Skip to content

King of Gods 437

King Of Gods

บทที่ 437 : ราชาในขอบเขตปราณเทวะ

ท่ามกลางพื้นที่โล่งกว้างไร้ที่สิ้นสุด งานชุมนุมเซียนสวรรค์

‘สามผู้ยิ่งใหญ่’ นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง พวกเขาให้ความรู้สึกราวกับเทพเซียนที่เยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์ ราวกับยืนเคียงข้างฟ้าดิน ขจัดเทพมารได้อย่างง่ายดาย

โครงกระดูกสีทองและราชาแห่งมารรอบกายเต็มไปด้วยปราณมรณะหนาแน่น สตรีสูงศักดิ์ท่าทีเคร่งขรึมในชุดสีเงินยวงราวแสงจันทร์มีปราณวายุสีดำทมิฬพัดโอบล้อม

สามราชาในขอบเขตปราณเทวะนั่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ไอสวรรค์ราวกับถูกดูดดึง สร้างแรงกดดันตรงไปสู่วิญญาณ ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในระยะหนึ่งพันลี้รอบด้านต้องเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอึดอัด

เมื่อเวลาผ่านพ้นไป

เบื้องหน้างานชุมนุม เศษเสี้ยวภาพของเงามรดกที่ลอยอยู่ได้ปรากฏความเปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ

สามราชาในขอบเขตปราณเทวะ รวมทั้งยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายล้วนแล้วแต่จ้องมองไปยังภาพในหุบเขาลึกลับอย่างไม่ละสายตา

ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย

สีหน้าของสามราชาในขอบเขตปราณเทวะค่อยๆ เลวร้ายลง

โดยเฉพาะยามที่เนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นเหนือหุบเขาเป็นครั้งแรก มันถึงกับทำให้สามราชาต้องเปลี่ยนสีหน้าไปโดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากนั้น ลู่เทียนอี้ก็ตามมาถึง ชายหนุ่มลงมืออย่างรุนแรงดุดัน ทำให้ยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต้องปรบมือชื่นชม

ทว่า

หลังจากผ่านการต่อสู้ข้ามระยะทางกับเนตรสวรรค์และการลงมืออย่างโหดเหี้ยมของแมวขโมยตัวน้อย ทำให้ลู่เทียนอี้ไม่รู้ว่าอยู่หรือตาย บรรยากาศโดยรอบก็กลับสู่ความอึดอัดอีกครั้ง

“แมวขโมยตัวนั้น มิคาดว่ามีความสามารถในการ ‘ข้ามมิติ’ อยู่”

“หากคาดเดาไม่ผิด ในเสี้ยววินาทีนั้น แมวนั่นต้องหลบซ่อนเข้าไปในแหวนเก็บของของลู่เทียนอี้เป็นแน่”

โครงกระดูกสีทองและราชาแห่งมารสบตากัน เผยสีหน้าแปลกใจออกมาพร้อมเพรียงกัน

จะอย่างไรคนทั้งสองก็เป็นราชาในขอบเขตปราณเทวะ แม้จะมีเพียงภาพเลือนรางไม่ชัดเจนก็สามารถคาดเดาได้

ลู่เทียนอี้ถูกพิษ เป็นตายไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ในบรรดาสามราชา คิ้วงดงามของ ‘สตรีในอาภรณ์สีเงิน’ มุ่นเข้าหากัน เผยความกระวนกระวายออกมาอย่างชัดเจน

แม้ว่าลู่เทียนอี้จะไม่ใช่ศิษย์ของสตรีในอาภรณ์สีเงิน ทว่าด้วยความสามารถพรสวรรค์ของลู่เทียนอี้ ชายหนุ่มย่อมนับเป็นหนึ่งในศิษย์หลักของสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างอย่างไม่ต้องสงสัย

หากต้องสูญเสียอัจฉริยะในระดับนั้นไป มันก็นับเป็นความสูญเสียมหาศาลสำหรับสำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างแล้ว

โครงกระดูกสีทองและราชาแห่งมาร แม้บนใบหน้าจะระบายไปด้วยความประหลาดใจ ทว่าความจริงแล้วลอบยินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นอยู่

จากการต่อสู้ที่ผ่านมา สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างได้สูญเสียอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ไปมากในหุบเขาลึกลับนั่น

ในทางกลับกัน ความสูญเสียของตำหนักมารจันทราและตำหนักผาดำน้อยกว่า

ทันใดนั้น ภาพที่ไม่ปะติดปะต่อก็พลันเลือนลง ส่องแสงระยิบระยับ บิดเบี้ยวไปมาไม่หยุด

“ซากวิหาร”

ยอดฝีมือทั้งหลาย ณ ที่นั้นพลันส่งเสียงอุทานออกมา

ซากวิหารได้ปรากฏขึ้นบริเวณที่จ้าวเฟิงอยู่

ร่างของลู่เทียนอี้และหลี่หงที่ถูกอาบย้อมด้วยแสงสว่างจ้าถูกส่งออกมาด้านนอกเหนือท้องฟ้าบนงานชุมนุมเซียนสวรรค์

สตรีในอาภรณีสีเงินกวาดสายตามองไปยังลู่เทียนอี้และหลี่หง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป

ชัดเจนว่าสถานการณ์ของสองอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้อยู่ในสภาวะเลวร้ายอย่างมาก กระทั่งราชาในขอบเขตปราณเทวะยังรู้สึกได้ถึงความยากลำบาก

“ช่วยเทียนอี้ก่อน”

มือขาวของสตรีในอาภรณ์สีเงินยกขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงจันทร์สีเงินยวงงดงามปรากฏขึ้นจากท่ามกลางหมู่เมฆ ครอบคลุมร่างของลู่เทียนอี้เอาไว้

ไม่ช้า

ลู่เทียนอี้ที่อยู่ในสภาพวิกฤตก็ส่งเสียงครางต่ำอย่างเจ็บปวดออกมา

ฟุ่บ

ลูกแมงป่องยักษ์ขนาดเท่าฝ่ามือทารกถูกแสงจันทร์สีเงินยวงคุมขัง ตกอยู่ในกำมือของสตรีในอาภรณ์สีเงิน

ไม่รู้ว่าเซียนสตรีผู้นี้ใช้วิธีการอันใดทำให้ลูกแมงป่องยักษ์ที่ฝังตัวอยู่ในลำคอของลู่เทียนอี้หลุดออกมายังมือของนางได้

“ลูกแมงป่องนี่เป็นสัตว์ปีศาจล้ำค่าที่มีสายเลือดโบราณผันแปร”

สตรีในอาภรณ์สีเงินจับลูกแมงป่องยักษ์เอาไว้ก่อนจะนำเอาขวดผลึกใสออกมาและหยดน้ำใสกระจ่างราวผลึกลง แสงจันทร์สีเงินยวงงดงามครอบคลุมร่างของลู่เทียนอี้เอาไว้

“วารีศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างวิญญาณ”

โครงกระดูกสีทองและราชาแห่งมารเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กๆ

หลังจากที่ได้รับ ‘วารีศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างวิญญาณ’ พิษภายในร่างของลู่เทียนอี้ก็ถูกสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็พ้นจากขีดอันตราย

หลังจากที่ลู่เทียนอี้ได้สติ ชายหนุ่มก็เอ่ยถึงสถานการณ์ในยามนั้นอย่างละเอียด

“หากคาดเดาไม่ผิด จ้าวเฟิงผู้นั้นต้องล่วงรู้ถึงเวลาในการมาถึงของ ‘ซากวิหาร’ เป็นแน่”

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงนั่นอาจจะตัดสินผู้สืบทอดซากปรักหักพังไปแล้ว”

“ผู้สืบทอดซากปรักหักพังต้องเป็นอัจฉริยะคนนอกอีกคนที่เข้ามาในมรดกเป็นแน่”

สีหน้าของสามราชาในขอบเขตปราณเทวะเลวร้ายลงยิ่งขึ้น

สามารถตัดจ้าวเฟิงออกจากผู้สืบทอดซากปรักหักพังไปได้

เพราะเขาได้เข้าไปในซากวิหารทีหลัง ทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเป็นเวลานาน

ไม่ยากที่จะคาดเดาว่าจ้าวเฟิงได้ถ่วงเวลาให้ผู้สืบทอดซากปรักหักพังเพื่อที่จะปกปิดจุดอ่อนของซากปรักหักพัง

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้เปลี่ยนผู้ถือครองไปแล้ว

“เราไม่จำเป็นต้องกังวล หากในเวลาอีกหลายปี ผู้สืบทอดไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ คนผู้นั้นก็ย่อมไม่อาจควบคุมซากปรักหักพังได้อย่างสมบูรณ์”

“ใช่แล้ว หากพวกเราสามสำนักร่วมมือกัน พยายามทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงต้องใช้พลังจำนวนมาก ในเวลาสิบปี พลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงย่อมหมดสิ้นลง ผู้สืบทอดย่อมไม่อาจที่จะควบคุมซากปรักหักพังได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงยามนั้น เราสามสำนักร่วมมือกันยึดครองซากปรักหักพังสือเฉิงย่อมไม่ยากเย็นอันใด”

ราชาแห่งมารแย้มยิ้ม

การเปลี่ยนแปลงของซากปรักหักพังสือเฉิงนั้น สามราชาในขอบเขตปราณเทวะได้รับรู้และสังเกตการณ์อยู่บ้าง ทำให้เข้าใกล้ความจริงอย่างมาก

“เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่มีพลังในขั้นผู้วิเศษแท้ การที่จะทะลวงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ในระยะเวลาสิบปี โอกาสเป็นไปได้มีน้อยนิดยิ่งนัก กระทั่งลู่เทียนอี้จากสำนักข้ายังไม่อาจทำได้”

สตรีในอาภรณ์สีเงินแย้มยิ้มบาง

ระหว่างขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมีช่องว่างที่ยิ่งใหญ่อยู่ เหมือนกับบ่อน้ำที่ลึกล้ำ

ตัวอย่างเช่นอาณาจักรนภา แปดขั้วอำนาจและสำนักจำนวนมากมียอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมากมาย กระทั่งขั้นนายเหนือแท้ยังมี ทว่าแม้จะเป็นอาณาจักรที่ใหญ่โตเช่นนั้นกลับไม่ปรากฏผู้สูงศักดิ์ขึ้นแม้แต่คนเดียวในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา

กระทั่งสำนักระดับสองดาวในตำนานยังมีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเพียงจำนวนน้อยนิด และทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นก็นับว่าควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง

“นอกจากนั้น มันก็ยังไม่ใช่ว่าพวกเราไม่มีร่องรอยใดๆ”

สายตาของสตรีในอาภรณ์สีเงินส่องประกายวาบ

โฮ่?

สองราชาในขอบเขตปราณเทวะมองไปยังสตรีที่งดงามราวเทพเซียน

หญิงสาวแย้มยิ้มทว่าไม่เอ่ยคำใด ทำเพียงหยิบร่างของลูกแมงป่องยักษ์ขึ้นมาอย่างอ่อนโยน

“เป็นเช่นนี้เอง”

โครงกระดูกสีทองและราชาแห่งมารพลันตระหนักขึ้นได้

ร่องรอยที่ว่านั่นคือลูกแมงป่องยักษ์

ลูกแมงป่องยักษ์คือสัตว์เลี้ยงของจ้าวเฟิง มีความสามารถในการรับรู้ถึงกันและกันในระดับหนึ่ง

“สัตว์ปีศาจโบราณล้ำค่าที่มีสายเลือดผันแปร หากถูก ‘สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง’ ของข้าฝึกฝน เมื่อพลังของมันแข็งแกร่งขึ้นก็ย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงจ้าวเฟิงได้ดีขึ้น เมื่อรับรู้ได้มากเพียงพอ เราอาจกระทั่งแกะรอยคนผู้นี้ไปได้”

เมื่อสิ้นคำของหญิงสาว นางก็เก็บร่างของลูกแมงป่องยักษ์ไป

ในเวลาเดียวกัน

ในซากปรักหักพังสือเฉิง ภายในตำหนักอันโอ่อ่า

จ้าวเฟิง รวมทั้งศิษย์จากสามสำนักได้ปรากฏตัวขึ้น

ศิษย์จากสามสำนักหวาดกลัวเด็กหนุ่มตระกูลจ้าว ไม่กล้าที่จะลงมือโดยง่าย

ความจริงแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่จ้าวเฟิงเองก็เสียพลังงานไปมาก ไม่กล้าที่จะกระตุ้นใช้เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าอย่างบ่อยครั้งอีก

มิติภายในดวงตาซ้าย

บ่อน้ำเหมันต์สีฟ้าหม่นสั่นกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ขยายออกจนมีขนาดเก้าจ้าง ดูเหมือนว่าจะขยายจนเข้าถึงขีดจำกัดอีกครั้ง

จ้าวเฟิงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางของบ่อน้ำเย็นเยียบนั้นขยายเข้าสู่ ‘สิบจ้าง’ ดวงตาเทพเจ้ามีโอกาสที่จะวิวัฒนาการอีก

การตื่นขึ้นครั้งต่อไปของดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าจะทำให้เกิดสิ่งใดขึ้น จ้าวเฟิงไม่อาจล่วงรู้ได้

ผ้าคลุมเงาหยินพลิ้วไหว ร่างของจ้าวเฟิงจางหายไปจากจุดเดิม

มีเพียงจงหว่านเอ๋อร์และผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้เพียงไม่กี่คนที่สามารถรับรู้ถึงทิศทางที่จ้าวเฟิงมุ่งหน้าไปได้

“จ้าวเฟิงผู้นี้ แม้ว่าจะไม่ใช้วิชาดวงตา ความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปแล้วยังเหนือกว่า”

อัจฉริยะจากสามสำนักที่อยู่บริเวณนั้นต่างหวาดกลัว

“ทุกคนลงมือตามสถานการณ์”

จงหว่านเอ๋อร์พุ่งร่างวูบติดตามไปทางทิศตะวันออกอย่างกระชั้นชิด เสียงของนางดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก

เป้าหมายของการแกะรอยของจงหว่านเอ๋อร์คือจ้าวเฟิง

การที่นางทำเช่นนั้นไม่ใช่เพียงเพราะสัญชาตญาณ ทว่ายังเป็นผลจากการวิเคราะห์ด้วย

บางทีจ้าวเฟิงอาจจะได้ครอบครองบางสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้

“สตรีผู้นี้มิคาดว่าจะไม่กลัวตายตามข้ามา แต่นางไม่มีจิตสังหาร”

จ้าวเฟิงเคลื่อนไหวตามแผนที่ซากวิหารสือเฉิงภายในสมอง ร่างพุ่งวูบไปท่ามกลางตำหนักที่ซับซ้อนราวกับเขาวงกต

ทว่าด้วยความเร็วของเขา เด็กหนุ่มไม่อาจที่จะสลัดจงหว่านเอ๋อร์ไปได้

ความแข็งแกร่งของจงหว่านเอ๋อร์เทียบเท่าได้กับเย่หยานหยู กระทั่งเมื่อเทียบกับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดแล้วยังมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าไม่ด้อยกว่า

จ้าวเฟิงไม่มีแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาคอยสนับสนุนแล้วจึงไม่กล้าที่จะใช้ดวงตาเทพเจ้าอย่างผลีผลาม แต่หากพึ่งพาแต่พลังของตนเอง มีหรือที่เขาจะรับมือจงหว่านเอ๋อร์ได้

ไม่นานหลังจากที่ร่างของจ้าวเฟิงและจงหว่านเอ๋อร์หายไป เย่หยานหยูก็เข้ามาภายในซากวิหารสือเฉิง

เมื่อเวลาผ่านไป

อัจฉริยะจากสามสำนักเข้ามาในซากวิหารมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่ศิษย์จากสามยอดสำนัก กระทั่งศิษย์ที่มาจากสำนักภายใต้การปกครองของสามยอดสำนักยังเข้ามา

สถานการณ์ภายในซากวิหารนั้น กระทั่งสามราชาในขอบเขตปราณเทวะยังไม่อาจสอดแนมได้

หลังจากผ่านไปหลายวัน

อัจฉริยะจากสองในสามยอดสำนักออกมาจากซากวิหารสือเฉิง

เมื่อเคลื่อนย้ายออกมาจากซากวิหารสือเฉิงก็จะถูกส่งออกไปยังนอกซากปรักหักพังโดยตรง

อัจฉริยะเหล่านี้หลังจากออกมาแล้วบ้างก็ไม่พอใจ บ้างก็แย้มยิ้มกว้างอย่างร่าเริง

ซากวิหารถูกแบ่งออกเป็นสามชั้น

อัจฉริยะโดยส่วนมากแล้วจะวิ่งวนไปมาภายในชั้นที่หนึ่ง ‘ชั้นทั่วไป’ ทว่ามันก็นับเป็นโอกาสที่ดีแล้ว

สำหรับ ‘ชั้นทั่วไป’ แล้วมันก็เหมือนเช่นชื่อของมัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็สามารถที่จะหามรดกที่เข้ากับตนเองได้

ด้านนอก งานชุมนุมเซียนสวรรค์

อัจฉริยะจากสามสำนักค่อยๆ ทยอยเคลื่อนย้ายออกมาทีล่ะคนสองคน

การเปิดขึ้นของซากปรักหักพังสือเฉิงในครานี้ จำนวนของอัจฉริยะที่เข้าไปในซากวิหารมีจำนวนมากกว่าจำนวนของคนที่เข้าไปในรอบร้อยปีที่ผ่านมารวมกันเสียอีก

ทว่าทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นเหตุมาจาก ‘เหตุไม่คาดฝัน’ ของซากปรักหักพังสือเฉิง

สามราชาในขอบเขตปราณเทวะให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของซากปรักหักพัง สือเฉิงอย่างใกล้ชิด ตอนนี้พวกเขามั่นใจแล้วว่าซากปรักหักพังสือเฉิงได้มีผู้สืบทอดแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการรับการสืบทอดซากปรักหักพังนี้

ไม่ว่าเมื่อใดที่มีอัจฉริยะเคลื่อนย้ายออกมา สามราชาในขอบเขตปราณเทวะจะเอ่ยสอบถาม

โดยไม่มีข้อแม้

อัจฉริยะทุกคนที่ออกมาจากซากวิหารไม่เห็นร่องรอยของจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย

เพียงเสี้ยวพริบตา

เวลาผ่านไปสองเดือน

การเปิดออกของซากปรักหักพังสือเฉิงได้เข้าสู่ช่วงสุดท้าย

อัจฉริยะจากสามสำนักส่วนมากได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมาแล้ว

ยังเหลือเพียงเย่หยานหยู จงหว่านเอ๋อร์ และอัจฉริยะอีกไม่กี่คน รวมทั้งจ้าวเฟิงที่ยังไม่ได้เคลื่อนย้ายออกมา

“หากจ้าวเฟิงนั่นถูกเคลื่อนย้ายออกมาจะมายังดินแดนเกาะเทียนหลูหรือว่าดินแดนเดิมของเขากัน?”

สตรีที่งดงามราวกับเทพเซียนพลันคิดขึ้น

จะอย่างไร อัจฉริยะจากสามสำนักทุกคนที่เข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิงต่างก็มีตราคำสั่งมรดก ทว่าจ้าวเฟิงไม่มี

ในยามนี้

ในทวีปบุปผาคราม งานชุมนุมเซียนมังกร

เวลาสองเดือนผ่านพ้นไป

บนลานประลองลอยฟ้ามักจะส่องแสงสว่างวาบพร้อมกับร่างของอัจฉริยะที่เคลื่อนย้ายออกมาจากมรดกต่างแดน

ครืนนนน

ครั้งหนึ่ง

ท่ามกลางก้อนเมฆได้ปรากฏบานประตูแสงโบราณขึ้น

“นั่นมันกลิ่นอายของมรดกความลับสวรรค์”

ผู้สูงศักดิ์ทั้งเก้า รวมทั้งเหล่ายอดฝีมือที่สามารถชี้ชะตาทวีปได้พลันอุทานขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

ชายหนุ่มที่ออกมาจากมรดกความลับสวรรค์มีกลิ่นอายพลังฝึกตนสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำ

“หยูเทียนฮ่าว”

ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยเสียงซุบซิบ

ทว่าผู้อาวุโสยอดฝีมือจาก ‘สำนักวั่นหยวน’ สีหน้ากลับปรากฏความอับอายอยู่บ้าง

เพราะนอกจากหยูเทียนฮ่าวแล้ว ผู้ที่เข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ยังมีซินอู๋เหินอีกคน ทว่าฝ่ายหลังยังไม่ได้ออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!