Skip to content

King of Gods 439

King Of Gods

บทที่ 439 : มรดกมหาจักรพรรดิ

“รออีกสามวัน”

บุรุษเรือนผมสีเลือด เถี่ยหมัว เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบต่ำแผ่วเบา กวาดตามองไปทั่วลานประลองชางกู่อย่างลึกล้ำคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ทั่วทั้งลานประลองเต็มไปด้วยความเงียบงัน ภูเขารูปปั้นศิลาโดยรอบเองก็สูญเสียประกายพลังวิญญาณที่ไม่อาจมองเห็นไปแล้ว

นอกจากเถี่ยหมัวแล้ว เจ้าเมืองหงหูก็ยังไม่จากไป

ดวงตาทั้งสองของยอดผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนหยวน ‘จอมยุทธ์ไป๋หยุน’ ปิดแน่น ลอบทอดถอนใจอย่างไร้เสียง

ผู้สูงศักดิ์จากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากจากไปแล้ว พูดคุยกันถึงวิธีการที่เป็นไปได้ในการรับมือกับการฟื้นฟูของ ‘ลัทธิมารจันทราชาด’

เวลาสามวันผ่านไปในเสี้ยวพริบตา

อัจฉริยะเซียนมังกรทั้งหนึ่งร้อย มีเพียงแค่ครึ่งหนึ่งที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้

ซินอู๋เหินที่เข้าไปในมรดกความลับสวรรค์ จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยที่เข้าไปในมรดกนิรนาม หรือจะเป็นหลิวฉินซินที่เข้าไปในมรดกศาสตร์นอกหนทาง ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ ต่างก็ไม่ปรากฏตัวขึ้น

“ไป”

เถี่ยหมัวรู้สึกเศร้าโศกอย่างมาก ออกจากลานประลองชางกู่ด้วยความหดหู่

สุดท้ายแล้ว สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็ปิดลานประลองชางกู่ สลายผู้คนทั้งหมดไป

งานชุมนุมเซียนมังกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสูญสิ้นประกายแห่งชีวิต ปิดม่านลงอย่างสมบูรณ์

ในหลายปีต่อมา ยังคงมีผู้คนที่เอ่ยถึงงานชุมนุมเซียนมังกรที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผู้คนก็จะเริ่มลืมเลือนเหล่าผู้ถูกเลือกในงานชุมนุมเซียนมังกรไปในที่สุด

ทว่า มันสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ หรือ?

ในมิติซากปรักหักพังที่ห่างไกล ภายในตำหนักโบราณตั้งตระหง่านอย่างโดดเดียวแห่งหนึ่ง

จากภาพที่เห็น รูปปั้นศิลาโบราณที่แตกหักเต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่ได้กระจัดกระจายไปทั่วตำหนัก ดูราวกับกำลังเล่าขานถึงอดีตตำนานที่ผ่านมา

รูปปั้นศิลาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่เหล่านี้มีอยู่ราวร้อยกว่าตัว ทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายคล้ายคลึงกับภูเขารูปปั้นศิลาที่ลานประลองชางกู่อย่างสัมผัสได้

ภายในมุมหนึ่งของตำหนักที่หมองหม่นนี้ได้มีรูปปั้นที่สูงถึงสิบจ้างอยู่

รูปปั้นศิลานี้มีกลิ่นอายแห่งความตาย มันคือรูปปั้นม่อหนี่(เทวมารสตรี)ที่เบื้องหลังปรากฏปีกปีศาจอยู่สองคู่ บนหน้าผากปรากฏเขาปีศาจสีดำสนิทเย็นเยียบ รอบกายเต็มไปด้วยเปลวเพลิงสีคล้ำ

ใต้เท้าของรูปปั้นม่อหนี่นั้นปรากฏตัวอักษรเขียนไว้หลายตัวว่า ราชินีมารจันทรา

“ราชินีมารจันทรามหาจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะแห่งตำหนักมารจันทราเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มรดกของนางนับว่าโดดเด่นโดยแท้ ข้าใช้เวลาทำความเข้าใจถึงสองเดือนเต็มจึงสามารถดูดกลืนข้อมูลส่วนมากได้”

ใบหน้างดงามของจงหว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยความยินดี

กระทั่งในขอบเขตปราณเทวะก็ยังมีระดับขั้นแบ่งแยกกันอยู่

อย่างน้อยในดินแดนเกาะเทียนหลู สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างและอีกสองยอดสำนัก ในยามนี้ยังไม่มีผู้ฝึกตนในขอบเขตปราณเทวะคนใดที่สามารถถูกเรียกขานได้ด้วยคำว่า ‘มหาจักรพรรดิ’

นัยน์ตาของจงหว่านเอ๋อร์ส่องประกายวาบ มองไปยังทิศทางของใจกลางโถงหลัก

ที่นางสามารถมาถึงยังโถงหลักนี่ได้เป็นเพราะคนผู้หนึ่ง

ใจกลางของโถงหลักได้ปรากฏรูปปั้นที่ใหญ่โตกว่าราวสี่เท่า มันส่งกลิ่นอายเจตจำนงที่ไม่อาจมองเห็นออกมา ราวกับข้ามผ่านกาลเวลามานานหลายขวบปี

รูปปั้นยักษ์นี้มีกลิ่นอายโบราณกาล เบื้องหน้าปรากฏตัวอักษรหลายตัวเขียนว่า มหาจักรพรรดิวายุอัสนี

เบื้องหน้ารูปปั้นที่เป็นตัวแทนของมหาราชาวายุอัสนีได้ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีฟ้านั่งขัดสมาธิอยู่ นัยน์ตาซ้ายสีฟ้าหม่นที่เปิดออกบ้างเป็นบางครั้งส่องประกายเย็นเยียบลึกล้ำ แหลมคมราวกับคมดาบสายฟ้า

“จ้าวเฟิง ไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถครอบครองมรดกที่หลงเหลือแห่งมหาจักรพรรดิวายุอัสนีได้รวดเร็วเพียงนี้ ในอดีต มหาจักรพรรดิวายุอัสนีเป็นที่เลื่องลือในด้านของความเร็ว พลังต่อสู้อาจนับได้ว่าไร้เทียมทาน กระทั่งนายท่านเซียนจื่อเย่ก็ยังปล่อยให้เขาหลุดรอดไปได้เสียหลายครั้ง”

น้ำเสียงแผ่วเบาของสตรีผู้หนึ่งดังก้องในสมอง

ในสมองของจ้าวเฟิงพลันปรากฏภาพร่างพร่าเลือนขึ้น พลังของทั้งสองแข็งแกร่งจนไม่อาจที่จะจินตนาการได้เข้าต่อสู้กันภายใต้ทะเลหมอกอันไร้ที่สิ้นสุด

ร่างเงาวายุอัสนีถูกโอบล้อมไปด้วยมังกรวายุอัสนีที่ยาวนับพันจ้าง ราวกับจะสามารถกลืนสวรรค์ กินโลกาได้

ทุกครั้งที่ร่างเงาวายุอัสนีพุ่งวูบจะสามารถทะยานร่างไปได้ไกลกว่าพันลี้ ทุกครั้งที่วาดมือออกจะสั่นสะเทือนพสุธา ราวกับเทพเซียน

ทว่าร่างสีม่วงอีกร่างหนึ่งที่ภาพร่างพร่าเลือนนั้นให้ความรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง พลังฝึกตนกระทั่งสูงขั้นกว่า เข้าปะทะกับเงาร่างวายุอัสนีนั้น สร้างภาพการต่อสู้ที่น่าตื่นตะลึงขึ้น

สุดท้ายแล้ว

ด้วยความแตกต่างด้านพลังฝึกตน เงาร่างวายุอัสนีนั้นจึงได้กลับกลายเป็นประกายสายฟ้าสว่างโรจน์ พุ่งผ่านทะเลหมอกอันไร้ที่สิ้นสุด หลบหนีไปได้สำเร็จ

“มหาจักรพรรดิวายุอัสนีผู้นี้ ควรค่าแล้วที่ถูกเรียกขานว่ามหาจักรพรรดิที่เป็นที่หนึ่งในด้านความเร็ว กระทั่งสามารถข้ามขั้นท้าทายเซียนจื่อเย่ที่แข็งแกร่งได้ และกระทั่งหลบหนีไปได้ต่อหน้าต่อตา”

จ้าวเฟิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า

ที่นี่คือชั้นที่สองของซากวิหารสือเฉิง ชั้นตำนาน

ในชั้นตำนาน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นศิลาตัวใดก็ล้วนแล้วแต่เล่าขานถึงตำนานในอดีตกาล

เป็นเพราะจ้าวเฟิงมีความเข้าใจเสวียนอ้าวอัสนี เขาจึงเลือกมรดก ‘มหาจักรพรรดิวายุอัสนี’ ด้วยความเข้าใจในเสวียนอ้าวอัสนีของเขา รวมทั้งความสามารถในการเรียนรู้ทำความเข้าใจอันทรงพลังของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า เขาจึงสามารถได้รับการยอมรับจากพลังเจตจำนงที่หลงเหลือในรูปปั้นศิลาโบราณนี้ได้ในที่สุด

ในชั้นตำนาน รูปปั้นแต่ล่ะตัวจะมีเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ คล้ายคลึงกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิง ทว่าสติปัญญาของพวกมันไม่สูงส่งนัก เป็นเพียงแค่เจตจำนงที่หลงเหลือ

เหล่ามหาจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ แม้ร่างกายจะแหลกสลาย ทว่าเจตจำนงของพวกเขายังสามารถคงอยู่ในฟ้าดินได้อีกหลายปี

ในมิติในดวงตาซ้าย ชั้นที่สามของ ‘มรดกอัสนี’ ได้แหลกสลายหายไป

สิ่งที่ไปแทนที่มันคืออนุสรณ์โบราณ ด้านบนปรากฏตราอัสนีและวายุสั่นกระเพื่อม ภายในเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจในเสวียนอ้าวของสายลมและสายฟ้าก่อนตายของมหาจักรพรรดิวายุอัสนี

ในยามนี้

อนุสรณ์วายุอัสนีโบราณนี้มืดทึบเงียบสงัด ความสว่างของมันนั้นน้อยกว่าหนึ่งในร้อยส่วนเสียอีก

“สองเดือน แต่ข้ากลับสามารถรับรู้ถึงมรดกของมหาจักรพรรดิวายุอัสนีได้เพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วน”

จ้าวเฟิงละออกจากการทำความเข้าใจ ใบหน้าปรากฏความกังวลขึ้นจางๆ

ด้วยความเข้าใจในเสวียนอ้าวของ ‘มรดกอัสนี’ ก่อนหน้าของเขาทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจมรดกของมหาจักรพรรดิวายุอัสนีได้หนึ่งในร้อยส่วน

มันยากที่จะจินตนาการได้ว่าในยามที่มหาจักรพรรดิวายุอัสนีอยู่ในจุดสูงสุด เขานั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด

ทั่วทั้งซากวิหารชั้นตำนานมีรูปปั้นศิลาสี่ตัวที่สูงที่สุด อีกสามตัวอยู่ในระดับเดียวกับเซียนจื่อเย่ ขอบเขตเทวาเร้นลับ ห่างจากขอบเขตเซียนสวรรค์เพียงหนึ่งก้าว

การที่มหาจักรพรรดิวายุอัสนีสามารถมีรูปปั้นที่อยู่ในระดับเดียวกับทั้งสามได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเขาอย่างชัดเจน

เหตุผลหลักที่จ้าวเฟิงเลือกมรดกนี้เป็นเพราะมันเข้ากับเขา

เขาไม่เลือกมรดกธาตุเหมันต์เพราะกังวลว่าการวิวัฒนาการครั้งหน้าของเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าจะทำให้ธาตุของสายเลือดเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อธาตุของสายเลือดเปลี่ยนแปลงไป การที่จ้าวเฟิงเลือกมรดกธาตุเหมันต์ก็ย่อมเป็นเพียงความสูญเปล่า

ทว่ามรดกวายุอัสนีนั้นไม่มีปัญหานี้

จ้าวเฟิงมีพื้นฐานในความเข้าใจในธาตุสายลมและสายฟ้าอยู่ก่อนหน้าแล้ว

เมี้ยว เมี้ยว

ในอีกมุมหนึ่งของห้องโถง ร่างของแมวขโมยตัวน้อยเกาะอยู่บนกำแพงหิน

บนกำแพงหินนั้นได้ปรากฏกริชโปร่งใสฝังอยู่เล่มหนึ่ง

แมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่เบื้องหน้ากริชนี้กว่าสองเดือน มักจะวาดกรงเล็บของมัน ท่าทีดูราวกับจะเสียสติไปในบางครั้ง

เคร้ง ครืนนน

ทันใดนั้น กริชสีดำโปร่งใสนั้นก็ได้กลับกลายเป็นเงาดาบ จางหายไปจากกำแพงหินนั้น

เมี้ยว เมี้ยว

ใบหน้าของแมวขโมยตัวน้อยเต็มไปด้วยความยินดี กรงเล็บแมวของมันชี้ออก เบื้องหน้าได้ปรากฏเงากริชขึ้น

หืม?

จ้าวเฟิงเหลือบมองไปครั้งหนึ่ง รู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องเกินจะจินตนาการแต่อย่างใด

“เป็นไปได้อย่างไร มันสามารถครอบครองอาวุธในตำนานชิ้นนั้นได้”

น้ำเสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงปรากฏความกระวนกระวายที่ไม่อาจอธิบายได้ปะปนอยู่

หลังจากที่แมวขโมยตัวน้อยได้ครอบครองกริชดำโปร่งใสนั้นมันก็ทะยานร่างวูบ กลับมายังหัวไหล่ของจ้าวเฟิงในเสี้ยวพริบตา

จ้าวเฟิงนิ่งอึ้งไปเล็กๆ แมวขโมยตัวน้อยมาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน? มรดกอาวุธนั่นกระทั่งทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงหวาดกลัวขึ้นมาได้ทีเดียว

นอกจากนั้น หลังจากที่ได้ครอบครองอาวุธวิเศษชิ้นนั้น ความสามารถของแมวขโมยตัวน้อยก็ราวกับพัฒนาขึ้น

“ไม่เลว”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เคลื่อนไหวออกห่างจากรูปปั้นโบราณที่ดูหม่นหมอง

อีกด้านหนึ่ง เมื่อจงหว่านเอ๋อร์เห็นว่าจ้าวเฟิงเคลื่อนไหวก็อยากจะไล่ตามไป ทว่าก็ยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง

ความเร็วในการถือครองมรดกของนางด้อยกว่าจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อย จนยามนี้ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ

จ้าวเฟิงมีดวงตาเทพเจ้า แม้จะเชื่อมต่อกับมรดกวายุอัสนีที่แข็งแกร่งทรงพลังกว่า ความเร็วก็ยังคงรวดเร็วกว่าจงหว่านเอ๋อร์

“จ้าวเฟิง บางทีมรดกอาวุธวิเศษที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของโถงหลักนี้อาจจะเหมาะสมกับสายเลือดของเจ้า”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเตือนขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง

แม้ว่าในยามนี้ จิตใจส่วนมากของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิงจะใช้ในการช่วยเหลือจ้าวหยูเฟ่ยในการครอบครองมิตินี้ ทว่าความเข้าใจในซากปรักหักพังสือเฉิงย่อมไม่มีผู้ใดเหนือไปกว่านาง

“ดี”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ไปยังมุมตะวันออกเฉียงเหนือของโถงหลักอันมืดมิดนี้อย่างรวดเร็ว

ในชั้นตำนานนี้ นอกจากมรดกวิชาฝึกตนแล้วยังมีมรดกอาวุธวิเศษอีกด้วย

บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของโถงหลักได้ปรากฏโล่แตกหักสนิมเขรอะ ดาบโบราณหักๆ และหอกผลึกสีน้ำเงินอยู่

ผู้เป็นเจ้าของของอาวุธวิเศษทั้งสามประเภทก่อนตายย่อมเป็นราชาในขอบเขตปราณเทวะเป็นอย่างน้อยโดยไม่ต้องสงสัย หรือมิเช่นนั้นอาวุธของพวกเขาคงไม่ถูกเก็บไว้โดยเซียนจื่อเย่

เพียงจ้าวเฟิงเจ้าไปใกล้ สายเลือดที่ส่องประกายสีฟ้าอ่อนจางในร่างของเขาก็พลันสั่นไหว กลิ่นอายเย็นเยียบแพร่กระจายออกจากร่างของเด็กหนุ่ม

นี่คือกลิ่นอายสายเลือดของจ้าวเฟิง ในวินาทีที่มันตอบสนองก็ดูราวกับจะหลอมรวมเข้ากับดวงตาเทพเจ้า

หอกผลึกสีน้ำเงินนั้นได้ส่งเสียงคำรามของมังกรออกมาอย่างแผ่วเบา อากาศเย็นเยียบเก่าแก่แพร่กระจาย พุ่งกระแทกเข้าไปยังโลกแห่งจิตวิญญาณโดยตรง

หากเปลี่ยนเป็นอัจฉริยะทั่วไป ภายใต้ความเย็นเยียบรุนแรงในอากาศนี้ แม้จะมีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้จิตใจก็ยังถูกแช่แข็งได้

กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไปยังไม่กล้าที่จะรับเจตจำนงเย็นยะเยือกนี้เข้าไปตรงๆ

หอกผลึกสีน้ำเงินกลับกลายเป็นเงามังกรเหมันต์ทะยานออก จางหายไปจากกำแพงหิน

จ้าวเฟิงยื่นมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว กำหอกผลึกสีน้ำเงินไว้ในมือ

“นี่คือหอกจักรพรรดิที่ถูกส่งต่อกันมา ผู้ที่ครอบครองมันก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่มีพลังฝึกตนในขอบเขตปราณเทวะขึ้นไป”

น้ำเสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้น

สีหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี จากสายตาของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง นางตัดสินว่า ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ นี้เหมาะสมกับธาตุของสายเลือดของเขา ทั้งมันยังเข้ากันได้ดีจนราวกับว่าเกิดมาเพื่อมัน

เมื่อเป็นเช่นนี้

ระบบวิชาฝึกตนของเขาก็ได้ครอบครองมรดก ‘มหาจักรพรรดิวายุอัสนี’ ในขณะที่ด้านสายเลือดได้ครอบครองมรดก ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ไม่ได้ขาดสิ่งใดไปอีก

อาจเรียกได้ว่าจ้าวเฟิงได้ครอบครองมรดกสองอย่างพร้อมกัน

ในหอกจักรพรรดิเหมันต์มีระบบวิชาฝึกตนของผู้เป็นนายคนก่อนๆ ไว้ กระทั่งตัวอาวุธวิเศษชิ้นนี้เองยังมีแก่นแท้ของเหมันต์จำนวนมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดอยู่

ที่น่าเสียดายคือ ระดับของหอกจักรพรรดิเหมันต์นี้ลดลง สติปัญญาสลายหายไป ห่างไกลจากยามที่มันอยู่ในจุดสูงสุดยิ่งนัก

แม้จะเป็นเช่นนั้น

มูลค่าของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ เมื่อเทียบกับอาวุธวิเศษที่จ้าวเฟิงครอบครองอยู่แล้วยังเหนือกว่านับพันเท่า

สามปทุม คันศรหลัวซุย พัดฉุยเยว่เซียนเถา และอาวุธวิเศษอื่นๆ สำหรับระดับของจ้าวเฟิงในยามนี้แล้วนับว่าไม่มีประโยชน์มากมายอันใดอีก

จะอย่างไร พลังต่อสู้ในยามนี้ของจ้าวเฟิงก็ใกล้เคียงกับขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง เหนือกว่าจอมโจรฉุ่ยเยว่ในอดีต

หลังจากที่ได้ครอบครองมรดกที่เหมาะสม จ้าวเฟิงก็เคลื่อนไหวตามแผนที่ในสมองและการชี้แนะของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง ออกจาก ‘ชั้นตำนาน’ เข้าไปยัง ‘ตำหนักเซียนจื่อเย่’

ตำหนักเซียนจื่อเย่ ชั้นสาม

ภายในตำหนักโอ่อ่าปรากฏร่างของเด็กสาวในอาภรณ์สีม่วง เบื้องหน้าของนางคือ ‘กุญแจผลึก’ ที่ลอยคว้าง มือขาวทั้งสองวาดไปมา ดูดกลืนเพลิงจิตวิญญาณเจือจางเข้าไป

ข้างกายนางปรากฏกลุ่มแสงสีม่วงลอยอยู่กลางอากาศ คอยช่วยเหลือเด็กสาว

ในยามนี้เองที่จ้าวเฟิงได้ก้าวเดินเข้าไปในชั้นที่สามของซากวิหาร

ที่นี่มีมรดกของเซียนจื่อเย่อยู่

“จ้าวเฟิง เพื่อที่จะลดการสูญเสียพลัง ซากปรักหักพังสือเฉิงจะปิดตัวลงในไม่ช้า เจ้าสามารถเลือกที่จะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักหลายปีและเป็นผู้คุ้มกันของหยูเฟ่ยได้ แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะออกไปได้เช่นกัน”

เศษเสี้ยวจิตวิญญาณสือเฉิงที่ลอยอยู่กลางอากาศเอ่ยปากขึ้นอย่างเชื่องช้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!