บทที่ 454 ดูเหมือนเจ้าจะสบายดีนะ
บนเรือสีแดงอมดำ
ชายหนุ่มในชุดสีดำแสนธรรมดา ‘หลินทง’ ได้กลายเป็นจุดรวมสายตาของผู้คนไป ยอดฝีมือของพันธมิตรมังกรโลหะในที่แห่งนั้นต่างมีความสงสัยในอัจฉริยะสายเลือดดวงตาหน้าใหม่ผู้นี้อยู่บ้าง
มีคนเพียงน้อยนิดที่รู้ถึงเรื่องราวของชายหนุ่ม
ในงานสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีต หลินทงคือหนึ่งใน ‘สี่ดาราแห่งพันธมิตร’ ร่วมกับชางหยู่เยว่ สวีจีเสวียน และอ้าวเยว่เทียน
ในยามนั้น ในฐานะของคนรุ่นใหม่ ความน่ากลัวของหลินทงได้หยั่งรากลึกลงไปในใจของผู้คน ไม่มีผู้ใดต้องการต่อสู้กับเขา
ทว่า
หลินทงกับอดีตอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสิบสามสำนัก อัจฉริยะในศาสตร์แห่งดาบ ชางหยู่เยว่ ได้กลายเป็น ‘แท่นเหยียบ’ สร้างปาฏิหาริย์ของคนผู้หนึ่งไป
ทว่าคนผู้นั้นได้ยืนอยู่ห่างไปตรงนั้น
“จ้าวเฟิง ในงานสิบสามสำนักพันธมิตรเมื่อสองปีก่อน ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า ทว่าครั้งนี้ข้าได้กลับมาจากมรดกจันทราชาด ความอับอายในครั้งนั้นคงต้องขอคำชี้แนะสักหนึ่งหรือสองส่วน”
หลินทงยืนอยู่ที่หัวเรือ นัยน์ตาสีดำอมแดงราวกับบิดเบี้ยว ให้ความรู้สึกลึกลับและลึกล้ำ กลิ่นอายจิตวิญญาณเย็นเยียบมืดหม่นแผ่ซ่านไปในอากาศ ทำให้หัวใจของยอดฝีมือจำนวนมากในเรือลำใหญ่ต้องหนาวเยือก
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวตำหนักศพโลหิตรั้งสายตาหงุดหงิดเต็มไปด้วยม่านหมอกกลับมาในที่สุด เขามั่นใจแล้วว่าจ้าวเฟิงคือเด็กหนุ่มในอดีตผู้นั้น
เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘คำขอภารกิจต่อสู้’ ของหลินทง จ้าวตำหนักศพโลหิตก็ส่ายศีรษะ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
สีหน้าของหลินทงพลันแข็งทื่อ ปรากฏความประหลาดใจขึ้นหลายส่วน รวมทั้งความไม่ยอมรับ
ทว่า
ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคือหนึ่งในสี่ยักษ์ใหญ่ของพันธมิตรมังกรโลหะ เป็นอดีตผู้คุ้มครองของลัทธิมารจันทราชาด คำของจ้าวตำหนักศพโลหิตไม่มีผู้ใดกล้าตั้งข้อสงสัย ระดับของเขา รวมทั้งประสบการณ์นั้นเหนือกว่าที่แคว้นเมฆาจะสามารถคาดเดาได้
หลิงทงเพียงเตรียมจะเอ่ยปาก เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่อยู่ห่างออกไปก็พลันมองกลับมาทางเรือลำใหญ่ท่ามกลางหมู่เมฆด้วยใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้ม
ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงที่ลอยคว้างอยู่บนอากาศสูงสายตาแข็งขืนขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้นจิตใจก็สั่นสะท้านเล็กๆ
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มผู้นั้นลึกล้ำราวห้วงมหาสมุทร ส่องประกายสีน้ำเงินราวอัญมณี ทว่าราบเรียบราวผิวน้ำ
การเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงดึงดูดความสนใจของผู้เฒ่าซู่ไป
“ดูเหมือนว่าการย้อนคืนสู่ขั้นนายเหนือแท้ของข้าจะเป็นการโอ้อวดจนเกินไป ทำพันธมิตรมังกรโลหะมาแอบดู”
ผู้เฒ่าซู่ถอนหายใจ
จ้าวเฟิงรู้ว่าเหตุผลมันมีมากกว่านั้น
หลังจากที่เขากลับมายังแคว้นเมฆาก็ได้ประกาศสงคราม ท้าทาย ‘พันธมิตรมังกรโลหะ’
จอมเชือดเคียวโลหิต ผู้อาวุโสหลักสิบแปด และผู้อาวุโสหลักสิบล้วนตายด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง
การท้าทายอย่างซึ่งๆ หน้าและแรงคุกคามของจ้าวเฟิงต่อพันธมิตรมังกรโลหะจะดึงดูดความสนใจของคนระดับสูงมาก็ไม่น่าแปลกใจนัก
ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกคาดไม่ถึงคือครั้งนี้เขาดันได้เจอคนคุ้นเคยมากกว่าหนึ่งคน
ผู้คุ้มครองศพโลหิต จ้าวเฟิงย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ในถ้ำมารจันทราชาดในอดีตเขาเคยได้ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง เปิดเปลือยความกล้าหาญสติปัญญาออกมาอย่างหมดเปลือก
ทว่าหลินทงคือศัตรูที่แข็งแกร่งในงานสิบสามสำนักพันธมิตรเมื่อสองปีก่อน
ภาพงานสิบสามสำนักพันธมิตรในอดีตที่จ้าวเฟิง หลินทง และชางหยูเยว่สร้าง ‘ภาพหม้อสามขา’ ขึ้นราวกับปรากฏขึ้นชัดเจนในห้วงความคิดอีกครั้ง
“ผู้เฒ่าซู่ ท่านนำสมาชิกพันธมิตรล่าถอยไป ข้าจะไปเล่นกับพวกเขาเสียหน่อย”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
การได้สติครั้งนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มเบาบางลงมากแล้ว
ในมิติในดวงตาซ้าย ทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มขนาดใหญ่เกือบสิบจ้างปรากฏขึ้น คลื่นไหวสั่นกระเพื่อม ให้ความรู้สึกอ่อนโยนต่อดวงวิญญาณ
ทุกวันนี้ พลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงเมื่อเทียบกับก่อนหน้าได้พัฒนาขึ้นมาก ทั้งการควบคุมก็เปลี่ยนแปลงไป เข้าสู่ระดับใหม่โดยสิ้นเชิง
“ได้ ตาแก่ผู้นี้จะรับผิดชอบการล่าถอยเอง เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
ผู้เฒ่าซู่มีความชื่นชมในความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงในระดับหนึ่ง จึงไม่เอ่ยปฏิเสธ จะอย่างไร กองกำลังของพันธมิตรมังกรโลหะก็แข็งแกร่งยิ่งนัก นอกจากผู้เฒ่าซู่แล้ว หากคนอื่นๆ รั้งอยู่ที่นี่ก็มีเพียงแต่จะรั้งมือรั้งเท้าจ้าวเฟิงเท่านั้น
ร่างของผู้เฒ่าซู่พุ่งวูบ จางหายไปจากลานกว้าง เสียงของชายชราดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาลึก นำคนของพันธมิตรสังหารมังกรล่าถอยไปในป่าด้วยความเร็วสูง
บนลานกว้าง
เหลือเพียงจ้าวเฟิงยืนสองมือไพล่หลังอยู่ เรือนผมสีน้ำเงินของเขาพลิ้วไหวหยอกล้อกับสายลมอย่างงดงาม มุมปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มยินดี
“จ้าวตำหนัก เศษเดนพันธมิตรสังหารมังกรกำลังหลบหนี”
“ฮึ่ม ยังมีคนเหลืออยู่คอยขัดขวาง”
บนเรือลำใหญ่ได้ปรากฏเสียงกระซิบอย่างอึ้งๆ ขึ้น
คนของพันธมิตรสังหารมังกรทั้งหมดล่าถอย รวมทั้งผู้เฒ่าซู่ที่มีพลังขั้นนายเหนือแท้ หลงเหลือเพียงเด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่ยืนนิ่งอยู่กลางลานกว้างอย่างเฉยชาเผชิญหน้ากับผู้คนบนเรือใหญ่เพียงลำพัง
นี่ทำให้จิตใจของหลินทงที่อยู่บนเรือใหญ่ต้องสั่นสะท้าน
จ้าวเฟิงในยามนี้อยู่ในระดับใดเขาไม่อาจมั่นใจได้ กลิ่นอายของอีกฝ่ายลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทร ความร่าเริงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเล็กๆ นั่นได้ทำให้หลินทงถอนหายใจ รู้สึกด้อยกว่า หากนำตนเองไปใส่รองเท้าของผู้อื่น เปลี่ยนเป็นหลินทง หากเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องหลบหนีไปไกล มีหรือที่จะกล้ารั้งอยู่
ทว่าศัตรูในอดีตผู้นี้กลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ริมฝีปากฉาบไปด้วยรอยยิ้มบางเบา รั้งอยู่เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างพันธมิตรมังกรโลหะอย่างเฉยชา
ทั้งความยินดีนั้นไม่เพียงทำให้หลินทงต้องเปลี่ยนสีหน้า กระทั่งยอดฝีมือบนเรือยังรู้สึกประหลาดใจไม่มั่นใจ
“เป็นเด็กที่จองหองยิ่งนัก เหมือนเช่นตั๊กแตนที่พยายามหยุดยั้งนกกระจอก ประเมินค่าตนเองไว้สูงนัก”
“ท่านจ้าวตำหนัก เรารีบประกาศสงครามฆ่าไอ้เด็กนี่เถอะ พวกเศษเดนของพันธมิตรสังหารมังกรย่อมหลบหนีไปได้ไม่ไกลนัก”
เหล่ายอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงบนเรือใหญ่ต่างตื่นตะลึง จิตสังหารไล่บ่าออกมา
ท่าทีเย่อหยิ่งจองหองของจ้าวเฟิงได้สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับกองกำลังฝ่ายพันธมิตรมังกรโลหะ
ทว่า
‘จ้าวตำหนักศพโลหิต’ ที่อยู่ที่หัวเรือกลับมีสีหน้ามืดมัวไม่มั่นใจอย่างชัดเจน แม้จะมีจิตสังหารแพร่ออกมา ทว่าก็ไม่ได้ลงมือในทันที
“ฮี่ฮี่ ผู้คุ้มครองศพโลหิต ไม่ได้พบกันนาน ดูเหมือนเจ้าจะสบายดีนะ”
เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กหนุ่มผมน้ำเงินที่ยืนอยู่กลางลานกว้างฟังดูร่าเริงราวสายลม ดังก้องกังวานชัดเจน
ในยามนั้น
มันดังไปถึงพันธมิตรสังหารมังกรที่กำลังล่าถอยอยู่ด้วย
เสียงของจ้าวเฟิง ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
“อันใดกัน จ้าวเฟิงกับจ้าวตำหนักศพโลหิตรู้จักกันหรือ?”
ทั้งมิตรและศัตรูต่างรู้สึกแปลกประหลาดพิกลขึ้น
ฟังจากน้ำเสียงของจ้าวเฟิง ก่อนหน้าเขาและจ้าวตำหนักศพโลหิตต้องเคยพบเจอกันมาก่อน ทั้งยังเป็นไปได้ว่าเคยปะทะกันมาแล้ว
บางคนกระทั่งสงสัยว่าเด็กหนุ่มที่ดูเยาว์วัยผู้นี้อาจจะเป็นสัตว์ประหลาดที่จำศีลมานานหลายปี
บนเรือใหญ่
สายตาของคนจากพันธมิตรมังกรโลหะ ทั้งระดับสูงระดับต่ำล้วนจับจ้องไปยังร่างของจ้าวตำหนักศพโลหิต เฝ้ารอคำสั่งของยักษ์ใหญ่ของกองกำลัง
“ผู้เฒ่าซู่เพิ่งจะฟื้นคืนพลังกลับมา การทำลายเศษเดนพันธมิตรสังหารมังกรในวันนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ทว่าในเมื่อไอ้เด็กนี่ก่อกวน เราก็ควรจะลงไปเล่นกับเขาหน่อย”
น้ำเสียงแหบต่ำอ่อนล้าของจ้าวตำหนักศพโลหิตเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคนจิตใจหนาวเยือก
คนที่คุ้นเคยกับจ้าวตำหนักศพโลหิตล้วนรู้ว่าเมื่อมีคำสั่งเช่นนี้ออกมา อีกฝ่ายกำลังเอาจริง
จ้าวตำหนักศพโลหิตจะแก้แค้น
เมื่อเขาคิดถึงใครบางคนก็รู้สึกอยากทรมานอีกฝ่ายอย่าง ‘ช้าๆ’
ทว่า
เมื่อนึกถึงกำลังของสองตำหนัก กระทั่งตัวจ้าวตำหนักเองยังออกมาเพียงเพื่อรับมือกับดวงดาวที่กำลังรุ่งโรจน์ดวงหนึ่ง ไม่นับว่ามันเกินเลยไปหน่อยหรือ?
“จ้าวเฟิง เจ้ากล้ารั้งอยู่ก่อความวุ่นวาย ความกล้าหาญนี้ นายเหนือผู้นี้ชื่นชมนัก ทว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของเจ้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจไปตลอดกาล”
ในมือของจ้าวตำหนักศพโลหิตปรากฏธงสีแดงเลือดขึ้น
ฟึ่บ
เรือใหญ่สีแดงอมดำสร้างกลุ่มลมสีเลือดรุนแรงขึ้น พุ่งตรงไปยังลานกว้างอย่างบ้าคลั่ง
“ถ่ายทอดคำสั่ง… จับเป็นจ้าวเฟิง”
จ้าวตำหนักศพโลหิตยืนอยู่บนหัวเรือ ไม่ได้ลงมือในทันที กลิ่นอายของจ้าวเฟิงที่ยืนอยู่บนลานกว้างห่างออกไปทำให้บรรยากาศจับตัวแข็ง แม้ว่าเขาจะไม่อาจตัดสินความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงได้ ทว่าเขามั่นใจว่าระดับของหลินทงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้ หากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ มีหรือที่จ้าวเฟิงจะกล้ารั้งอยู่คอยก่อกวนเพียงผู้เดียว
“รับคำสั่ง”
ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ทั้งสามบนเรือพลันรับคำสั่ง
พวกเขาไม่แน่ใจว่าระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวตำหนักศพโลหิตมีบุญคุณความแค้นอันใดต่อกัน ทำให้ผู้เป็นนายไม่ลังเลที่จะใช้กองกำลังจำนวนมากเพียงเพื่อจะ ‘แก้แค้นส่วนตัว’
“จ้าวตำหนัก เรื่องสายเลือดดวงตาของเขาให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
หลินทงเอ่ยอาสา
ตัวตนในระดับเป้าหมายของ ‘คำสั่งไล่ล่าระดับหนึ่ง’ ทุกคนล้วนคุ้นเคยดี
ความน่ากลัวของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง ชะตากรรมของผู้อาวุโสสิบและผู้อาวุโสสิบแปดเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
ดังนั้นแล้ว พันธมิตรจึงได้ส่งอัจฉริยะอย่างหลินทงมา
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
สามยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ นำโดยหลินทงได้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว นำกำลังบางส่วนออกจากเรือ เข้าใกล้จ้าวเฟิงบนลานกว้าง จากด้านบนจะพบว่าสามยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ได้สร้างวงล้อมครึ่งวงกลมไปยังลานกว้าง
“ท่านอาจารย์ จ้าวตำหนักแห่งพันธมิตรมังกรโลหะออกมาด้วยตนเอง ทว่ามีจ้าวเฟิงเพียงคนเดียวที่คอยขัดขวาง บางที…”
องค์หญิงจิงที่กำลังล่าถอยมองไปยังบริเวณการต่อสู้
เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าเด็กหนุ่มผมสีน้ำเงินบนลานกว้างได้ต่อต้านพันธมิตรมังกรโลหะแต่เพียงผู้เดียวเพื่อเปิดทางให้พวกนาง นางก็รู้สึกระวนกระวายไม่สบายใจ หัวใจรู้สึกทานทนไม่ได้
“จิงเอ๋อร์สบายใจเถอะ จ้าวเฟิงเพียงไปหยอกล้อกับพวกมัน จะอย่างไรก็คอยดูแลพวกเราอยู่”
ผู้เฒ่าซู่แย้มยิ้มบาง
หยอกล้อ?
นัยน์ตาหงส์ขององค์หญิงจิงฉายแววประหลาดใจอย่างเต็มเปี่ยม มันยากที่จะจินตนาการยิ่งนักว่าคำพูดเช่นนั้นจะหลุดออกจากปากของผู้เป็นอาจารย์
ในยามนี้
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เนตรมารจันทราชาด”
หลินทงอยู่ห่างออกไปหลายลี้ ดวงตาทั้งปรากฏประกายสีแดงอมดำขึ้นบิดเบี้ยว กลับกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวสีแดงสด โหดร้าย กระหายเลือด หดหู่ ยิ่งใหญ่… กลิ่นอายเลวร้ายจำนวนมากราวกับควบรวมกันที่นัยน์ตานั้น ‘จันทร์เสี้ยวสีแดงสด’ ที่มองเห็นได้ลางๆ กลับกลายเป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็นตัดผ่าอากาศออกไป
ในวินาทีนั้น กระทั่งยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงฝ่ายเดียวกันหลายคนยังหวาดกลัว จันทร์เสี้ยวสีดำอมแดงนั้นทะลวงผ่านก้อนเมฆ มุ่งตรงไปยังร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินบนลานกว้างอย่างโหดเหี้ยม
ทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของหลินทงย่อมไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของจ้าวเฟิงไปได้
เขาต้องยอมรับว่าการใช้สายเลือดดวงตาของหลินทง ไม่ว่าจะเป็นวิชาหรือพลังโจมตีก็ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายในอดีตจะเทียบได้
‘เนตรมารจันทราชาด’ นี้เป็นวิชาดวงตาที่ลึกล้ำอย่างเห็นได้ชัด พลังด้านลบมืดหม่นจำนวนมากได้ควบรวมกัน กลับกลายเป็นพลังวิญญาณโลหิต โหดเหี้ยมเกินจะประมาน
หากเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป กระทั่งผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้บางคน เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่านี้ ดวงวิญญาณจะถูกฟาดฟันจนสิ้นชีพในเสี้ยววินาที
ในด้านพลังโจมตีดวงตา หลินทงในยามนี้กระทั่งสามารถเทียบเคียงกับผู้สืบทอดตระกูล ‘สามสุดยอดสายเลือดดวงตา’ ในงานชุมนุมเซียนมังกรเมื่อเหลือเดือนก่อนได้
ฟิ้ว
เนตรมารจันทราชาดที่ทรงพลังระเบิดออก ตัดผ่านดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง กัดกร่อนโลกแห่งจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงในเสี้ยววินาที
หลินทง รวมทั้งสองยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้อดที่จะเผยสีหน้ายินดีออกมาไม่ได้
ที่คาดไม่ถึงคือ จ้าวเฟิงที่อยู่บนลานกว้างกลับยืนนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว ไม่ป้องกัน และไม่หลบหลีก
“หืม? อันใดกัน…”
ร่างกายของหลินทงแข็งค้างอยู่กลางอากาศ
ในเวลาเดียวกัน ความประหลาดใจบนใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงและลนลาน การโจมตีที่ทรงพลังของ ‘เนตรมารจันทราชาด’ เมื่อครู่เหมือนเช่นก้อนหินที่ร่วงหล่นลงในมหาสมุทร ไม่แม้แต่จะทำให้น้ำสั่นกระเพื่อม
จ้าวเฟิงไม่สนใจการโจมตีของหลินทงตั้งแต่ต้น
มิติในดวงตาซ้าย
พลังดวงตาสีน้ำเงินเข้มไหวกระเพื่อมเล็กๆ ดูดกลืนจันทร์เสี้ยวสีแดงเลือดเข้าไป
โลกที่เต็มไปด้วยน้ำ พลังธาตุน้ำคือการดูดกลืน กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด การโจมตีของหลินทงเหมือนกับก้อนกรวดที่ถูกขว้างลงในทะเลสาบ ไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด