร้างแรงคุกคามได้มากมายเพียงนี้
“ศิษย์น้องชื่อ…”
โม่ก่านจากตำหนักผาดำที่มีรูปลักษณ์ราวกับศพคำรามด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ รีบมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่าย
“ไป”
ชื่อกุ้ยกัดฟันกรอด ยอมสละหุ่นเชิดศพลายเงินที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของตนเอง
แค่เดิมเขายังมีหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้อยู่สองตัว ทว่าหนึ่งในนั้นได้ถูกหอคอยพฤกษาทมิฬบดจนกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
แน่นอนว่าหุ่นเชิดศพลายเงินนี้มีพลังต่อสู้ใกล้เคียงกับขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ ย่อมสามารถต่อต้านไว้ได้สักพัก
ฟึ่บ เปรี้ยง
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองกระโจนเข้าหาหุ่นเชิดศพลายเงิน เข้าต่อสู้กัน
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ หุ่นเชิดศพลายเงินของชื่อกุ้ยย่อมสามารถรับมือกับศัตรูสองตัวได้อย่างไม่ลำบาก อย่างน้อยก็สามารถต่อต้านได้เป็นเวลานาน
ทว่าบัดนี้
เขาถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จับจ้อง สติความคิดเชื่องช้า ไม่อาจที่จะควบคุมหุ่นเชิดศพลายเงินได้ดั่งใจ ทำให้มันสามารถแสดงพลังออกมาได้เพียงหกถึงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น
หลายลมหายใจต่อมา
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองของจ้าวเฟิงโจมตีหุ่นเชิดศพลายเงินของชื่อกุ้ยจนมันตอบโต้ไม่ทัน
“หากได้ครอบครองหุ่นเชิดศพลายเงินนี่ พลังต่อสู้โดยรวมของข้าย่อมเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง”
จ้าวเฟิงคิดอยู่ในใจ
ชื่อกุ้ยที่หลบหนีไปนั้นไม่รู้ว่าเป็นจ้าวเฟิงจงใจปล่อยให้เขาไป
หากจ้าวเฟิงต้องการฆ่าชื่อกุ้ยโดยไม่สนสิ่งอื่นใด เขาก็ต้องทำเพียงให้หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬตัวหนึ่งคอยถ่วงรั้งหุ่นเชิดศพลายเงินไว้แล้วให้อีกตัวไปไล่ล่าชื่อกุ้ย เมื่อรวมกับพลังของเนตรจิตวิญญาณเหมันต์และเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า โอกาสที่จะฆ่าอีกฝ่ายได้ก็มีมากกว่าเจ็ดในสิบส่วน
ทว่า
จ้าวเฟิงรู้สึกสนใจ ‘หุ่นเชิดศพลายเงิน’ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เด็กหนุ่มใช้เนตรจิตวิญญาณเหมันต์จ้องมองข่มขู่ชื่อกุ้ยพร้อมควบคุมหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองให้ ‘ไล่ต้อน’ หุ่นเชิดศพลายเงินของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
เปรี้ยง ครืนนนน
หุ่นเชิดศพลายเงินของชื่อกุ้ยร่วงลงไปที่พื้นในเวลาไม่นาน
ฟึ่บ
รากไม้ใกล้ๆ พลันปรากฏขึ้นราวกับตั้งเวลาไว้
“เก็บศพนี่ไว้ ข้าต้องการ”
จ้าวเฟิงเอ่ยบอกหอคอยพฤกษาทมิฬ
ในเสี้ยวพริบตา
หุ่นเชิดศพลายเงินตัวนั้นก็ถูกรากไม้จำนวนมากรัดพันมือเท้า ลากลงไปในชั้นดิน
เมื่อเป็นเช่นนั้น
จ้าวเฟิงจึงรู้สึกพึงพอใจ
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงควบคุมหุ่นเชิดศพพิษไปไล่ล่าชื่อกุ้ยต่อ
ชื่อกุ้ยถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จ้องมอง ไม่อาจหลบหนีไปได้ไกลนัก
“น่าเสียดายนัก…”
ชื่อกุ้ยที่สูญเสียหุ่นเชิดศพในขั้นนายเหนือแท้ไป แม้จะรู้สึกหดหู่เสียใจอย่างมาก ทว่าก็เลือกที่จะรักษาชีวิตไว้ก่อน
“ศิษย์น้องชื่อ… ข้ามาช่วยเจ้า”
โม่ก่านจากตำหนักผาดำตามมาทัน เข้าปะทะกับหุ่นเชิดศพพิษทั้งสอง
เปรี้ยง เปรี้ยง
แขนทั้งสองของโม่ก่านสั่นสะท้าน ใช้พลังมหาศาลเหวี่ยงหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองลอยห่างออกไปหลายฟุตตรงๆ อย่างคาดไม่ถึง
“คนผู้นี้ฝึกฝนร่างกายด้วยศาสตร์แห่งซากศพ มีพลังกายที่ทรงพลังเหมือนกับศพ พิษแทบจะไร้ซึ่งผลโดยสิ้นเชิง”
จ้าวเฟิงรู้สึกสะเทือนใจ
เขาเข้าใจว่าในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ มีเพียงคนผู้นี้ที่สามารถต่อต้านพิษร้ายแรงของหุ่นเชิดศพพิษทั้งสองได้ในระดับหนึ่ง
“เนตรจิตวิญญาณเหมันต์”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเย็นยะเยือก ดวงตาเทพเจ้าเปลี่ยนมามองโม่ก่านแทน
โม่ก่านมีความเชี่ยวชาญในด้านพลังจิตด้อยกว่าชื่อกุ้ยมากนัก เมื่อถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จับจ้อง พลังความเย็นก็กัดกร่อนรุกรานดวงวิญญาณ ความคิดสติแข็งค้าง ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้า
ทั้งโม่ก่านยังฝึกฝนร่างกายด้วยศาสตร์แห่งศพ แม้พลังกายจะแข็งแกร่ง ทว่าความเร็วความคล่องตัวนับว่าเลวร้าย
บัดนี้เมื่อถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จ้องมองจึงเชื่องช้างุ่มง่ามราวกับเต่า จะก้าวขาออกไปแต่ล่ะครั้งยังยากเย็น
เคร้ง
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ทะลวงผ่านการป้องกันของโม่ก่านไปในเสี้ยววินาที
พลังกายของโม่ก่านไม่ใช่น้อย โดยปกติแล้วลำบากเพียงหมัดเดียวก็สามารถส่งร่างของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬให้กระเด็นลอยออกไปได้
ทว่าในยามนี้เขาได้ถูกเนตรจิตวิญญาณเหมันต์จับจ้อง ความเร็วและความคล่องตัวกระทั่งด้อยกว่าขั้นมนุษย์แท้บางคน
โม่ก่านตกอยู่ท่ามกลางพายุการโจมตีของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬโดยสมบูรณ์
หากเป็นยอดฝีมือคนอื่นๆ คงจะถูกฉีกกระชากกลายเป็นเศษเนื้อ ก้าวข้ามบานประตูแห่งความตายไปแล้ว
ทว่าคนผู้นี้คือโม่ก่านที่มีร่างกายเฉกเช่นซากศพ พิษนับหมื่นไม่อาจกล้ำกราย
แน่นอนว่า
เขายังไม่ใช่ศพจริงๆ พิษศพของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬหลอมรวมเข้ากับพิษจากแมงป่องยักษ์โบราณและเห็ดอินตู๋ แม้จะเป็นโม่ก่านก็ไม่อาจต้านทานได้ทั้งหมด เพียงแค่ว่าเมื่อเทียบกับยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปแล้วยังมีความสามารถในการต้านทานมากกว่าหลายเท่า
หลังจากที่ถูกกรีดกระชากร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเคลื่อนไหวของโม่ก่านก็ยิ่งเชื่องช้า พลังต่อสู้ลดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเริ่มปรากฏสีดำม่วง
“ศิษย์พี่โม่ก่าน”
ชื่อกุ้ยลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว มองไปยังโม่ก่านที่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเพราะตนเอง
แต่หากเปลี่ยนเป็นเขา ยามนี้คงสิ้นชีพไปแล้ว ในบรรดาสิบยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้มีเพียงโม่ก่านที่สามารถต้านทานพิษของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬได้
เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฏเพลิงอัสนีสีเขียวสว่างวาบ
ฟุ่บ เปรี้ยง
กองเพลิงอัสนีสีใสพร้อมกับเสียงครืนครางของสายฟ้าอาละวาดเผาไหม้ร่างกายของโม่ก่าน
“อ๊ากกกกกกก”
โม่ก่านส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างทรมานออกมา
พลังธาตุไฟและสายฟ้าของวิชาดวงตานั้นนับเป็นธาตุอริกับธาตุวิญญาณและซากศพ
เขาไม่เหมือนชื่อกุ้ยที่เชี่ยวชาญในวิชาดวงตา กระทั่งสามารถต่อต้านการโจมตีจากวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงได้
แรกเริ่มเป็น ‘เนตรจิตวิญญาณเหมันต์’ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นการทำลายล้างด้วยเปลวเพลิงของเพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า ดวงวิญญาณของโม่ก่านได้รับความเสียหาย กระทั่งอวัยวะภายในยังถูกเผาไหม้กัดกร่อน
เปรี้ยง เปรี้ยง
โม่ก่านตวาดออกมาครั้งหนึ่ง วาดแขนทั้งสองข้างออก ส่งร่างของหุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองกระเด็นลอยออกไป
เมื่อเผชิญหน้ากับสภาวะวิกฤต ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณ พลังต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายจะทะลวงฝ่าออกไป
หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬทั้งสองกระเด็นออกไปจากการโจมตีของโม่ก่าน ตัวหนึ่งแขนหักทั้งสองข้าง ในขณะที่อีกตัวแขนหักไปข้างหนึ่ง
“ตาย”
สีหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึนลง
จากนั้น
เด็กหนุ่มก็กระตุ้นการเคลื่อนไหวของดวงตาเพทเจ้าจนถึงขีดสุด ส่งการโจมตีออกไปโดยไร้ซึ่งคำเตือน
“เนตรคุกลวงตา”
“ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์”
“เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า”
เปรี้ยง
สามวิชาดวงตาโจมตีไปยังโม่ก่านอย่างพร้อมเพรียงกัน
วิชาแรกคือ ‘เนตรคุกลวงตา’ จิตใจของโม่ก่านถูกกักขังไปหนึ่งลมหายใจ ทำให้การเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณชะงักลง
นี่คือการเริ่มต้นด้วยการทำให้พลังของอีกฝ่ายถดถอยลงก่อน
ลำแสงสีดำทะลวงผ่านร่างของโม่ก่าน จิตใจได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกส่วน
ฟุ่บ เปรี้ยง
สุดท้ายจึงเป็นเพลิงอัสนีเนตรเทพเที่ทำให้โม่ก่านสิ้นชีพ ร่างร่วงลงที่พื้น
“ศิษย์พี่โม่ก่าน…”
ชื่อกุ้ยกรีดร้อง อัจฉริยะจากตำหนักผาดำที่เหลือเองก็อุทานออกมาเสียงดัง
ทั้งร่างกายและดวงวิญญาณของโม่ก่านถูกเพลิงอัสนีเผาทำลาย ร่างร่วงลงกระแทกพื้น กลายเป็นปุ๋ยให้กับหอคอยพฤกษาปีศาจ
ความจริงแล้ว
ก่อนที่โม่ก่านจะร่วงลงพื้น ดวงวิญญาณของเขาก็ถูกทำลาย สตินึกคิดแหลกสลาย เมื่อเทียบกับร่างกายแล้วยังสูญสิ้นไปอย่างหมดจดยิ่งกว่า
วิชาดวงตาทั้งสามโจมตีไปยังร่างเป้าหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน มีหรือที่จะรอดชีวิตไปได้
ตั้งแต่ยามที่จ้าวเฟิงเกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโจมตีอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงเช่นนี้
“สาม”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉยเย็นชา สีหน้าดูย่ำแย่เล็กๆ
การใช้วิชาดวงตาอย่างต่อเนื่องทำให้พลังของเขาถูกใช้ไปจำนวนมาก ทำให้จิตใจเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
ทั้งนี่ยังเป็นเพราะดวงตาเทพเจ้านั้นแข็งแกร่ง หากเป็นอัจฉริยะที่มีสายเลือดดวงตาคนอื่นๆ คงไม่อาจยืนหยัดอยู่ได้นานเพียงนั้น
“มนุษย์ ข้ายอมรับว่าข้าดูแคลนเจ้า ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้สิบคน เจ้ากลับจัดการไปได้ถึงสามในเวลาเพียงหนึ่งนาที ยามที่เจ้าใช้วิชาดวงตา แก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาของข้ายังรับรู้ได้ถึงความหนาวเยือกที่ไม่อาจอธิบายในอากาศได้”
เสียงของหอคอยพฤกษาปีศาจดังขึ้น ในน้ำเสียงปรากฏความยินดีขึ้นหลายส่วน
ในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่นั้น
แม้จ้าวเฟิงจะจัดการยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามไปได้แล้ว ทว่าก็อยู่ในสภาวะอ่อนแอเปราะบาง
ก่อนหน้านี้ หอคอยพฤกษาปีศาจไม่คาดหวังในตัวของจ้าวเฟิงมากนัก
ร่างของจ้าวเฟิงพุ่งวูบ พลิ้วกายลงยังบริเวณที่มีพุ่มไม้หนาที่สุดก่อนนั่งขัดสมาธิ สีหน้าขาวซีดลงเล็กๆ
“นี่พี่ชาย หากท่านสามารถมอบแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาให้ข้ายืมได้ก่อนเวลา ช่วยข้าฟื้นฟูพลังและประสาทสัมผัส เช่นนั้นการจัดการศัตรูที่ทรงพลังเหล่านี้ย่อมมีความหวังมากขึ้น”
หลังจากที่จ้าวเฟิงนั่งก็พลันเอ่ยขึ้น
“จะได้อย่างไร เจ้าเพิ่งจะเติมเต็มเงื่อนไขไปเพียงกึ่งหนึ่ง ความน่ารังเกียจของมนุษย์ข้าเข้าใจดี”
ชัดเจนว่าหอคอยพฤกษาปีศาจไม่โง่เขลา หรือมิเช่นนั้นคงไม่อาจพัฒนาสติปัญญาขึ้นได้
“ท่านเองก็เห็น เพื่อฆ่ายอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ไปสามคน พลังดวงตาของข้าได้ถูกใช้ไปมาก ทั้งการจะใช้วิธีการเดิมกับอีกเจ็ดยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ พวกมันก็คงไม่ถูกหลอกอีกครั้ง”
“นั่น”
หอคอยพฤกษาปีศาจรู้สึกลังเลอยู่บ้าง ระแวงว่าตนเองกำลังถูกจ้าวเฟิงหลอกใช้
“ที่สำคัญไปกว่านั้น หากมีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาของท่านคอยรองรับ ข้าจะสามารถใช้วิชาดวงตาที่แข็งแกร่งกว่าเดิมได้ มันคือกุญแจที่จะจัดการยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่เหลือ”